ซย่าโหวเสวี่ยจ้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาน่าสงสารแกมขอร้อง
“ชื่อเสียงเกียรติยศขององค์หญิง มิอาจลบหลู่ได้ เช่นนั้นปฏิบัติให้รอบคอบรัดกุมจะดีที่สุด!”
คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนทำเอาหลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ยดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา ในสถานการณ์เช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนยังกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรม เขานับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง! (เว้นเสียแต่ว่าอดรนทนไม่ไหวขึ้นมา เหอะๆ)
“เซี่ยงจิ้น!”
ในตอนนั้นเอง ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาให้เซี่ยงจิ้นตามหมัวมัวที่มีประสบการณ์มากที่สุดเข้ามา… สวีหมัวมัว
สวีหมัวมัวเป็นแม่นมของซย่าโหวจวินอวี่ ทั้งยังเป็นคนข้างกายเขาอีกด้วย เนื่องจากนางไม่มีลูก ดังนั้นหลังจากที่ซย่าโหวจวินอวี่ขึ้นครองราชย์แล้วจึงรับนางเข้ามาอยู่อย่างสุขสบายในวัง
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก จึงมิอาจใช้คนนอกได้ ดังนั้นตัวเลือกหนึ่งเดียวในใจของซย่าโหวจวินอวี่นั่นก็คือสวีหมัวมัว
“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นปี หมื่นๆปี!”
“สวีหมัวมัวรีบลุกขึ้นเถอะ!”
รอจนกระทั่งหรงหมัวมัวลุกขึ้นยืนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่จึงให้นางตรวจร่างกายของซย่าโหวเสวี่ย
ถึงแม้ว่าสวีหมัวมัวจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่สวีหมัวมัวก็อยู่ในวังมาหลายปี จึงรู้ดีว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ดังนั้นจึงหายเข้าไปห้องด้านข้างพร้อมซย่าโหวเสวี่ย
ในเวลาเดียวกันนั้น หมอหลวงหวังเหงื่อแตกทั่วร่างจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม
ดูจากสถานการณ์ ในใจของฝ่าบาททรงเอนเอียงไปทางองค์หญิงเสวี่ยมากกว่า
หรือว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาได้อยู่ในโลกนี้อย่างนั้นหรือ
เวลาผ่านไปไม่นาน สวีหมัวมัวก็เดินออกมาโดยเบื้องหลังติดตามติดตามมาด้วยซย่าโหวเสวี่ยที่แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ
“ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา องค์หญิงเสวี่ยบริสุทธิ์ผุดผ่องเพคะ!”
ซวีม่าม่ายังคงโค้งกายทำความเคารพแล้วกล่าวคำตอบออกมา
เมื่อได้ฟังคำตอบของสวีหมัวมัว หมอหลวงหวังก็แทบจะเป็นลมล้มพับ
“เจ้าโกหก”
เมื่อต้องเผชิญกับคำกล่าวโทษของหมอหลวงหวัง แต่สวีหมัวมัวก็หาได้มีอาการร้อนรนแต่อย่างใดไม่ นางกล่าวตอบอย่างใจเย็น
“บ่าวมิเคยโกหกฝ่าบาท! หากพระองค์มิทรงเชื่อก็สามารถตามคนอื่นมาตรวจสอบได้เลยเพคะ”
“เป็นไปไม่ได้!”
นาทีนั้นหมอหลวงหวังแทบล้มทั้งยืน ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
แต่เมื่อเหลือบไปเห็นหลิวฮองเฮาแอบหยักยิ้มเล็กน้อย เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที
ฮองเฮาทรงซื้อตัวสวีหมัวมัว!
“ฝ่าบาท…”
“เจ้าหุบปาก!”
ซย่าโหวจวินอวี่ยังมีทันเอ่ยอะไรออกมา ซย่าโหวเสวี่ยที่อารมณ์สงบลงบ้างแล้วก็ถลาเข้ามาที่เบื้องหน้า แล้วยกเท้าถีบยอดอกของหมอหลวงหวังอย่างแรง
“หมอหลวงหวัง ท่านช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงขนาดกล้าใส่ร้ายป้ายสีองค์หญิง!”
