ชายหนุ่มสีหน้าดูแคลน เอ่ยปากเสียงกร้าว “เจ้าคือเมิ่งเชี่ยนโยว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “ถูกต้อง ข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือ”

 

 

ชายหนุ่มยังคงพูดเสียงกร้าว “ข้าเป็นใครเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ที่ข้ามาขวางเจ้าในวันนี้ เพื่อจะเตือนเจ้า อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังกลับปล่อยตัวตามสบาย เอนตัวพิงรถม้า ยิ้มพูด “ข้ายุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว ไม่ทราบว่าท่านหมายถึงเรื่องไหน”

 

 

“เรื่องของร้านยาเต๋อเหริน” ชายหนุ่มพูดเสียงเ**้ยม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งไม่เข้าใจ “ท่านคงจะมาหาคนผิดแล้ว แม้ข้ากับนายท่านร้านยาเต๋อเหรินจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ข้าไม่เคยข้องเกี่ยวเรื่องของพวกเขามาก่อน การที่ท่านมาขวางข้าวันนี้เสียแรงเปล่าแล้ว”

 

 

เห็นนางแสร้งโง่ ทำไม่รู้ความ น้ำเสียงชายหนุ่มเริ่มเจือแววดุดัน “เจ้าไม่ต้องตีหน้าเซ่อ ระยะนี้เจ้าทำอะไรไว้เจ้าอยู่แก่ใจดี”

 

 

ดูท่าเรื่องที่ตนเองรักษาโรคให้เฝิงจิ้งเหวินจะเล็ดลอดออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย สีหน้ากลับเรียบเฉย “ท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ท่านช่วยชี้แจงให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่”

 

 

ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดอย่างบันดาลโทสะ “วันนี้ข้าเพียงมาเพื่อเตือนเจ้า ไม่อยากจะลงมือด้วย ดูท่าเจ้าจะเป็นพวกพูดดีไม่ชอบ จะบีบให้ข้าลงมือให้ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกตัวเองเบาๆ กวาดตามองชายฉกรรจ์สิบกว่าคนหน้ารถม้า แสร้งแสดงท่าทีหวาดกลัว “ข้าเป็นคนขี้ขลาด ท่านอย่าทำข้าตกใจเลย”

 

 

ชายหนุ่มพูดเสียงเ**้ยม “รู้จักกลัวก็ดี”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ ข้ากลัวมาก แต่ข้าก็มีนิสัยประหลาดหนึ่ง พอตกใจถึงขีพสุดก็จะคลุ้มคลั่ง พอคลุ้มคลั่งก็จะจำใครไม่ได้ เห็นใครก็ฆ่า”

 

 

ชายหนุ่มชะงักอึ้ง ร้องคำรามด้วยความโกรธ “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าต้องการจะเป็นศัตรูกับข้าจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแคะหูอย่างเอื่อยเฉื่อย พูดว่า “เจ้าเป็นใคร ไยข้าต้องอยากเป็นศัตรูกับเจ้าด้วย”

 

 

ชายหนุ่มหรี่นัยน์ตา จ้องนางอย่างเคียดแค้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องกลับอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว

 

 

โดยรอบเงียบจนน่าสะพรึง

 

 

ชิงหลวนและจูหลีเตรียมพร้อมรับมือ

 

 

กัวเฟยกำบังเ**ยนแน่น

 

 

ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนหน้ารถม้าก็มองพวกเขาในท่าเตรียมพร้อม

 

 

บรรยากาศตึงเครียด รอเพียงสองคนออกคำสั่ง ทั้งสองฝ่ายก็พร้อมรบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องกลับคนผู้นั้น กลับนึกชื่นชมในใจ คนตรงหน้านี้หนักแน่นกว่าเหวินซื่อหลายเท่าตัวนัก หากไม่เพราะเหวินซื่อได้เปรียบทั้งเวลา สถานที่และผู้คนสามปัจจัยนี้ คาดว่าตำแหน่งนายท่านร้านยาเต๋อเหรินคงตกเป็นของเขาไปนานแล้ว น่าเสียดายนัก สถานะต่ำด้อย จิตใจละโมบ ถึงทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

 

 

