บทที่ 261 ข้าขอบูชาเทพธิดา
หลังจากที่ตกตะลึงกันอยู่นาน พวกเขาก็เริ่มที่จะฟื้นสติกลับมากันได้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกแปลกๆกับรูปร่างสุดเซ็กซี่ของเธอ
หวู่เสี่ยวเหมยและเฟิงจือหลินก็ถือว่าโอเค แต่หลังจากที่เปรียบเทียบผู้หญิงทั้งสามคน สีหน้าของเฟิงจือหลินและหวู่เสี่ยวเหมยก็หมองไปเลย เมื่อเทียบกับมู่เทียนแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้หญิงจริงๆด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่พวกเขารู้สึก
เฟิงจือหลิงเองก็ปลอมตัวด้วยเหมือนกัน เพราะยังไงซะทุกคนก็คุ้นเคยกับใบหน้าของเขาด้วยเหมือนกันและคงจะดีกว่าถ้าให้พวกนั่นได้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย เดิมทีมู่หรงเสวี่ยบอกว่าเธออยากที่จะออกมาคนเดียว ยังไงซะเธอก็เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด ตอนนี้ไม่มีใครจำเธอได้เลย ตรงกันข้ามเลยนี่กลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร พวกเขาก็แค่ไม่อยากให้เธอต้องออกมาข้างนอกเพียงลำพัง ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าเธออยู่ในระดับสีม่วงแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มู่หรงเสวี่ยถามหาเหตุผลและทุกคนต่างก็ส่ายหน้า และไม่ยอมบอกเธอว่าทำไม
อันที่จริงพวกเขาจะบอกได้ยังไงว่าเมื่อเวลาที่ผู้หญิงแบบเธอออกมาข้างนอก เหล่าผู้ชายก็จะรุมเข้ามาหาเธอราวกับฝูงหมาป่า นั่นเป็นเพียงเพราะความเป็นผู้ชายที่อยากจะเข้ามาดอมดมของสวยๆงามๆเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไง
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็เอาหน้ากากออกมาจากคลั่งอาวุธและยื่นให้เฟิงจือหลิง แน่นอนว่านอกจากหน้ากากแล้วเขาก็ยังเปลี่ยนชุดไปเป็นชายวัยกลางคน แล้วเขาก็เปลี่ยนดาบตัวเองให้เป็นดาบเสี้ยวแทนซึ่งดูจะเหมาะมือมากกว่า
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความกลมกลืนที่ไม่อาจบรรยายได้ พวกเขามาปรากฏตัวอยู่หน้าปากทางเข้าถ้ำและรีบเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
“เฟิงจือหลิง ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ?! กำลังมองอะไรอยู่เนี่ย?” มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก เธอกำลังถามเฟิงจือหลิงเรื่องสำนักหลงหยุ่นอยู่ สายตาของไอ้หมอนี่มัวแต่มองไปที่ท้องฟ้า
“พูดมาเลย ข้าฟังอยู่!” เฟิงจือหลิง ไม่มีวันบอกเธอว่าเวลาที่เขาเห็นมู่เทียนแต่งตัวแบบนี้ จิตใจของเขามันวุ่นวาย เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยไม่พอใจและพูดออกมาพึมพำ “ฉันบอกว่านายแปลกไปจริงๆ คุยกันแต่ไม่มองหน้ากันได้ยังไง…” ความไม่พอใจนี้ทำให้อยู่ดีๆเฟิงจือหลิงก็ตัวสั่นและขนลุกไปทั่วทั้งตัวขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าเสียงของมู่หรงเสวี่ยช่างอ่อนหวานอะไรหรอกแต่ตรงกันข้ามเลย มันฟังดูเย็นยะเยือกจนทำให้เฟิงจือหลิงค่อยๆรับรู้ได้ถึงอารมณ์ผู้หญิงของมู่เทียนขึ้นมา แม้แต่ตอนที่อยู่ใกล้ๆกัน เขาก็รู้สึกประหม่าเวลาที่จะนั่งหรือยืนใกล้ๆเธอด้วย สุดท้ายเขาก็ต้องโทษว่าเป็นเพราะการแต่งหน้าที่ทรงเสน่ห์ของมู่เทียน