“บอกมา ใครบงการให้เจ้าทำ!”
“วันนี้เจ้าบังอาจกล้าให้ร้ายองค์หญิง พรุ่งนี้ก็คงกล้าทำร้ายองค์ชาย แล้วต่อไปเจ้าจะทำเรื่องทำเรื่องไม่ละอายต่อฟ้าดินอีกเท่าไหร่กัน! เสด็จพ่อ เจ้ากบฏเช่นนี้เอาไว้ไม่ได้นะเพคะ!”
คนพวกนี้มิอาจให้โอกาสมีลมหายใจต่อไปได้ หากรอจนกระทั่งพวกมันกลับตัวได้ ก็จะกลายเป็นสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยพิษสง แว้งกลับมากัดนางอย่างแน่นอน
ซย่าโหวเสวี่ยก็คือคนเช่นนี้
โทษมหันต์หลายกระทงซัดเข้าหาหมอหลวงหวังไม่หยุด
หน้าอกของเขาที่ถูกฝ่าเท้าของซย่าโหวเสวี่ยถีบเข้าเมื่อครู่ตอนนี้รู้สึกจุกแน่นเป็นอย่างมาก จนหายใจลำบาก แล้วจะมีแรงไปโต้แย้งใครได้
‘ความจริง’ กระจ่างแล้ว!
หลิวฮองเฮายืนอยู่เคียงข้างบุตรสาว ช่วยกันโจมตีหมอหลวงหวัง
ภายในเวลาไม่นาน ภายในห้องบรรทมก็ดังระงมไปด้วยเสียงกล่าวโทษและก่นด่าของหลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ย ทำให้หมอหลวงหวังโกรธจนตาเหลือกแทบจะเป็นลมล้มพับไปด้วยซ้ำ
“พอแล้ว!”
ซย่าโหวจวินอวี่ตวาดขึ้น ฮองเฮาหลิวและซย่าโหวเสวี่ยสบสายตากันแล้วถอยออกไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ
หมอหลวงหวังเป็นคนเช่นไร ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้ดี
เหตุที่เรียกสวีหมัวมัวเข้ามา ก็เพราะว่าท่าทางของซย่าโหวเสวี่ยที่กำลังร้องไห้คล้ายคลึงกับคนรักเก่าของเขา นั่นทำให้ซย่าโหวจวินอวี่ทนดูไม่ได้
บวกกับเรื่องนี้เกี่ยวข้องชื่อเสียงความบริสุทธิ์ผุดผ่องขององค์หญิง ซึ่งในวังยังมีองค์หญิงที่อายุยังน้อยและยังไม่แต่งงานอีกมากมาย ซย่าโหวจวินอวี่จึงไม่ใช่เสด็จพ่อที่เลอะเลือน อีกทั้งยังต้องการสืบหาเหตุผลที่แท้จริงอีกด้วย
แต่ในตอนนี้ผลลัพธ์ที่ออกมาล้วนแต่ชี้ชัดว่าหมอหลวงหวังวินิจฉัยผิด ตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นะ
หมอหลวงหวัง สวีหมัวมัว สองคนนี้ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่โกหก!