คิดได้ดังนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยิ้มพูด ทลายบรรยากาศตึงเครียดนี้ว่า “ให้ข้าเดานะ เจ้ามีใบหน้าละม้ายนายท่านเหวินหลายส่วน คิดว่าเจ้าก็คือน้องชายร่วมบิดาต่างมารดา ที่ได้ลอบทำทุกวิถีทางเพื่อลอบฆ่าพี่ใหญ่ของตัวเองครั้งไม่ถ้วน ทว่าแผนการไม่สำเร็จ จนถูกนายท่านใหญ่เหวินขับออกจากสกุล”

 

 

ชายหนุ่มปรากฏสีหน้าตะลึงลาน พลันสลายไปโดยไว มองนางอย่างดุดัน ไม่เอ่ยปากพูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “ที่เจ้ามาขวางทางข้าในวันนี้ คิดว่าเพราะไม่กี่วันมานี้เหวินซื่อจัดระบบภายในจวนใหม่ เจ้าได้รับข่าวบางอย่าง สืบรู้มาว่าเกี่ยวพันกับข้า ถึงได้มาเตือนข้าสินะ”

 

 

ชายหนุ่มเบะปาก “ถึงว่าเจ้าสวะนั้นให้ความสำคัญเจ้าเพียงนี้ สมองใช้ได้ไม่เลว”

 

 

“เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะอย่างยั่วโมโหพูดว่า “ทว่าข้ากลับกังขา เจ้าถูกขับออกจากสกุลเหวิน ถูกลบชื่อออกจากบันทึกสกุล ต่อให้เจ้าทำร้ายเหวินซื่อและฮูหยินได้ เจ้าก็กลับมาเป็นนายท่านร้านยาเต๋อเหรินไม่ได้”

 

 

ชายหนุ่มตอบเสียงกร้าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมาเป็นกังวล ขอเพียงเจ้ารามือตอนนี้ ไม่ต้องไปข้องเกี่ยวกับเศษสวะนั่นอีก วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป และรับประกันว่าภายหน้าจะไม่มาหาเรื่องเจ้าอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สะทกสะท้าน ยังคงยิ้มตอบว่า “หากข้าไม่ยอมรามือเล่า”

 

 

ชายหนุ่มเค้นเสียงเ**้ยม “เช่นนั้นวันนี้ในปีหน้าก็คือวันเซ่นไหว้ของเจ้า”

 

 

“ปากดีนัก คนที่เคยพูดกับข้าเช่นนี้ล้วนไปพบพญามัจจุราชในปรโลกหมดแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้เจ้าอยากจะลองดูหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

 

ชายหนุ่มถูกยั่วยุท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่า บันดาลโทสะพูดว่า “ข้าเข้ามาเจรจาแต่โดยดีก่อน เมื่อเจ้าไม่รู้จักดี ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

 

 

“เหอะ” เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงแล้วพูดว่า “คนที่ดีแต่ลอบกัดคนอื่นลับหลังรู้จักการเจรจาแต่โดยดีด้วย อย่าให้ข้าต้องหัวเราะจนฟันร่วงเลย” พลันเก็บคืนสีหน้า ร้องเรียก “ชิงหลวน! จูหลี!”

 

 

ทั้งสองคนขานรับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้จงทำให้ข้านายของพวกเจ้าได้เห็น ว่าพวกเจ้ามีวรยุทธ์ร้ายกาจเพียงใด ไม่ต้องเกรงใจ”

 

 

ทั้งสองขานรับเสียงดังกังวาน ชักดาบอ่อนข้างเอวออกมา เดินไปหน้ารถม้า

 

 

ชายหนุ่มโบกมือ มีชายฉกรรจ์สองนายเดินออกมา คนที่เหลือถอยออกไปหลายก้าว

 

 

ชายหนุ่มสั่งคนทั้งสองเสียงกร้าว “ไม่ต้องออมมือ ให้พวกนางได้รู้สำนึก”

 

 

ชายฉกรรจ์รับคำ แสดงท่าตั้งรับ

 

 

