ภายในห้องโถง สายตาของทุกคนมองไปที่ฉินอวี้โม่เป็นตาเดียวขณะรอให้นางกล่าวต่อ
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ และกล่าว “ทุกคน ใช่ว่าข้าไม่อยากพาพวกท่านไปที่ดินแดนเทพมายากับข้า ทว่าหากพวกท่านทั้งหมดติดตามไปด้วย ผู้ใดจะอยู่ดูแลความเรียบร้อยของโลกมายาแห่งนี้กันเล่า ?”
นางกวาดสายตามองทุกคนและกล่าวต่อ “แม้ครานี้ฉินมู่ยวี่ยอมถอยไปโดยดี แต่นางคงไม่ยอมรามือและจะหาทางจัดการกับโลกมายาเป็นแน่ ดินแดนเทพมายาเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายที่ข้ายังไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรและไม่รู้ว่าจะมีภยันตรายมากแค่ไหน การให้พวกท่านอยู่ที่นี่ก็เพราะข้าหวังว่าพวกท่านจะดูแลและคุ้มครองโลกมายาแห่งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดวิกฤตร้ายแรงใด ๆ ขึ้นมาในดินแดนเทพมายา ข้าก็จะสามารถถอนกำลังกลับมาตั้งหลักที่นี่และหลีกหนีจากอันตรายได้สักระยะ”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและคนอื่น ๆ ก็หันมองหน้ากันทันทีด้วยความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น พวกเขาทราบเรื่องเกี่ยวกับฝ่ายมารดี สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ดินแดนเทพมายาเต็มไปด้วยเรื่องที่เกินคาดเดาและวันหนึ่งอาจต้องเผชิญภยันตราย เมื่อถึงตอนนั้น หากโลกมายายังคงดำรงอยู่ มันจะเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับนางและทุกคน
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังกังวลใจที่จะปล่อยให้ฉินอวี้โม่เดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาอันกว้างใหญ่เพียงลำพัง
“ข้าทราบว่าเราทุกคนปฏิบัติต่อกันดั่งมิตรสหาย เพราะฉะนั้นหากข้ามุ่งหน้าไปที่ดินแดนเทพมายาด้วยตัวคนเดียว ทุกท่านก็อาจจะกังวลใจ”
เมื่อเห็นแววตาเป็นห่วงกังวลอย่างชัดเจนของซูน่าและทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบาง ๆ และกล่าวต่อ “ทว่าข้ามิได้อยู่ลำพังในดินแดนเทพมายา บิดาและพี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่นั่น อีกทั้งบรรดาสหายจากดินแดนหวนหลิงรวมถึงหลายคนจากดินแดนอ้างว้างก็ได้เดินทางไปที่นั่นก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น วิหารทมิฬ นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และนครเวหาก็เป็นพันธมิตรของข้า เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ได้อยู่เพียงลำพังและไร้ผู้ช่วยเหลือ แท้ที่จริงแล้วคือข้ามีสหายอยู่ที่นั่นมากพอสมควร”
ทุกคนพยักศีรษะและซูวั่งชวนกล่าว “ตกลง ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว พวกเราจะสนับสนุนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเผชิญภยันตรายใด ๆ หรือต้องการความช่วยเหลือ อย่าลืมพวกเราก็พอ”
ในบรรดาคนเหล่านี้ทั้งหมด ผู้คนจากชนเผ่าเมฆาครามมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและสนิทสนมกับฉินอวี้โม่มากที่สุดและพวกเขารู้จักนางดีที่สุด
“ไม่ต้องห่วง ที่นี่จะเป็นที่หลบภัยที่ข้าวางใจเสมอ หากข้าเผชิญกับปัญหาที่มิอาจสะสางได้ ข้าจะกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเป็นการยืนยัน
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะไปเมื่อใด ?”
