บทที่ 472 บุกถล่มจวนผู้ว่า

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 472 บุกถล่มจวนผู้ว่า

 

 

“น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ตาย”

 

 

เจียงฟาน บุรุษวัยกลางคนผู้สวมใส่มงกุฎเหยียดยิ้ม

 

 

รังสีสังหารแผ่ออกมาจากร่างกายรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เสมือนรังสีที่แผ่ออกมาจากตัวของสัตว์ร้าย ซึ่งกำลังจะโจมตีเหยื่อของมัน

 

 

ฉุยเฮาเฟิงผงกศรีษะ กล่าวว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงของกระบี่เหินหาวมานานแล้ว เห็นแอบอ้างว่ามีวิชาตัวเบายอดเยี่ยมที่สุดในยุทธภพ วันนี้จึงอยากขอรบกวนให้เจ้าชี้แนะสักหลายกระบวนท่า”

 

 

แขนเสื้อโบกสะบัด

 

 

มือของท่านเจ้าเมืองยื่นออกมาด้านหน้า

 

 

วูบ!

 

 

แล้วกระบี่ยาวที่วางอยู่บนแคร่วางอาวุธก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขาเหมือนกับเป็นสิ่งมีชีวิต

 

 

แต่นี่เป็นเพียงกระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่ง

 

 

 เหนือกระบี่ยังคงมีสายฝนเปียกปอน

 

 

ฉุยเฮาเฟิงเลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้ายิ่งเปิดเผยถึงความทะนงองอาจ มือซ้ายของเขาขยับเล็กน้อย แล้วฝักกระบี่ก็ถูกสะบัดอย่างรุนแรง

 

 

ฟึบ!

 

 

น้ำฝนที่เกาะอยู่บนฝักกระบี่เป็นจำนวนสิบหยด พุ่งทะลวงออกไปในอากาศด้วยความเร็วแรงไม่ต่างจากคมธนู และเป้าหมายของพวกมันก็อยู่ที่กระบี่เหินหาวเจียงฟาน

 

 

ร่างของเจียงฟานขยับเคลื่อนไหวรวดเร็ว

 

 

เพียงพริบตาเดียว ชายวัยกลางคนก็สามารถตีลังกาทิ้งตัวลงมายืนอยู่ห่างจากจุดที่หยดน้ำฝนมรณะซัดใส่เมื่อสักครู่ และที่น่ากลัวมากกว่าเดิมก็คือ บัดนี้เขามาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าฉุยเฮาเฟิงในระยะห่างเพียงเอื้อมมือ

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น กระบี่ได้ถูกชักออกมาแล้ว

 

 

วูบ!

 

 

คมกระบี่วาววับสาดประกายจากข้อมือของเจียงฟาน

 

 

คมกระบี่พุ่งเป็นลำแสงสีเงินตัดม่านฝนตรงมาข้างหน้า

 

 

ฉุยเฮาเฟิงสะกิดปลายเท้าซ้ายลงไปบนพื้นเล็กน้อย แล้วตัวของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศด้วยความว่องไว คมกระบี่จากเจียงฟานจึงเพียงเฉียดผ่านหน้าผากของผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ไปอย่างเฉียดฉิว

 

 

ครืน!

 

 

ห้องโถงที่อยู่ด้านหลังถูกคมกระบี่ของเจียงฟานพุ่งเข้าใส่ ได้ยินเสียงผ้าม่านฉีกขาดและข้าวของแตกกระจาย เมื่อเจียงฟานตวัดกระบี่อีกครั้ง โต๊ะและเก้าอี้ไม้ชั้นดีก็แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปทันที

 

 

มือกระบี่เหินหาวหมุนตัวกลางอากาศด้วยความรวดเร็วราวกับเป็นวิญญาณตนหนึ่ง

 

 

ม่านฝนสาดกระจายไปรอบบริเวณ

 

 

เขาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของฉุยเฮาเฟิงได้โดยไม่มีปัญหา ในขณะที่จังหวะเดียวกันนั้น กระบี่ในมือก็เคลื่อนไหวด้วยความร้ายกาจ ประกายกระบี่วูบวาบแวววาวละลานตา เจียงฟานระเบิดพลังลมปราณกระบี่ออกมาครอบคลุมเป็นตาข่ายฟ้า คุกคามตามติดฉุยเฮาเฟิงไม่เลิกรา

 

 

ฝั่งเจ้าเมืองใช้สองมือยึดจับด้ามกระบี่และยกกระบี่ขึ้นตั้งแนวขวาง ผมสีดำของเขาปลิวไสวตามสายลมกรรโชกแรง

 

 

“กระบวนท่าที่ตื้นเขินเช่นนี้ ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”

 

 

เปรี้ยง!

 

 

ตาข่ายกระบี่ที่ครอบคลุมเข้ามาจากการโจมตีของเจียงฟานถูกสลายลงไปด้วยการตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียว

 

 

ฉุยเฮาเฟิงพลิ้วกายเหมือนนกอินทรียักษ์

 

 

กระบี่ในมือของเขาโจมตีรวดเร็วฉับไว

 

 

เจียงฟานยกกระบี่ขึ้นปัดป้อง

 

 

เคล้ง!

 

 

คมกระบี่ปะทะกัน

 

 

ได้ยินเสียงกระบี่เสียดสีกัน

 

 

ประกายไฟสาดกระจายในค่ำคืนที่พายุฝนโหมกระหน่ำ

 

 

แสงสว่างจากประกายไฟของคมกระบี่เผยให้เห็นถึงใบหน้าของทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งมีใบหน้าหล่อเหลา ในขณะที่อีกคนมีใบหน้าดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัว

 

 

การปะทะฝีมือหลายกระบวนท่าผ่านพ้นไป

 

 

สะเก็ดไฟสาดกระจายในอากาศ

 

 

ทันใดนั้น

 

 

เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!

 

 

เงาร่างของบุคคลทั้งสองเคลื่อนไหวเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา

 

 

ไม่มีผู้ใดทราบแล้วว่าทั้งสองฝ่ายใช้ออกมาแล้วกี่กระบวนท่า

 

 

นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้ที่อยู่ในขอบเขตพลังระดับเดียวกัน พวกเขาต่างก็มีความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้น ประกายไฟจากคมกระบี่ที่ปรากฏขึ้นในความมืดมิด จึงดูสว่างไสวและสวยงามไม่ต่างไปจากดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นยามมีเทศกาลรื่นเริง

 

 

แต่แล้ว…

 

 

ฉึก! ฉึก! ฉึก!

 

 

ได้ยินเสียงคมกระบี่เสียดแทงทะลุเนื้อคนดังขึ้น 3 ครั้งซ้อน

 

 

หยดเลือดสาดกระเซ็น

 

 

วูบ!

 

 

เงาร่างของบุคคลผู้หนึ่งพลิ้วกายหลบหนีไปในอากาศ

 

 

เลือดยังคงหยดอยู่บนพื้นดิน แต่ในไม่ช้าก็ถูกสายฝนชะล้างหมดไป

 

 

กระบี่เหินหาวเจียงฟานยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไล่ตาม

 

 

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉุยเฮาเฟิงคนนี้ปิดบังฝีมือที่แท้จริงไว้หรือนี่ อย่างน้อยเขาก็มีพลังอยู่ในระดับเดียวกับเรา เห็นทีคนที่ช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินสังหารหน่วยนักรบมังกรดำระหว่างทางขึ้นเขา ก็คงเป็นฉุยเฮาเฟิงนี่เอง”

 

 

กระบี่ในมือเจียงฟานสอดคืนกลับเข้าไปในฝักอย่างแช่มช้า

 

 

“น่าเสียดายที่ทักษะการต่อสู้ต่ำต้อยมากเกินไป ยังคงไม่ใช่คู่มือของเราอยู่ดี”

 

 

“แต่วิชาตัวเบาที่ใช้หลบหนีครั้งนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง และเขารู้ดีว่าฝนตกหนักเกินไป เราไม่สามารถไล่ตามได้”