นับแต่ที่พระชายาเอกมอบชิงหลวนและจูหลีให้นาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็อยากรู้มาตลอดว่าทั้งสองมีวรยุทธ์ลึกล้ำเพียงใด วันนี้เป็นโอกาสดี ให้พวกนางได้แสดงฝีมือ จึงส่งสายตาให้กัวเฟยผ่อนคลายลง เพียงเฝ้าดูอย่างห่างๆ ก็พอ

 

 

กัวเฟยนั่งบนคานรถด้านหน้า รับรู้ได้ถึงพลังของพวกชายฉกรรจ์ รู้ว่าวรยุทธ์ของพวกเขาด้อยกว่าทั้งสองสาวหนึ่งขั้น จึงยอมวางใจลง

 

 

ชิงหลวนและจูหลีออกมือพร้อมกัน ดาบในมือเข้าประหัตประหารตรงเข้าเอาชีวิตชายฉกรรจ์ทั้งสอง

 

 

ชายฉกรรจ์ก็ไม่อ่อนข้อให้ จับอาวุธในมือขวางไว้แล้วตอบโต้กลับทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่หลุบนัยน์ตา ดูท่าน้องชายเหวินซื่อจะลงแรงเพื่อจัดการเขาไปไม่น้อย แม้แต่ลูกน้องยังมีวรยุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้

 

 

ทั้งสี่คนต่อสู้กัน

 

 

คนที่เหลือต่างกลั้นหายใจเฝ้าดูการออกท่าของพวกเขา หลังเสียงดาบกระทบกันครู่ใหญ่ ชิงหลวนและจูหลีก็ถอนกลับมาหน้ารถม้า

 

 

ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนยืนนิ่งอยู่กับที่ ในท่วงท่าถือดาบ

 

 

ชายคนนั้นขมวดคิ้ว ร้องคำราม “เศษสวะ ยืนเซ่อทำไม ยังไม่…”

 

 

เขายังพูดไม่ทันจบ ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็ล้มหน้าคว่ำ เกิดฝุ่นหนาฝุ้งตลบ ทำเอาคนโดยรอบกระแอมไอไม่หยุด

 

 

ชายคนนั้นตะลึงลาน ส่งสายตาให้ชายฉกรรจ์อีกคนเข้าไปตรวจดู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ไม่ต้องดูแล้ว พวกเขาตายไปแล้ว”

 

 

สิ้นเสียงนาง ก็มีเลือดซึมไหลออกมาจากลำคอของชายฉกรรจ์ทั้งสองคน

 

 

ชายหนุ่มมีสีหน้าเหยเกบิดเบี้ยว ยิ่งสะท้อนรังสีเ**้ยมอำมหิต จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ อยากจะฉีกเนื้อแล้วกลืนกินนางทั้งเป็น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบอย่างไม่ยี่หระ “เมื่อสู้ไม่ได้ ก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้”

 

 

สิ้นเสียงนาง รังสีอำมหิตรอบตัวเขาก็ระเบิดออก เดินเค้นตรงเข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ชิงหลวนและจูหลีกำดาบในมือแน่น จับจ้องการกระทำของชายตรงหน้า

 

 

กัวเฟยขยับตัวด้วยความว่องไว เข้าขวางตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

มีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ขยับตัว สีหน้าไม่สะทกสะท้าน ยังคงยิ้มมองไปที่เขา

 

 

ในตอนที่ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มจะสั่งคนเข้าโจมตีอีกครั้ง ชายคนนั้นกลับถอนคืนรังสีอำมหิตฉับพลัน แสยะยิ้มเ**้ยมพูดว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เราต้องได้เจอกันอีก”

 

 

ว่าแล้วก็โบกมือ ชายสองคนเข้ามาแบกร่างชายฉกรรจ์ คนทั้งหมดถอยกลับเข้าเมือง ไม่นานก็เลือนหายไป

 

 

ชิงหลวน จูหลีและกัวเฟยถอนใจโล่งอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับให้นึกหวาดหวั่น ในสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มกลับคิดคำนวณถึงผลประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมความรู้สึกตัวเอง ไม่ให้ลูกน้องตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บอีก มีความลึกล้ำแยบยลกว่าเหวินซื่อหลายเท่าตัว ไม่แปลกที่เหวินซื่อจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดูท่ากลับไปครั้งนี้จะต้องเตือนเหวินซื่อให้ระวังน้องชายที่รับมือได้ยากคนนี้

 

 

คิดได้ดังนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ออกคำสั่งกัวเฟย “ไปได้!”