ซูน่ากล่าว นางไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้ฉินอวี้โม่จากไปเลย
“หนึ่งเดือนข้างหน้า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการที่นี่และข้ามิได้รีบร้อนไปที่ดินแดนเทพมายานัก ตลอดหนึ่งเดือนนี้ ข้าจะอยู่กับทุกคนและใช้เวลาอย่างมีความสุข”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมกล่าวการตัดสินใจของตน
ฉินอวี้โม่ในวันนี้มิใช่มือสังหารเลือดเย็นเหมือนในชีวิตก่อนอีกต่อไป เวลานี้นางอ่อนโยนลงมากและเป็นมิตรกับผู้คน ในยุคศตวรรษ 21 ที่ ‘เธอ’ จากมาก ‘เธอ’ มีมิตรสหายเพียงน้อยนิดเท่านั้น ในโลกที่แตกต่างกันใบนี้ ฉินอวี้โม่มีมิตรสหายร่วมทางมากมายและทุกคนมีเพียงความจริงใจให้กัน ยิ่งไปกว่านั้น นางก็เป็นมารดาของบุตรน้อยน่ารักน่าชังทั้งสองและมีครอบครัวอันอบอุ่นของตน
หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ หาก ‘เธอ’ ผู้เคยเย็นชาจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เป็นบุคคลที่ดูห่างไกลและยากเกินหยั่งถึง ทว่าในเวลานี้นางกลายเป็นผู้ที่เปิดเผยและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น สิ่งที่นางมิอาจล่วงรู้ได้คือตอนนี้นางเต็มใจที่จะผูกมิตรมากยิ่งขึ้นและเต็มใจที่จะช่วยเหลือบรรดามิตรสหายของนางเสมอ
“ผู้อาวุโสซู เลี่ยหยาง ฉินขุย ฉินจิน ฉินหวย เฉิงห่าวซวน ซูชิง จูเฟยชวี่ ต่อจากนี้พวกท่านจะกลายเป็นผู้อาวุโสทั้งแปดของโลกมายา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมายาแห่งนี้จะถูกจัดการและดูแลโดยพวกท่าน ข้าเชื่อว่าด้วยการปกครองของผู้มากความสามารถอย่างพวกท่านทั้งหลาย โลกมายาของเราจะพัฒนาขึ้นได้อย่างแน่นอน”
แน่นอนว่าผู้ปกครองของโลกมายาคือฉินอวี้โม่ ทว่าหลังจากที่นางเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายา ที่นี่จะต้องมีคนคอยดูแลและจัดการสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด
ทั้งแปดคนที่นางเอ่ยชื่อเมื่อครู่มีความแข็งแกร่งและความสามารถที่เหลือล้น พวกเขาล้วนเป็นคนที่นางไว้วางใจได้
“ศิษย์พี่ฉินเฟิง ท่านจะไปที่ดินแดนเทพมายากับข้า”
เมื่อหันไปหาฉินเฟิงซึ่งนั่งอยู่ข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็กล่าวออกไป
ไม่ว่าเพื่อช่วยเหลือฝูหยาจือหรือฉินเหยียน นางเชื่อว่าฉินเฟิงก็ต้องการเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาเช่นกัน เพราะเหตุนั้นแม้ทราบดีว่าการที่ฉินเฟิงอยู่ที่นี่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อโลกมายา นางก็ไม่อยากเก็บเขาไว้ที่นี่เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
“เข้าใจแล้ว”
ฉินเฟิงหยักศีรษะตอบรับ มีเพียงการเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาเท่านั้นที่เขาจะพัฒนาได้เร็วขึ้นและบิดาบุญธรรมของเขายังรอการช่วยเหลือจากเขา เพราะฉะนั้นฉินเฟิงจึงต้องรีบหมั่นเพียรฝึกฝนเพื่อแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
“จากนี้ไป โลกมายาของเราจะมีเมืองใหญ่ไม่มากและไม่มีเจ้าเมือง โลกมายาจะต้องกลายเป็นปึกแผ่นเดียวกันและเมืองใหญ่เหล่านั้นเป็นเพียงส่วนย่อยของเรา เมื่อถึงตอนนั้น พวกท่านผู้อาวุโสต้องหารือกันและส่งคนออกไปจัดการดูแลมัน คนอื่นทั้งหมดต้องเพียรฝึกฝนและแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ สักวันข้าอาจต้องการความช่วยเหลือจากพวกท่าน เมื่อถึงตอนนั้น ข้าหวังว่าจะได้เห็นโลกมายาที่ทรงพลังมากขึ้นและสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน”
นางกล่าวกับซูวั่งชวนและทุกคนก่อนที่พวกเขาพยักศีรษะตอบรับด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาเหมือนจะมองเห็นโลกมายาในรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและเห็นภาพโลกมายาที่ทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ศิษย์พี่ ข้าให้ท่านเป็นคนจัดการต่อก็แล้วกัน เชิญท่านหารือกับทุกคนเกี่ยวกับการจัดการที่เหลือต่อไป ข้าขอตัวเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อน ข้ามีบางอย่างต้องพูดคุยกับซิว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้บุรุษข้างกายและกล่าว
ฉินเฟิงพยักศีรษะและปล่อยให้นางแยกตัวออกไป
หลังจากกล่าวกับทุกคน ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัวทันทีก่อนขับเคลื่อนคฤหาสน์ตรงไปยังชนเผ่าเมฆาคราม
ภายในคฤหาสน์หลังน้อย ซิวกำลังหยอกล้อเล่นกับเด็กแฝดชายหญิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข หลังจากปรับสภาวะพลังในระยะสั้น ๆ พลังของมันก็ฟื้นฟูและใบหน้าไม่ซีดเซียวอีกต่อไป
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของซิวในตอนนี้แกร่งกล้ากว่าเดิมหลายเท่าตัวและยังมีกลิ่นอายของราชันผู้ยิ่งใหญ่ที่มิได้เกรี้ยวโกรธทว่าน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ ๆ นายหญิง เจ้าหนูทั้งสองน่ารักน่าชังมาก ให้ข้าเป็นพ่ออุปถัมภ์ของทั้งสองจะได้รึไม่ ?”
