กัวเฟยรับคำอย่างเบิกบาน “ได้เลย แม่นาง นั่งให้ดีนะขอรับ!” ว่าแล้ว ก็สะบัดบังเ**ยน ม้าเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
เข้ามาในเมือง เส้นทางเดินสะดวกขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่วงเที่ยง ผู้คนไม่พลุกพล่าน กัวเฟยบังคับรถม้าได้เร็วขึ้น ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงหน้าร้านยาเต๋อเหริน
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอารมณ์ในรถม้าครู่หนึ่งถึงเดินลงมา ชักสีหน้าเดินเข้ามาในร้านยาเต๋อเหริน ถามพนักงานเข้าเวร “นายท่านของพวกเจ้าเล่า”
พนักงานเห็นนางชักสีหน้าถมึงทึงเข้ามา ตกใจรีบชี้มือชี้ไม้ไปด้านบน ลนลานพูดว่า “นายท่านกำลังกินอาหารอยู่ชั้นบน ข้าจะไปตามเขาลงมาขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยั้งเขา “ไม่ต้องแล้ว ข้าขึ้นไปเอง”
ว่าแล้ว ไม่รอพนักงานตอบกลับก็สาวเท้าเดิน “ตึงๆๆ” ขึ้นไป
ชิงหลวนและจูหลีเดินตามหลัง
พนักงานมองพวกนางเดินขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ถึงได้สติกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าไม่สู้ดี คงไม่ต่อยตีกับนายท่านดอกนะ พอคิดเช่นนี้ ก็มองไปชั้นบนอย่างเป็นห่วง เตรียมความพร้อมหากมีเสียงเอะอะด้านบน ตนเองจะได้วิ่งไปเรียกคนเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงชั้นบนก็ยกเท้าถีบประตูออก เดินตึงๆ เข้าไป
เหวินซื่อกำลังกินข้าว ตกใจสะดุ้งโหยง อมข้าวเต็มปาก มองนางอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้อง ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาหน้าโต๊ะ “ตึ่ง” กระแทกก้นนั่งลงไป จ้องมองเขาเขม็ง
เหวินซื่อตกใจจนสำลักข้าวในปาก ไอจนหน้าดำหน้าแดง
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงพูด “สมน้ำหน้า เอาให้สำลักจนตายไปเลย”
เหวินซื่อไอจนน้ำตาไหลแล้ว ได้แต่ชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดไม่ออก
“หากเจ้ากล้ายกนิ้วชี้ข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหักนิ้วเจ้าเดี๋ยวนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงกร้าว
เหวินซื่อตกใจชักมือกลับทันที พยายามสะกดกลั้นการไอ ถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่ได้ล่วงเกินเจ้า วันนี้เจ้าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “ใครบอกว่าเจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า ข้าเกือบถูกคนฆ่าตายแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า”
“เฮ้ๆๆ” เหวินซื่อร้องอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่นะ เจ้าถูกคนตามฆ่าเพราะเจ้าไปล่วงเกินคนผู้นั้น เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าอย่าเอาเรื่องทุกอย่างมาโยนให้ข้าได้ไหม ข้าจะบอกให้นะ ที่นี่คือร้านยาเต๋อเหริน ข้าเป็นนายท่านของที่นี่ เจ้าช่วยไว้หน้าข้าบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องจิ๊ๆ “ปากดีนักนะ ยังมีหน้าพูดว่านายท่านร้านยาเต๋อเหริน อีกไม่นานก็จะไม่ใช่แล้ว!”