 

 

กัวเฟยนั่งประจำที่ ตวัดบังเ**ยน ฟาดไปที่ตัวม้าเล็กน้อย ม้าวิ่งมุ่งหน้าไปยังบ้านสวนทันที

 

 

เหวินเปียวนำพวกพ้องของตัวเอง ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง แบ่งที่ดินเปล่าหลายร้อยหมู่เป็นพื้นที่ใหญ่เล็กต่างกันไป พี่น้องแต่ละคนคอยดูแลคนงานทำงานในพื้นที่ที่กำหนด ทำเช่นนี้ ไม่เพียงควบคุมง่าย ทั้งยังได้ประสิทธิผลมาก คนงานที่ทำงานในพื้นที่ของตัวเอง กลัวพื้นที่อื่นจะทำได้มากกว่าพื้นที่ของตน ทำให้นายหญิงคิดว่าพวกเขาแอบอู้ ต่างก้มหน้าทำงานอย่างถวายชีวิต

 

 

เห็นพวกเขาตั้งใจทำงาน พวกพี่น้องเหวินเปียวก็ไม่ยืนเฉย หยิบเครื่องมือร่วมแผ้วถางที่ดินด้วย ดังนั้นบริเวณบ้านสวน จึงมีแต่ภาพการทำงานอย่างแข็งขัน

 

 

เห็นกัวเฟยบังคับรถม้าเข้ามา เหวินเปียวรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาด้วยตัวเอง รีบเข้ามาต้อนรับ กระทั่งรถม้าจอดสนิท เหวินเปียวก็กล่าวถามอย่างนอบน้อมทันที “แม่นาง เหตุใดถึงมาด้วยตัวเอง มีเรื่องอะไรให้คนส่งข่าวเข้ามาก็ได้ขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากรถม้า พูดว่า “ไม่ได้เข้ามาหลายวัน วันนี้จึงเข้ามาดู ทั้งมีหลายเรื่องจะบอกเจ้าด้วย”

 

 

“เช่นนั้นพวกเราไปคุยที่เรือนเถอะ” เหวินเปียวน้อมกล่าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามเขาไปที่เรือน ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพวกนางว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไร พวกเจ้าไม่ต้องตามมา”

 

 

ชิงหลวนและจูหลีหยุดฝีเท้า

 

 

เหวินเปียวและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่เรือน

 

 

คนกินข้าวเยอะ ในเรือนรองรับได้ไม่พอ เหวินเปียวจึงคิดหาวิธี ขุดหลุมตั้งกระทะใบใหญ่บนที่โล่งนอกเรือน ตอนนี้หญิงสาวสิบกว่าคนกำลังขมีขมันทำกับข้าว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้า ต่างทยอยทักทายนาง “นายหญิง!” “นายหญิง!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า ชะโงกมองดูเตา เห็นพวกนางทำตามที่ตนเองสั่ง ใส่เนื้อลงในผัดผักรวมจำนวนมาก จึงพยักหน้าพอใจ พูดว่า “คนงานกินดี ถึงจะมีแรง ไม่ต้องเสียดายเนื้อหมู”

 

 

พวกหญิงสาวมาจากครอบครัวแร้นแค้น มีชีวิตที่อัตคัด ตอนที่มาทำอาหารแรกๆ แม้บ่าวจะซื้อเนื้อมาให้จำนวนมาก พวกนางก็ไม่กล้าใส่มาก เพียงใส่ให้พอเป็นพิธี มีกลิ่นคาวหมูนิดหน่อย ครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา เห็นผัดผักมีแต่ผัก ใช้ตะหลิวคว้านหาเป็นนาน ถึงเจอเนื้อก้อนเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดว่าพวกนาง ทั้งสั่งอย่างเคร่งครัด แต่ละวันซื้อเนื้อหมูมาเท่าไหร่ให้ใส่ลงกระทะเท่านั้น ไม่เช่นนั้นต่อไปไม่ต้องมาทำกับข้าวอีก พวกหญิงสาวตกใจตัวสั่น รีบใส่เนื้อที่เหลือลงไปทั้งหมด หลายวันผ่านไป ถึงคุ้นเคยแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินเปียวเดินเข้ามาในเรือน

