บทที่ 471 ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เหตุไฉนถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก?”

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 471 ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เหตุไฉนถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก?”

 

 

“กราบเรียนใต้เท้า ทางเข้าเหมืองเคยอยู่ตรงนี้จริงๆ ข้าไม่ได้โกหกท่าน เพียงแต่ว่าบัดนี้กระแสน้ำรุนแรงมากเกินไป เกรงว่ากว่าที่เราจะสามารถขุดดินโคลนและซากต้นไม้ออกจากปากทางเข้าได้อีกครั้ง ก็คงต้องรอให้ฝนหยุดตกเสียก่อนขอรับ”

 

 

อู๋เฟิ่งกูยกมือปาดน้ำฝนออกจากใบหน้า พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 

 

หยิงอู๋จีที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้าไม่สบอารมณ์

 

 

เขาอยากจะให้คนงานทำการระบายน้ำออกจากปากทางเข้าเหมืองและขุดดินโคลนรวมถึงบรรดาซากต้นไม้ที่ขวางทางออกไปให้หมด ภารกิจของหยิงอู๋จีคือนำแร่หินบูชาออกไปจากเหมืองแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าธรรมชาติกลับไม่เป็นใจ พายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมาหยุดยั้งการทำงานทุกอย่าง โดยที่หัวหน้าหน่วยมือปราบไม่สามารถทำอะไรได้เลย

 

 

“เจ้าอยากตายหรือไง?”

 

 

หยิงอู๋จีถามด้วยสีหน้าอำมหิต

 

 

อู๋เฟิ่งกูรีบประคองใบถือสิทธิ์ผู้ร่วมก่อตั้งการขุดเหมืองยื่นให้หยิงอู๋จีดูโดยไม่ลังเล “ข้าได้เตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้านานแล้วขอรับ ข้ายินดีเปลี่ยนชื่อในสัญญาการถือครองสิทธิ์นี้ให้เป็นชื่อของท่าน ข้าไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ขอเพียงใต้เท้าหยิงปล่อยตัวครอบครัวของข้าไปเท่านั้นก็พอ เพราะครอบครัวของข้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย…”

 

 

หยิงอู๋จีรับเอกสารมาตรวจดูด้วยความสนใจ จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยความเหยียดหยาม “นับว่าเจ้ามองการณ์ไกลไม่น้อย”

 

 

แทนที่เถ้าแก่สวนแตงโมจะยื่นข้อเสนอเป็นเงินก้อนใหญ่ให้แก่หยิงอู๋จี คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับยื่นข้อเสนอเป็นใบถือครองสิทธิ์เช่นนี้

 

 

แต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับหยิงอู๋จีอีกต่อไป

 

 

แม้ว่าหัวหน้าหน่วยมือปราบจะมีแววตาเป็นประกายด้วยความพึงพอใจอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าสุดท้ายสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป หยิงอู๋จีพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “นี่มันอะไร? หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ได้รับส่วนแบ่งทั้งหมดถึง 60 ส่วน และถ้าไม่ได้รับการลงนามยินยอมจากเขา ผู้ได้รับส่วนแบ่งคนอื่นๆ ก็ไม่มีทางได้รับเงินอย่างนั้นหรือ?”

 

 

อู๋เฟิ่งกูคุกเข่าลงกับพื้นดินทันที

 

 

เขาขอร้องอ้อนวอนด้วยใบหน้านองน้ำตา “ใต้เท้าคงไม่รู้ว่าเจ้าลูกสุนัขหลินเป่ยเฉิน มันบังคับให้ข้ายกเหมืองแร่หินแห่งนี้ให้กับมันขอรับ ท่านต้องไม่ลืมว่าข้าเป็นเพียงเจ้าของสวนแตงโมเล็กๆ จะไปกล้าขัดใจผู้มีอำนาจและชื่อเสียงโด่งดังอย่างหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร… ต้องรบกวนใต้เท้าช่วยเหลือข้าแล้ว”