เหวินซื่อชะโงกหน้าเข้าหานาง พินิจมองนางถามอย่างกังขา “เจ้าไม่ได้ไข้สูงดอกนะ เหตุใดถึงพูดจาเลอะเทอะ เหตุใดไม่นานข้าถึงจะไม่ใช่นายท่านร้านยาเต๋อเหริน”
เมิ่งเชี่ยนโยวช้อนตาชำเลืองมองเขา พูดว่า “คนโง่อย่างเจ้า แม้แต่อีกครึ่งของน้องชายตัวเองก็ยังไม่รู้ เจ้าคิดว่าจะเป็นนายท่านไปได้อีกนานแค่ไหน”
เหวินซื่อเข้าใจความหมายของนางพลัน ขมวดคิ้วพูด “เจ้าเจอเขาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด มองเขาอย่างเคืองขุ่น
เหวินซื่อรู้แจ้ง ตกใจร้องถาม “วันนี้คนที่ตามฆ่าเจ้าก็คือเขา”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเย็น
เหวินซื่อรีบลุกขึ้นเดินออกมาจากโต๊ะ มองประเมินนางขึ้นลง ถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ
เหวินซื่อวางใจลง ถามนางเป็นพรวน “เจ้าไปเจอเขาที่ไหน ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร เหตุใดเขาต้องตามฆ่าเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยตัวตามสบาย ทิ้งตัวเอนพนักพิง ตอบเขาว่า “เส้นทางไปบ้านสวนนอกเมืองของข้า ดูท่าจะสุขสบายดี สำหรับสาเหตุที่เขาตามฆ่าข้า ข้าที่ต้องถามเจ้า”
“ถามข้า” เหวินซื่อชี้จมูกตัวเอง “ข้าไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขามาตามฆ่าเจ้าทำไม”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตัวลุกพรวด
เหวินซื่อตกใจก้าวถอยหลัง ร้องถามเสียงหลง “เจ้า เจ้าจะทำอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด ประเมินมองเขาขึ้นลง เดินวนรอบเขาสองรอบ
เหวินซื่อถูกมองจนขนลุกชูชัน ถามตะกุกตะกักอย่างร้อนตัว “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่ไว้หน้า “ข้ามองว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ถึงป่านนี้ได้อย่างไร”
เหวินซื่อหัวร้อนแล้ว พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ยายตัวดี พูดดีๆ ไม่ได้หรือไง เจ้าพูดสองแง่สามง่ามเช่นนี้ ข้าจะโมโหเจ้าแล้วนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก กลับไปนั่งเก้าอี้
เหวินซื่อก็เดินเข้ามาหลังโต๊ะ นั่งลงถาม “เกิดเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย”
“เจ้าบอกให้พูดข้าก็ต้องพูดหรือ จะบอกให้นะ ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากพูด”
“เจ้า…” เหวินซื่อสะอึกกึก อยากจะระเบิดอารมณ์ก็ไม่กล้า จำต้องถามเสียงอ่อน “ต้องให้ทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมพูด”
“ข้าหิวแล้ว กินอิ่มถึงจะมีแรงพูด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะสั่งพนักงานยกสำรับขึ้นมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้” เหวินซื่อพูดจบก็ลุกขึ้นหมายจะออกไปสั่งพนักงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ข้าอยากกินอาหารที่เหลาจวี้เสียน”
เหวินซื่อเป็นคนใจร้อน อยากรู้ว่าทำไมน้องชายต่างมารดาของตนต้องตามไล่ฆ่านาง ได้ยินดังนั้นร้องโวยวายลั่น “แม่เจ้าประคุณทูนหัว เจ้าถูไถกินไปก่อน แล้วรีบบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้น เอาไว้มื้อค่ำ ข้าจะเลี้ยงเจ้าที่เหลาจวี้เสียนให้อิ่มหนำเทียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ได้ ไม่เพียงข้า สาวใช้ทั้งสองคนต้องปะทะฝีมือกับพวกเขา เหนื่อยล้าไปหมด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกินเสริมให้อิ่มก่อน”
เหวินซื่อกระทืบเท้ารัว “มื้อค่ำ มื้อค่ำได้หรือไม่ ตอนค่ำพวกเจ้าอยากกินสั่งได้ตามใจชอบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ส่ายหน้าเอื่อย
เหวินซื่อทั้งโมโห ทั้งทำอะไรไม่ได้ จำต้องพูดว่า “ได้ๆๆ ข้าจะสั่งพนักงานไปเหลาจวี้เสียนเดี๋ยวนี้” พูดจบก็สาวเท้าเดินมาเปิดประตู เปล่งเสียงร้องไปชั้นล่าง “มีใครอยู่บ้าง!”