 

 

“ถึงกระนั้น การที่ได้รับบาดเจ็บจากกระบวนท่ากระบี่สลายโลหิตของเรา อวัยวะภายในและเส้นเลือดจะได้รับความเสียหายร้ายแรง คาดว่าเขาเหลือเวลาให้ใช้ชีวิตได้อีกเพียง 3 วันเท่านั้น ต่อให้ฉุยเฮาเฟิงหลบหนีเราได้สำเร็จ แต่ก็หลบหนีความตายไม่พ้น… เฮ้อ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็เป็นเพียงสุนัขข้างถนนอีกตัวหนึ่ง ช่างน่าผิดหวังเหลือเกิน”

 

 

จิตสังหารของเจียงฟานยังคงไม่สลายหายไป

 

 

เขาเดินเข้าไปสำรวจตรวจค้นจวนผู้ว่าทุกซอกทุกมุม และเมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่อีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือการสะกดกั้นจิตสังหารกลับลงไป ก่อนหันหลังกลับและเดินจากมา

 

 

เปรี้ยง!

 

 

ครืน!

 

 

ท้องฟ้ายังคงส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง

 

 

ทันใดนั้น ห้องโถงใหญ่ของจวนผู้ว่าที่ก่อนหน้านี้ได้รับพลังลมปราณกระบี่ของเจียงฟานพลันเกิดความสั่นสะเทือนจากเสียงฟ้าร้อง ประกอบกับถูกสายลมกรรโชกแรงต่อเนื่องตลอดคืน ห้องโถงใหญ่จึงพังถล่มลงมาไม่เหลือชิ้นดี

 

 

 

 

“เปลี่ยนท่าและเริ่มใหม่อีกรอบ”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมากกว่าเดิม

 

 

หลังใช้เวลาออกกำลังกายตามรูปแบบใหม่ที่แอปพลิเคชัน Keep ออกแบบให้เขาได้ประมาณ 1 ก้านธูป

 

 

เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองแข็งแรงมากขึ้น

 

 

เขามีเหงื่อไหลท่วมตัว

 

 

ถึงมันจะเป็นการออกกำลังกายที่เรียบง่าย แต่กลับให้ผลลัพธ์อย่างน่ามหัศจรรย์ ยิ่งบัดนี้หลินเป่ยเฉินมีระดับพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 1 ความแข็งแกร่งของร่างกายอยู่ในขั้นกระดูกทองแดง เขาจึงไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่นิดเดียว แต่หากเปลี่ยนไปเป็นร่างกายที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ เด็กหนุ่มมั่นใจว่าตนเองคงนอนหมดแรงข้าวต้มไปแล้วแน่ๆ

 

 

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

 

 

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว

 

 

แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

 

 

“หรือว่าจะเป็นอากวงอีกแล้ว? ไม่หรอกมั้ง… เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม เจ้านั่นคงยังทำไม่เสร็จหรอก…เอ หรือว่าจะเป็น…”

 

 

หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

 

 

แอ๊ด

 

 

เขาเปิดประตูห้องอย่างเชื่องช้า

 

 

เจ้าของร่างที่มีขนสีเงินเป็นประกายหยอกล้อแสงจันทร์กระโดดเข้ามาในห้องอันอบอุ่นของหลินเป่ยเฉินอย่างมีความสุข

 

 

เด็กหนุ่มยืนขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า

 

 

ภาพหลอน

 

 

นี่ต้องเป็นภาพหลอนแน่ๆ

 

 

เขาหลับตาลงแล้วลองลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

 

 

แต่ก็ยังเห็นเจ้าหนูอากวงอยู่เช่นเดิม

 

 

เชี่ย!

 

 

ทำไมเป็นอากวงอีกแล้วเนี่ย

 

 

“เจ้ากลับมาทำไมอีก?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถาม

 

 

พร้อมกับยกมือขยี้ตา

 

 

“ข้าน้อยทำงานที่นายท่านมอบหมายเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ”

 

 

อากวงเขียนข้อความตอบกลับมาด้วยความภูมิใจ

 

 

เสร็จหมดแล้ว?