 

 

หยิงอู๋จีใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล

 

 

เอกสารเหล่านี้ลงนามอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับการรับรองจากคนของกระทรวงการค้าเป็นที่เรียบร้อย

 

 

ด้วยเหตุนี้ การที่อู๋เฟิ่งกูยื่นข้อเสนอเปลี่ยนชื่อในใบสัญญานั้นจะไม่เป็นผลเลย หากหลินเป่ยเฉินไม่ลงนามแสดงความยินยอม

 

 

เว้นแต่ว่าหลินเป่ยเฉินตายเมื่อไหร่ ความยุ่งยากทั้งหมดก็จะจบลงเมื่อนั้น

 

 

ครืน!

 

 

ท้องฟ้าคำราม สายฟ้าแลบแปลบปลาบ

 

 

ขณะที่ความมืดมิดรอบตัวสว่างวูบวาบในชั่วพริบตานั้น สีหน้าของหยิงอู๋จียิ่งดูอำมหิตน่าเกลียดน่ากลัวมากกว่าเดิม

 

 

“พวกเจ้าเก็บสัญญาฉบับนี้ไว้ให้ข้า แล้วก็อย่าปล่อยให้ใครเข้าออกภูเขาลูกนี้เด็ดขาด”

 

 

หยิงอู๋จีออกคำสั่งกับลูกน้องของตนเอง

 

 

เขาจำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้คุณชายเหลียนซานรับทราบโดยเร็วที่สุด

 

 

แต่เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว หัวหน้าหน่วยมือปราบก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหมุนตัวกลับมาออกคำสั่งเพิ่มเติม “จับตัวสมาชิกครอบครัวของอู๋เฟิ่งกูไปคุมขัง อย่าให้มีใครสามารถติดต่อพวกเขาได้แม้แต่คนเดียว หากมีผู้ใดกล้าคิดหลบหนี ให้ฆ่าทิ้งได้ทันทีไม่ต้องรอรับคำสั่ง”

 

 

“รับทราบขอรับ”

 

 

หยิงอู๋จีหมุนตัวเดินต่อไปได้อีกไม่กี่ก้าว ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้อีกครั้ง จึงต้องหมุนตัวกลับมาออกคำสั่งอีกรอบ “สั่งให้เจ้าของสวนแตงโมกับคนงานขุดเหมืองหาทางระบายน้ำออกไปจากทางเข้าซะ แล้วก็ให้พวกมันนำแร่หินออกมาให้ได้โดยเร็วที่สุด…”

 

 

“แต่ว่าสภาพอากาศเช่นนี้… การขุดเหมืองอันตรายเกินไปนะขอรับ”

 

 

“อันตรายก็ช่าง ข้าไม่สนว่าจะต้องมีใครตายหรือไม่ ขอแค่พวกมันนำแร่หินบูชาออกมาได้ก็พอแล้ว”

 

 

“รับทราบขอรับใต้เท้า”

 

 

 

 

ณ จวนผู้ว่า

 

 

พายุฝนระลอกนี้โหมกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงจริงๆ

 

 

หยุนเมิ่งเป็นเมืองติดชายทะเล การมีฝนตกตลอดทั้งปี นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

 

 

แต่นี่คือพายุฝนที่ตกหนักมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

 

 

ระบบการระบายน้ำในตัวเมืองยังคงพอรับไหว แต่ในพื้นที่เขตชานเมืองและย่านชนบท เริ่มเกิดน้ำท่วมขังระดับหน้าแข้ง ถนนหลายสายถูกกลืนหายไปภายใต้กระแสน้ำท่วมล้น

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ ดวงตากำลังจ้องมองม่านฝนที่ยังคงตกกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย

 

 

“กราบเรียนนายท่าน บ่าวได้สั่งให้เวรยามทุกคนกลับไปแล้วขอรับ”