 

 

เหวินเปียวยกเก้าอี้เข้ามา เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวนั่ง ตัวเองยืนพินอบพิเทาอีกด้าน

 

 

หลายปีมานี้เหวินเปียวคุ้นชินเช่นนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็คร้านจะพูดกับเขา จึงพูดว่า “วันนี้มีสามเรื่องจะบอกเจ้า เรื่องแรก ข้าวโพดหลายสิบหมู่สุกงอมแล้ว วันพรุ่งเจ้าให้คนงานหยุดการแผ้วถาง ไปเด็ดข้าวโพด จากนั้นแบ่งข้าวโพดให้พวกเขาเท่าๆ กัน ให้พวกเขาขนกลับไปบ้าน”

 

 

เหวินเปียวร้องอุทาน “แม่นาง ข้าวโพดพวกนั้นตั้งหลายหมื่นจินนะขอรับ จะให้พวกเขาเอากลับไปเปล่าเช่นนี้หรือ”

 

 

“ข้าวโพดพวกนี้เป็นของเจ้าของคนก่อนทิ้งไว้ พวกเราซื้อบ้านสวนนี้ได้ในราคาถูกมากแล้ว แบ่งข้าวโพดพวกนี้ให้คนยากแค้นไปเถอะ จำไว้ว่า ตอนแบ่งข้าวโพดจะต้องทำให้เป็นระเบียบ ห้ามเกิดความวุ่นวายเด็ดขาด หากพวกเขาต้องการ ก็ให้แบ่งเอาฟางข้าวโพดกลับไปด้วย”

 

 

เหวินเปียวไม่พูดเตือนอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อว่า “เรื่องที่สอง เหวินเป้าและเหวินซงหายเกือบเป็นปกติแล้ว อีกไม่กี่วันขบวนรถม้าจะกลับไปลำเลียงมันฝรั่ง ให้พวกเขากลับไปพร้อมกัน เจ้าต้องกำชับพวกเขาให้ดี เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ห้ามแพร่งพรายให้คนที่บ้านรู้แม้แต่คำเดียว หากคนที่บ้านเค้นถาม ก็ให้บอกว่าที่นี่งานยุ่งมาก คนไม่พอใช้ พวกเขาจึงต้องอยู่ช่วยงาน”

 

 

เหวินเปียวพยักหน้ารับ

 

 

“เรื่องที่สาม และเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นายท่านฮั้วรู้เรื่องที่พี่น้องของเจ้ามาอยู่บ้านสวนแล้ว หลายวันก่อนเขาและคุณหนูฮั้วมาที่เรือนของข้า เอาพวกเขามาเป็นตัวประกัน แลกเปลี่ยนเจ้ากลับไป ข้าไม่ตกลง นายท่านฮั้วยังพอฟังความ แต่คุณหนูฮั้วดูจะคลั่งเจ้าตนเสียสติไปแล้ว อาจจะทำเรื่องเกินกว่าเหตุได้ ช่วงเวลานี้เจ้าและพวกพี่น้องคอยระวังตัวไว้ หากมีคนต้องสงสัยเข้ามา ให้จับกุมตัวไว้ก่อน ทั้งหลังเลิกงาน จงปิดประตูใหญ่ให้สนิท ห้ามออกไปไหนตามลำพังเด็ดขาด”

 

 

เหวินเปียวได้ฟังดังนั้น ให้ละอายใจ “แม่นาง ข้าสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ท่านอีกแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เจ้าหาได้ผิดไม่ เห็นความอยุติธรรม ยื่นมือเข้าช่วย เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ใครจะไปคิดว่าจะมาเจอกับคนอย่างคุณหนูฮั้ว ถือว่าเป็นคราวซวยของเจ้า ขอเพียงเจ้าและนางไม่มีสัมพันธ์ใดต่อกัน เรื่องทุกอย่างข้าจะจัดการให้เอง”

 

 

เหวินเปียวรับคำเสียงแข็ง “แม่นางวางใจ ในสายตาข้า นางเป็นเพียงหญิงสาวแปลกหน้า ข้าจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดกับนางเด็ดขาด”