 

 

ทำไมถึงได้เร็วแบบนี้?

 

 

เจ้าหนูนี่คงไม่ได้มีลูกไม้อะไรหรอกใช่ไหม?

 

 

แต่คิดไปคิดมาก็ชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

 

 

เฮ้อ

 

 

เมื่อเห็นแววตาของผู้เป็นเจ้านาย อดีตราชันหนูอสูรก็ต้องรีบเขียนข้อความอธิบายเพิ่มเติมว่า “เมื่อข้าน้อยรับประทานหญ้าวิเศษเข้าไป ข้าน้อยก็เลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรแล้วขอรับ… ต้องขอบคุณนายท่านมากจริงๆ”

 

 

อ้าว?

 

 

เลื่อนระดับพลังได้อย่างนั้นหรือ?

 

 

ว่าแต่ไอ้ระดับพลังขั้นยอดสัตว์อสูรอะไรนี่ ถ้าเทียบเป็นมนุษย์ ก็คงอยู่ในขั้น…

 

 

ยอดปรมาจารย์!

 

 

อุ๊วะ!

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

 

 

เมื่ออากวงได้รับประทานหญ้าดาราน้อยเข้าไปแล้ว มันก็กลายเป็นหนูอสูรที่มีระดับพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรเชียวหรือ?

 

 

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมา

 

 

เขาจะฝึกกระบี่ไปทำไม

 

 

เปลี่ยนอาชีพไปเป็นคนฝึกสัตว์อสูรดีกว่า

 

 

แค่หาสัตว์อสูรมาเลี้ยงสักพันสองพันตัว แล้วให้พวกมันรับประทานหญ้าดาราน้อยเข้าไป แค่นี้ก็ได้สัตว์อสูรที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรเป็นพันตัวแล้วไม่ใช่หรือ?

 

 

ถึงตอนนั้น ยังจะมีใครกล้ามีปัญหากับเขาอีกไหม?

 

 

“แล้วเจ้ามีความสามารถใดเพิ่มขึ้นมาบ้างหรือไม่”

 

 

หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “นอกจากสามารถล่องหนกับเปลี่ยนอึเป็นกับระเบิดได้น่ะ”

 

 

ครืด ครืด

 

 

เจ้าหนูเขียนข้อความลงบนกระดานว่า

 

 

“ข้าน้อยรู้สึกแข็งแรงมากขึ้นในชนิดที่ว่า เพียงใช้นิ้วเดียวก็สามารถสังหารคุณชายเซียวปิง 1 คน กับพ่อบ้านหวังจง 10 คนให้ตายได้เลยขอรับ”

 

 

“ข้าน้อยรู้สึกว่าสามารถควบคุมพลังลมปราณได้ดีมากขึ้น…”

 

 

“ข้าน้อยรู้สึกว่าขนของตนเองมีความนุ่มสลวยมากขึ้น…”

 

 

“ร่างกายก็มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเช่นกัน…”

 

 

ใบหน้าของเจ้าหนูเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

 

 

“แล้วด้านพละกำลังล่ะ? ไหนให้ข้าทดสอบหน่อยซิ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง “เจ้าเตรียมรับหมัดให้ดี”

 

 

หมัดถูกต่อยออกมาแล้ว

 

 

อากวงเข้าใจดีถึงเจตนาการทดสอบกำลังของนายท่าน มันจึงยกขาหน้าขึ้นมากำเป็นหมัดและต่อยสวนไปที่กำปั้นของเด็กหนุ่ม

 

 

เปรี้ยง!

 

 

พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน

 

 

หลังจากนั้น…

 

 

ครืน!

 

 

โครม!