พนักงานเข้าเวรที่คอยฟังความเคลื่อนไหวชั้นบน ได้ยินเสียงเหวินซื่อ รีบวิ่งขึ้นมาถามทันที “นายท่าน มีอะไรเรียกใช้ขอรับ”
เหวินซื่อสั่งเขา “รีบไปเหลาจวี้เสียน บอกพวกเขาทำอาหารหนึ่งโต๊ะให้เจ้านำกลับมา”
พนักงานรับคำวิ่งลงไปเบิกเงินกับฝ่ายบัญชี หยิบปิ่นโตหวาย วิ่งไปเหลาจวี้เสียนทันที
สั่งการเสร็จ เหวินซื่อก็ปิดประตูเดินกลับมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พักใหญ่กว่าพนักงานจะกลับมา เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังก่อนได้หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างเกียจคร้าน พ่นออกมาหนึ่งคำ “หิว”
เหวินซื่อโมโหกรอกตาขาวใส่ กลับทำอะไรนางไม่ได้ เดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปนั่งบนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขำ พูดว่า “เจ้าบอกข้ามาก่อน ที่ผ่านมาเจ้าสืบได้ความอะไรบ้าง”
พูดถึงเรื่องนี้ เหวินซื่อเก็บคืนอาการ ขมวดคิ้วพูดว่า “หลายวันที่ผ่านมา ข้าสืบไม่พบผู้ต้องสงสัยใดในเรือนของข้าสักคน”
“โง่!” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ
เหวินซื่อสะอึกกึก กำลังจะระเบิดอารมณ์ คำพูดต่อมาของเมิ่งเชี่ยนโยวขวางไฟโทสะของเขาให้ย้อนกลับ “น้องชายของเจ้ารู้เรื่องที่ข้ารักษาโรคให้อาซ้อแล้ว ที่วันนี้เขามาขวางรถม้าก็เพื่อขู่เตือนข้า อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ตายดี”
เหวินซื่อทะลึ่งพรวด “จะเป็นไปได้อย่างไร เรื่องที่เจ้ารักษาโรคให้เหวินเอ๋อร์ แม้แต่ท่านปู่ข้ายังไม่บอก เขาจะรู้ได้อย่างไร”
“เรื่องนี้ต้องถามเจ้า ช่วงที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรอยู่กันแน่ อีกอย่าง นับแต่ที่น้องชายเจ้าถูกขับออกไป เขาไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไร เจ้าสืบรู้แล้วหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วถาม
เหวินซื่อที่ยังตกอยู่ในภวังค์ได้แต่ส่ายหน้า “ยังเลย นับแต่ที่เขาถูกขับออกจากสกุล ก็ไม่มีการติดต่อกับคนในสกุลอีก คนที่ข้าส่งไปก็ยังไม่รู้ที่อยู่ของเขา”
ฟังคำพูดเขาจบ เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือก่ายหน้าผาก “ข้าสงสัยจริงๆ ที่ผ่านมาเจ้ามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร หรือแม่เลี้ยงและน้องชายคิดว่าเจ้าไร้พิษสง จึงไม่ลงมือกับเจ้า ปล่อยเจ้าให้มีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้”
พูดจบ ไม่รอให้เหวินซื่อตอบก็พูดขึ้นว่า “ข้าดวงซวยแท้ๆ เหตุใดถึงมีเพื่อนเช่นนี้ได้ ไม่เพียงไม่มีสมอง ยังเป็นคนดีผิดที่ผิดทางอีก”
“เจ้า…” เหวินซื่อสะอึกจนพูดต่อไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวแวดใส่เขา “เจ้าอะไรเจ้า ตอนนั้นข้าก็บอกเจ้าแล้ว อย่าได้ใจอ่อน ต้องถอนรากถอนโคน ไม่เช่นนั้นจะย้อนกลับมาแว้งกัดได้ เจ้าก็ไม่เชื่อ ใจอ่อนปล่อยเขาไป ตอนนี้ดีแล้ว ไม่เพียงอาซ้อต้องตกอยู่ในอันตราย แม้แต่ข้าก็พลอยติดร่างแหไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดล้วนเป็นความจริง เหวินซื่อไม่อาจโต้แย้ง หย่อนก้นนั่งตามเดิม พูดงึมๆ งำๆ “ข้าก็แค่คิดว่าอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายข้า ทำใจห่ำหั่นกันเองไม่ลง”
“เจ้าทำถูกต้องที่สุดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถากถางเขา “ไม่เช่นนั้นนายท่านใหญ่จะเสียหลานไปได้อย่างไร ต่อไปเจ้าจะสูญเสียตำแหน่งนายท่านร้านยาเต๋อเหรินได้อย่างไร”
เหวินซื่อพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิงแล้ว
ชิงหลวนและจูหลีที่นอกประตูหันหน้าสบตากัน ต่างเห็นความพิลึกพิลั่นในสายตากันและกัน นายท่านเหวินผู้นี้เป็นบุคคลมีหน้ามีตาของเมืองหลวง เหตุใดถึงยอมให้นายท่านตำหนิว่าได้ถึงเช่นนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเหวินซื่อไม่พูด จึงไม่ปริปากอีก
พนักงานหิ้วปิ่นโตหวายขึ้นมา เดินมาเคาะที่หน้าประตู “นายท่าน ซื้ออาหารกลับมาแล้วขอรับ”
“เอาเข้ามาได้” เสียงเหวินซื่อดังลอยออกมา
พนักงานเปิดประตูเดินเข้าไป จัดวางสำรับอาหารไว้บนโต๊ะ พูดอย่างอ่อนน้อม “นายท่าน แม่นางเมิ่ง ทั้งหมดนี้คืออาหารขึ้นชื่อของเหลาจวี้เสียนของรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบใจมาก!”