 

 

“เจ้ารู้จักวางตัวก็ดี อย่าให้ราคะครอบงำจนเสียสติ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

เหวินเปียวเงยหน้า พูดขึงขัง “เหวินเปียวติดตามแม่นางมาหลายปี แม่นางจะต้องรู้ดีว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร ข้ามีภรรยาบุตรชายบุตรสาว ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าเพียงเตือนเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่หลงใหลในกามราคะเป็นสิ่งดี เปลืองแรงข้าต้องลงมือจัดการเจ้าอีก”

 

 

เหวินเปียวกำหมัดสาบาน “แม่นางวางใจ จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพูดว่า “เรื่องที่ต้องพูดข้าได้พูดหมดแล้ว ต่อไปงานที่บ้านสวนเป็นหน้าที่เจ้าแล้ว ข้าจงจัดการให้เรียบร้อย สำหรับเรื่องของข้า ตอนนี้มีชิงหลวนและจูหลีอยู่ข้างกาย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอีก”

 

 

แม้จะไม่รู้ประวัติที่มาของชิงหลวนและจูหลี แต่พวกนางเดินเหินไร้เส้นเสียง ลมหายใจหนักแน่น ดูก็รู้ว่ามีวรยุทธ์สูงกว่าตนเอง มีพวกนางคอยอยู่เคียงข้างเมิ่งเชี่ยนโยว เหวินเปียวรู้สึกวางใจได้เต็มที่ พูดรับคำ “ทราบแล้ว ข้าจะจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อย แบ่งเบาภาระของแม่นางขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ออกไปจากเรือน

 

 

ถึงยามเที่ยงแล้ว คนงานแผ้วถางต่างพักมือ ทยอยกันเดินเข้ามา เดินต่อแถวเข้ามาหยิบชามรอรับอาหารอย่างมีระเบียบ พอเห็นเนื้อหมูในชาม แต่ละคนต่างแย้มยิ้มด้วยความพึงพอใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น มองพวกเขา

 

 

คนของสำนักคุ้มภัยก็ตามพวกเขากลับมา พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ต่างเอ่ยปากทักทาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพยักหน้ารับ

 

 

เป็นครั้งแรกที่ชิงหลวนและจูหลีเห็นคนหลายร้อยชีวิตกินข้าวด้วยกัน ต่างถลึงตามองอย่างตื่นตาตื่นใจ มองดูพวกเขากินกันอย่างมูมมาม

 

 

พวกนางเป็นองครักษ์เงา ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดแต่เด็ก ความลำบากที่ได้รับคนทั่วไปไม่อาจคาดคิดได้ แต่เรื่องอาหารการกิน นายไม่เคยให้พวกเขาอดยาก มีแต่อาหารชั้นเลิศให้กินทุกวัน ดังนั้นพอเห็นปฏิกิริยาของคนหลายร้อยชีวิตตรงหน้า ก้มหน้าก้มตากินข้าว เพียงไม่กี่คำก็กินหมั่นโถวหนึ่งก้อนหมด ได้แต่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก

 

 

ปกติเหวินเปียวจะกินข้าวกับคนงานแผ้วถาง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ไป จึงหยั่งเชิงถาม “แม่นาง ข้าไปตักอาหารมาให้ท่านดีหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระต้องทำ พวกเจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ กินเสร็จก็พักผ่อนแล้วค่อยทำงานต่อ”

 

 

เหวินเปียวพยักหน้ารับ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า ชิงหลวนและจูหลีคนหนึ่งนั่งด้านหน้า อีกคนนั่งด้านหลัง

 

 

พอทั้งสามคนนั่งดีแล้ว กัวเฟยก็บังคับรถม้าเดินทางกลับ

 

 

เหวินเปียวรอให้รถม้าจากไปไกล ถึงเดินมาหยิบชามด้านข้าง ต่อแถวรับอาหารเหมือนคนงานคนอื่นๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดกับกัวเฟย “วันนี้ที่พวกเราต้องขวัญผวา เพราะเหวินซื่อคนเดียว ไป พวกเราไปร้านยาเต๋อเหริน หลอกกินอาหารจากเขาสักมื้อ”