คนหนึ่งก็เป็นหมอหลวงที่ทำหน้าที่แพทย์ด้วยความซื่อสัตย์อย่างเต็มกำลังความสามารถ อีกคนก็เป็นแม่นมที่เชื่อใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาคนใดโกหกเขาก็ตาม ซย่าโหวจวินอวี่ก็คงจะรู้สึกผิดหวังมาก
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้โกหก พ่ะย่ะค่ะ…”
มือข้างหนึ่งของหมอหลวงหวังยันพื้นเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็กุมที่ทรวงอก เขาบาดเจ็บหนักดังนั้นทุกครั้งที่เขาโขกศีรษะกับพื้นก็จะมีเหงื่อเม็ดโตหยดลงบนพื้นเสมอ
ทำให้ภายในเวลาไม่นาน บนพื้นบริเวณที่หมอหลวงหวังนั่งคุกเข่าอยู่เปียกชื้นเป็นวงกว้าง
ถูกหลิวฮองเฮาและองค์หญิงเสวี่ยโจมตีอย่างหนัก เขายากที่จะสรรหาคำใดมาแก้ตัวได้ แต่จะไม่ให้เขาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กันตนเองเลยก็ไม่ได้
หมอหลวงหวังรู้ดีว่า หากเขายอมรับความผิดนี้เอาไว้ละก็ มิเพียงจะถูกไล่ออกจากสำนักหมอหลวง แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็จะถูกหางเลขไปด้วย
หากยอมปล่อยให้เขากลับบ้านเกิด ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ เขาก็จะยอมรับ
ทว่าสมาชิกในครอบครัวของเขามีน้อย คงยากที่จะหนีพ้นเงื้อมมือของพวกเขาได้นะสิ!
เพื่อครอบครัว เขาคงต้องสู้ตายอย่างเดียวแล้ว!
“เสด็จพี่ ข้ารู้ว่าอวี้หลัวช่าอยู่ที่ไหน ข้าสามารถเชิญนางมาได้!”
จับตาดูอยู่นานในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยปากออกมา
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ มีบุคคลสองคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี
คนหนึ่งคือซย่าโหวเสวี่ย ที่สีหน้าซีดขาวราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน ไม่นะ นางไม่ยอมพบอวี้หลัวช่าเด็ดขาด!
อีกคนคือหมอหลวงหวัง เขาซาบซึ้งตื้นตันใจซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก ร่างสั่นเทิ่มด้วยความดีใจ
อวี้หลัวช่า!
จักรพรรดิโอสถหนึ่งเดียวของแผ่นดิน!
วิชาแพทย์ของนางไร้ข้อกังขา หากว่าหลินเจียงอ๋องเชิญอวี้หลัวช่ามาได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วข้าก็มีโอกาสรอดแล้ว โอ้ว จริงหรือ! ดีจริงๆเลย!
ได้ฟังเช่นนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก
เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตานางในดวงใจของบุตรชายมาก่อนเลย!
พอดีจะได้ถือโอกาสนี้พบกับอวี้หลัวช่า!
เพราะอย่างไรเสีย ซย่าโหวฉิงเทียนก็ต้องการทั้งสามคน บิดาจะช่วยเจ้าตรวจสอบเสียหน่อย ดูซิว่าอวี้หลัวช่าเป็นคนเช่นไร!
หากว่านางเป็นสตรีที่ดีจริงๆละก็ ต่อให้ซย่าโหวจวินอวี่ต้องขายหน้าแก่ๆนี้ เขาก็จะต้องไปขอนางมาเป็นสะใภ้ให้กับซย่าโหวฉิงเทียนให้จงได้
“ข้าจะไปเชิญนางมา!”
กล่าวจบก็หายตัวไปทันที
เมื่อเห็นบุตรชายรีบร้อนถึงเพียงนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็อมยิ้มในขณะที่มือก็ลูบเคราของตนเอง
อวี้หลัวช่า!
นี่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเขาเชียวนะ!
เขาในฐานะว่าที่พ่อสามีจะต้องดูดีหน่อย นางจะได้ประทับใจ!
อบอุ่น เมตตา ขาดไม่ได้สักข้อ!
แม่นางน้อยเข้าวังเป็นครั้งแรก มิควรทำให้นางตกใจ!
ใบหน้าจะต้องยิ้มแย้ม!
อื้ม จะต้องทำสิ่งเหล่านี้แหละ!
อวี้เฟยเยียนนึกไม่ถึงว่า ซย่าโหวจวินอวี่จะคิดวางแผนไว้มากมาย
สรุปง่ายๆ เลยก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่พบหน้าว่าที่ลูกสะใภ้ ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกว่าตนเองแบกภาระอันหนักอึ้งเอาไว้ ภาระหน้าที่ที่สำคัญเสียยิ่งกว่าการบริหารราชกิจเสียอีก!