ซิวอุ้มเสี่ยวอ้ายโม่ไว้ในอ้อมแขนขณะแววตาเปี่ยมด้วยความประคบประหงมเอาใจ
เสี่ยวอ้ายฉือกำลังเดินเล่นอยู่รอบ ๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเขาดูมีความสุขอย่างยิ่ง
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา การที่มีพ่ออุปถัมภ์ที่แข็งแกร่งอย่างเจ้า ในอนาคตเจ้าหนูทั้งสองคงไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมารังแก”
ฉินอวี้โม่กล่าวติดตลกขณะเดินตรงไปนั่งลง
“ฮ่า ๆ ๆ แน่นอนอยู่แล้ว ใครจะกล้ารังแกคนของท่านซิวผู้นี้ !”
ซิวยิ้มกริ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลังเช่นเคย
“ฮ่า ๆ ๆ …”
เมื่อได้ยินวาจาหยิ่งผยองของอสูรมายาประจำตัว ฉินอวี้โม่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“นายหญิง หลังจากเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา ท่านเปลี่ยนไปมากทีเดียว”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ที่หัวเราะและยิ้มกว้างด้วยความผ่อนคลาย ซิวก็เดินเข้ามาใกล้และนั่งลง
ฉินอวี้โม่อุ้มเสี่ยวอ้ายโม่นั่งลงบนตักและหยิกแก้มจิ้มลิ้มเบา ๆ โดยไม่เอ่ยตอบ
“คราแรกที่ได้พบกัน ในตอนนั้นท่านยังอ่อนแอยิ่งนัก ทว่าท่านก็เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นและแววตาที่มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ตอนนี้เมื่อท่านแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเย็นชาเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป ตอนนี้ท่านมีชีวิตชีวากว่าเดิมมาก อีกทั้งยังอ่อนโยนและมีความสุขมากขึ้น”
ซิวมองฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงของมันเปี่ยมด้วยความรู้สึกมากมาย
ในตอนแรกที่พบกับฉินอวี้โม่ในถ้ำแห่งนั้น แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับยูนิคอร์นสีนิลที่ทรงพลังกว่าตนเองมาก นางก็ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ความเยือกเย็น แววตามุ่งมั่นและความอาจหาญของนางทำให้ซิวรู้สึกชื่นชมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น
ก่อนที่จะรู้ตัว เวลาหลายปีก็ล่วงเลยผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ฉินอวี้โม่ในวันนี้เป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งเหนือผู้ใด นางยังคงกล้าหาญองอาจและหนักแน่นเช่นเคย ความเด็ดขาดแน่วแน่ของนางไม่เคยหายไป อย่างไรก็ตาม ความเยือกเย็นของนางในตอนนี้ค่อย ๆ จางหายไป นอกเหนือจากความเย็นชาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ในเวลาอื่น ๆ ร่องรอยความเยือกเย็นของนางก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป
ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินวาจาของซิว ในตอนนั้นที่ ‘เธอ’ เพิ่งปรากฏตัวในดินแดนนี้ นางยังเป็นเพียงคนอ่อนแอที่มีพลังเพียงน้อยนิดและไร้มิตรสหาย นอกจากเสี่ยวโร่ว แทบจะไม่มีผู้ใดที่เป็นห่วงหรือใส่ใจชีวิตของนาง ทว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นางก็มีมิตรและสหายมากมายผู้ซึ่งปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ นางมีครอบครัวและญาติพี่น้อง อีกทั้งยังได้เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดบุตรน้อยทั้งสองและมีคนที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต ต่อให้นางจะต้องการทำตัวเย็นชา ความสุขที่ฉายชัดในแววตาก็มิอาจปิดบังได้
เมื่อนึกถึงเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ หลังจากไม่ได้พบหน้านานหลายปี ไม่อาจทราบเลยว่าเด็กสาวผู้นั้นจะเป็นอย่างไร ? หากเป็นไปได้ เมื่อไปถึงดินแดนเทพมายา นางต้องสืบหาข่าวคราวของเสี่ยวโร่วให้ได้
…..