พนักงานรีบโบกมือ “แม่นางเกรงใจแล้วขอรับ”
“ออกไปเถอะ มีอะไรข้าค่อยเรียกเจ้า” เหวินซื่อบอกเขา
พนักงานรับคำ เก็บปิ่นโตหวายเดินออกไป
เหวินซื่อกำลังจะลุกขึ้นเดินมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งเสียงสั่งออกไปด้านนอก “ชิงหลวน ไปตามกัวเฟยมากินข้าวด้วยกัน ให้พนักงานช่วยดูแลรถม้าแทน กินข้าวเสร็จ พวกเราจะกลับทันที”
เหวินซื่อชะงักเล็กน้อย นั่งกลับลงไปอย่างเก่า
ชิงหลวนลงมาตามกัวเฟยขึ้นไป ทั้งสามเดินเข้ามาในห้อง ทำความเคารพเหวินซื่อ นั่งลงร่วมกินข้าวพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
ปกติหากหวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวก็จะกินข้าวร่วมกับคนในบ้าน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
เหวินซื่อมองดูพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วมองดูอาหารเต็มโต๊ะตรงหน้า กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แอบงึมงำในใจว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคนขี้งก กินอาหารที่ตนเองจ่ายเงิน กลับไม่ให้เขาร่วมวงกินด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่ได้ยินเสียงในใจเขา พอกินข้าวจนอิ่มหนำ ดื่มชาที่พนักงานยกมาให้เสร็จ ก็พูดกับเหวินซื่อว่า “เมื่อน้องชายเจ้ารู้เรื่องที่ข้ารักษาโรคให้อาซ้อ จักต้องไม่ยอมเลิกรา เจ้าจะต้องเร่งสืบความ กำจัดเขาโดยไว ไม่เช่นนั้นไม่เพียงอาซ้อที่จะเป็นอันตราย แม้แต่เจ้าก็จะเดือดร้อนไปด้วย”
เหวินซื่อพยักหน้า สีหน้าหนักแน่น “ข้ารู้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปเตรียมการทันที”
“เจ้าคิดจะจัดการเช่นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เหวินซื่อตอบว่า “กลับไปข้าจะไปหาท่านปู่ บอกเรื่องที่เกิดขึ้นหลายวันนี้กับเขา ให้เขาส่งคนไปจัดการ”
“รู้จักยืมแรงคนอื่น นับว่ายังไม่โง่มาก แต่ว่า เรื่องนี้ยิ่งจัดการได้เร็วยิ่งดี อาการป่วยของอาซ้อรักษาจนเกือบหายแล้ว อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะมีบุตรได้ อย่าให้เกิดเรื่องในช่วงเวลาสำคัญนี้อีก เอาอย่างนี้ ข้าจะกลับไปหารือกับอี้เซวียน ขอยืมคนของพวกเรามาให้เจ้า ข้าจะให้พวกเขาตรงมาหาเจ้าที่ร้านยาเต๋อเหรินเอง”
เหวินซื่อพยักหน้า แย้มยิ้มพูดว่า “ขอบใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า ตอนที่หมอชราจะสิ้นใจ ข้าได้รับปากเขา จะปกป้องเจ้าสุดความสามารถ ตอนนี้ข้าเพียงทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ก็เท่านั้น”
เอ่ยถึงหมอชรา รอยยิ้มบนใบหน้าเหวินซื่อพลันจางหาย
ที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นลงมาชั้นล่าง
เหวินซื่อออกมาส่งนางถึงชั้นล่าง มองนางนั่งรถม้าจากไป หันมาสั่งพนักงานบังคับรถม้าออกมา ขึ้นรถม้ากลับไปปรึกษากับนายท่านใหญ่ที่บ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน เห็นว่าวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้ามา ได้โอกาสพักผ่อน จึงเรียกชิงหลวน จูหลานและสาวใช้อีกสามคนเข้ามาช่วยบดสมุนไพร ช่วงที่ผ่านมายุ่งตัวเป็นเกลียว ไม่ได้ปรุงยารักษารอยแผลเป็นนานแล้ว วันนี้มีเวลาฉวยโอกาสนี้ปรุงออกมามากหน่อย เลี่ยงไม่ให้ภายหน้ายุ่งมากจนไม่มีสินค้าส่งให้ร้านยาเต๋อเหรินอีก
ตอนบ่ายคนทั้งหมดพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกอย่างสนุกสนาน
กระทั่งยามค่ำ พอเมิ่งฉีกลับมา กินข้าวเย็นเสร็จ สองพี่น้องพูดคุยกันเรื่องโรงงานครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกลับมานอนที่ห้องตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่สะลึมสะลือไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ เสียงเคาะประตูเร่งเร้าดังแว่วมา ทำเอานางลืมตาตื่น ลุกพรวดขึ้นฉับพลัน