 

 

บ้านพักพังถล่มลงมาทั้งหลัง

 

 

คานไม้ด้านบนร่วงหล่นลงมากระแทกใส่ศีรษะของหลินเป่ยเฉิน เศษอิฐเศษไม้กองใหญ่ทับถมทั้งเจ้านายทั้งสัตว์เลี้ยงอยู่ด้านล่างเศษซากปรักหักพัง

 

 

สร้างความตื่นตกใจไปทั่วทั้งวิหาร

 

 

หลินเป่ยเฉินมุดออกมาจากใต้ซากปรักหักพังของบ้านพัก เขายกมือปัดเศษอิฐที่เกาะอยู่เต็มหัวของตนเองพร้อมกับอุทานว่า “ให้ตายสิ เจ้าสามารถรับหมัดของข้าที่ออกแรง 70 ส่วนได้โดยไม่มีปัญหา นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดสามารถทำอะไรเจ้าได้อีกแล้ว เดี๋ยวข้าจะสอนวิทยายุทธ์ให้แก่เจ้าเอง…”

 

 

วูบ

 

 

พลัน อากวงกระโดดออกมาจากใต้กองไม้ เนื้อตัวของมันไม่เปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งขนสีขาวยังเป็นประกายสว่างไสวในความมืด หากคนไม่รู้มาพบเห็นเข้า ก็ต้องนึกว่าเจ้าหนูตัวนี้เป็นสัตว์เทพเจ้าแน่นอน

 

 

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ?”

 

 

เสียงของเยว่เว่ยหยางดังมาตั้งแต่ไกล “พี่เป่ยเฉิน มีคนบุกมาลอบสังหารท่านหรืออย่างไร?”

 

 

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมอง

 

 

แล้วเขาก็ได้เห็นเยว่เว่ยหยาง นักพรตหญิงชิน รวมไปถึงนักบวชสาวคนอื่นๆ ในวิหาร รีบวิ่งฝ่าสายฝนตรงมายังบ้านพักของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงและมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินมองตามสายตาของพวกนางไป

 

 

แล้วเขาก็ต้องอ้าปากเหวอ

 

 

ซวยแล้วไง

 

 

บ้านพักที่อยู่ในสวนพุทราเกือบทุกหลัง…

 

 

ยกเว้นเพียงบ้านพักของครอบครัวตระกูลกงสองหลังนั้น บัดนี้บ้านพักเกือบทุกหลังพังถล่มลงมาเหมือนเพิ่งเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่กลายเป็นเพียงกองอิฐกองไม้ทับถมกันภายใต้สายฝนที่ตกกระหน่ำ สภาพที่เป็นอยู่เช่นนี้ เหมือนกับว่ามีคนร้ายบุกขึ้นมาโจมตีพวกเขาแล้วจริงๆ…

 

 

เอาไงดีหว่า

 

 

อยู่ดีๆ ก็งานเข้าซะงั้น

 

 

หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่อากวง และเริ่มต้นคิดหาแผนการเพื่อเอาตัวรอด

 

 

เขากำลังจะอ้าปากให้คำอธิบายด้วยการบอกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของอากวง และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าหนูตัวนี้เป็นใครมาจากไหน…

 

 

“นั่นมันอากวงนี่นา”

 

 

เยว่เว่ยหยางอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ก่อนที่จะวิ่งเข้ามาอุ้มอดีตราชันหนูอสูรขึ้นไปโอบกอดด้วยความเอ็นดู

 

 

พวกผู้หญิงนี่เป็นโรคแพ้สัตว์เลี้ยงขนปุกปุยหรือไงนะ

 

 

เอาล่ะ

 

 

เยว่เว่ยหยางเคยเห็นอากวงและรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้โดยทันทีว่าไม่สามารถป้ายความผิดไปให้เจ้าหนูได้อีกแล้ว

 

 

แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็เกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

จะว่าไปนี่ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ

 

 

บ้านพักในสวนพุทราพังถล่มลงไปหมดแล้ว

 

 

ถ้างั้นก็หมายความว่า…

 

 

อิอิ

 

 

เขากำลังจะได้ย้ายไปนอนในบ้านพักหลังเดียวกับนักพรตหญิงชินแล้วใช่ไหม?

 

 

โฮะโฮะโฮะ

 

 

นี่แหละคือการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างแท้จริง!!!