 

 

พ่อบ้านวัย 60 ปีผู้มีนามว่าฉุยจุนเดินเข้ามาค้อมตัวรายงานด้วยความเคารพเทิดทูน “ส่วนนายน้อยนั้นยังพักอยู่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สาม และทุกสิ่งที่นายท่านได้สั่งเอาไว้… บ่าวได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วขอรับ”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้ายิ้มแย้มและหันกลับมาพูดว่า “ดีมากพ่อบ้านฉุย ท่านก็กลับบ้านไปได้แล้ว ฝนตกหนักเช่นนี้ ท่านกลับไปดูแลครอบครัวเถิด”

 

 

พ่อบ้านชราไม่พูดคำใดอีกต่อไป เพียงประสานมือก้มหัวคำนับรับคำสั่ง “ขอรับ”

 

 

จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกางร่มหายลับไปภายใต้สายฝนและความมืด

 

 

จวนผู้ว่าที่ใหญ่โตโอ่อ่าพลันเงียบเหงาวังเวงไม่ต่างจากสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยังคงยืนอยู่ในความเงียบหน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่

 

 

ในค่ำคืนที่มีฝนตกหนัก อากาศย่อมหนาวเย็น

 

 

สายฟ้าพุ่งฉีกกระชากก้อนเมฆสีดำเบื้องบนท้องนภายามราตรี

 

 

พื้นดินสว่างไสว

 

 

แล้วความมืดมิดก็กลับมาครอบคลุมอีกครั้ง

 

 

“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เหตุไฉนถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีก?”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงคลี่ยิ้มผ่อนคลาย

 

 

วูบ!

 

 

เกิดแสงสว่างวูบวาบขึ้นเบื้องหน้าจวนผู้ว่า

 

 

ทันใดนั้น ร่างของชายวัยกลางคนผู้มีมงกุฎอยู่บนศีรษะก็ปรากฏตัวขึ้นบนสนามหญ้า

 

 

“รับรู้ถึงการมีอยู่ของข้า แสดงว่าระดับพลังของท่านสูงส่งไม่ใช่น้อย”

 

 

ชายวัยกลางคนผู้มาเยือนแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เปิดเผยให้เห็นถึงฟันที่เป็นเขี้ยวแหลมเหมือนสัตว์ร้าย มือขวากุมอยู่ที่ด้ามจับกระบี่ข้างเอว พร้อมกับพูดว่า “ท่านเจ้าเมืองฉุย รู้สึกว่าช่วงหลังท่านชักจะพูดมากเกินไปเสียแล้ว นายท่านของข้าฝากให้มาบอกท่านว่าได้โปรดหุบปากลงเสียบ้างเถิด”

 

 

“ฮ่าฮ่า คุณชายเว่ยหมิงเฉินนับเป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เสียแต่ใจร้อนเกินไปหน่อย ถึงกับออกคำสั่งให้สุนัขรับใช้ของตนเองมาฆ่าคนของทางการเชียวหรือ?”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยิ้มแย้มตอบกลับไปเหมือนไม่มีความหนักใจแต่อย่างใด

 

 

“ท่านเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กๆ ปราศจากความสำคัญ แล้วทำไมถึงฆ่าไม่ได้?”

 

 

ผู้มาเยือนกระตุกยิ้มมุมปาก “อีกอย่าง คืนนี้มีพายุฝนโหมกระหน่ำ ร่องรอยหลักฐานทุกอย่างคงถูกสายฝนทำลายทิ้งหมดสิ้น ย่อมไม่มีผู้ใดรู้เป็นแน่แท้ว่าใครคือฆาตกรที่ลงมือสังหารท่าน”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็พูดว่า “นี่แสดงว่าเจ้าคงเป็นคนร้ายที่ลอบโจมตีรถม้าของใต้เท้าหลิงจุนเซวียนเมื่อครั้งก่อนสินะ?”