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในหุบเขาที่ห่างไกลในดินแดนเทพมายา โฉมนารีงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางบุปผาสวยงาม ใบหน้าของนางแสดงถึงความสงบสุขและใจเย็น
สตรีผู้นี้สวมอาภรณ์สีเขียวสด เส้นผมดำขลับปล่อยไว้อย่างสบาย ๆ ด้านหลังศีรษะ ใบหน้านวลเนียนและเครื่องหน้าได้สัดส่วนชวนมอง รวมถึงมีรูปร่างที่เย้ายวนทำให้ผู้พบเห็นต้องตกตะลึง
“ใครกัน !?”
ทันใดนั้น นางก็ค่อย ๆ ลืมตาและริมฝีปากบางเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ ด้วยเสียงหวานใส
“คุณหนู ข้าเองขอรับ”
เสียงของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นในหูของนาง
โฉมงามโบกมือเบา ๆ และตรงหน้าของนางก็ปรากฏช่องทางที่ส่องแสงสว่าง
“วิชาข่ายอาคมของคุณหนูแกร่งกล้าขึ้นในทุก ๆ วัน ตอนนี้แม้แต่ข้าก็มิกล้าฝ่าทะลวงเข้าไปแล้ว”
บุรุษวัยกลางคนก็เดินเข้ามาตามช่องทางแสงนั้น แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูธรรมดาอย่างมาก ทว่าก็มิอาจสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของเขาได้เลย เขาสวมอาภรณ์สีเทาและมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ตรงมุมปากที่ดูลึกลับและยากเกินหยั่งถึง
“ลุงเหอ ได้ข่าวมาว่าอย่างไร ?”
เมื่อสตรีนางนั้นได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย นางก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนปรับสีหน้าเป็นราบเรียบเช่นเคย
“ฮ่า ๆ ๆ คุณหนูช่างชาญฉลาดจริงเชียว”
บุรุษวัยกลางคนนามว่าลุงเหอยิ้มพร้อมหยิบม้วนกระดาษยื่นให้กับนาง
“นี่คือข่าวสารทั้งหมดที่ข้าสืบหามาได้ ข้าสืบหาเบาะแสของคนหนึ่งมาได้พอสมควร เพียงแต่ยังมีอีกคนที่ข้ายังไม่ได้ข่าวคราวใด ๆ เลย”
สตรีงดงามรับม้วนกระดาษมาคลี่เปิดออกก่อนกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเจือด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“คิดไว้แล้วเชียวว่าเขาต้องมาหาข้า และข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะกลายเป็นบุคคลที่มีเกียรติและสูงสง่าในดินแดนได้”
นางพึมพำเบา ๆ กับตัวเองก่อนรักษาท่าทีให้ดูสงบนิ่งเช่นเคย “ลุงเหอ สืบหาข่าวเกี่ยวกับอีกคนหนึ่งต่อไป เมื่อได้ข่าวก็รีบมาแจ้งข้าทันที นอกจากนี้ ส่งคนไปคุ้มกันคนที่เพิ่งได้ข่าวมาด้วยล่ะ อย่าให้เขาต้องตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด เข้าใจรึไม่ ?”
“เข้าใจขอรับคุณหนู”
ลุงเหอพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันหลังและเดินจากไป
นางทิ้งตัวนั่งลงอีกคราขณะมองม้วนกระดาษในมือ ความรู้สึกคำนึงหาอย่างลึกซึ้งฉายชัดบนใบหน้า
“เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ท่านจะสบายดีรึไม่นะ ?”
.