เฟิงจือหลิงยังคงเงยหน้ามองฟ้าและไม่ยอมมองหน้ามู่หรงเสวี่ย
คนหนึ่งโกรธ ส่วนอีกคนแกล้งทำเป็นใจเย็นและเดินไปตลอดทาง คนที่เหลือต่างก็เห็นเหตุการณ์นี้แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
มู่หรงเสวี่ยยังกดระดับการฝึกตนของตัวเองไว้ที่ระดับสีเหลืองแต่เฟิงจือหลิงไม่จำเป็นต้องทำ ถึงแม้จะมีคนในระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าไม่มากแต่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง เช่นชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ไง
ชายหนุ่มดูน่าจะอายุประมาณ 25 ถึงแม้รูปร่างเขาจะไม่ได้ดูแย่ สายตาของเขาจ้องตรงมาที่รูปร่างของมู่หรงเสวี่ย เขาเอาแต่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของเขาดูลามกอย่างมาก
สีหน้าของเฟิงจือหลิงเข้มขึ้นและเข้ามายืนขวางอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ยทันที เพื่อกันสายตาของชายหนุ่ม ในมือถือดาบไว้แน่นพร้อมทั้งลากปลายดาบไปกับพื้น ส่งรังสีเยือกเย็นออกไปในอากาศ
“ช่วยหลีกไปให้พ้นทางด้วย!” เฟิงจือหลิงพูดออกมาอย่างเย็นชา
“หลบไปซะ สาวสวยเหมาะกับพวกหนุ่มๆเท่านั้นแหละ น่าเสียดายที่ต้องมาอยู่กับตาแก่แบบเจ้า! มันคงจะดีกว่าถ้าเจ้าไปซะแล้วปล่อยสาวสวยนี้ไว้!”
ในดินแดนเฟิงหยุน สาวสวยที่อยู่ในระดับการฝึกตนต่ำมักจะถูกแย่งตัวไป
อีกอย่างเฟิงจือหลิงที่อยู่ข้างๆก็ไม่ได้มีฝีมือเท่าไรด้วย ยิ่งเขามีฝีมือมากเท่าไร อีกฝ่ายก็จะยิ่งไม่กล้ามากขึ้นเท่านั้น
สายตาของเฟิงจือหลิงเย็นชาและหันมากระซิบกับมู่เทียน “เจ้ารอข้าก่อนนะ ข้าจะจัดการไอ้หมอนี่เองก่อนที่จะไป…”
“โอ้ น้ำเสียงฟังดูมั่นใจเหลือเกินนะ ใครกันแน่ที่จะถูกจัดการ ชักไม่แน่ใจซะแล้วสิ!” ชายหนุ่มเองก็ดึงดาบของตัวเองออกมาเช่นกัน
“คนสวย รอให้ข้าพาเจ้ากลับบ้านก่อนนะ ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีเลย…” เขาหันหน้ามาทางมู่หรงเสวี่ยและเผยรอยยิ้มเหลาะแหละ สำหรับผู้ฝึกตนมากมาย สาวสวยในระดับพลังต่ำๆก็เปรียบได้กับของเล่นเท่านั้น
มู่หรงเสวี่ยชายตามองด้วยความเยือกเย็น รู้สึกอยากที่จะเข้ามาจัดการไอ้ผู้ชายชั้นต่ำคนนี้ซะเองจริงๆแต่เมื่อได้เห็นเฟิงจือหลิงก็ทำให้เธออยากที่จะหลบไป อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตัวของผู้ฝึกตนในดินแดนเฟิงหยุนก็ทำให้เธอรู้สึกอยากจะอ้วกจริงๆ เธอไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้ฝึกตนรังแกคนที่อ่อนแอกว่าด้วยระดับการฝึกตนที่สูงกว่าของตัวเอง
ปกติแล้วเฟิงจือหลิงจะถูกเรียกว่าไอ้บ้า เขาเป็นนักสู้ที่แท้จริง การสู้กันซึ่งๆหน้าครั้งแรกทำให้อีกฝ่ายถึงกับตั้งตัวไม่ทัน
ตั้งแต่เริ่มต้น ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมั่นใจแล้วตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะกลัวขึ้นมาแล้ว นี่เพิ่งจะเริ่มไปได้แค่ไม่กี่ท่า
การสู้กันระหว่างทั้งสองดึงดูดความสนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาอย่างมาก พวกเขาต่างก็เป็นนักสู้ จึงรู้สึกสนใจการแข่งขันของพวกผู้เชี่ยวชาญอย่างมาก คนที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก็ยังได้แรงบันดาลใจจากการต่อสู้ของคนอื่นด้วย บางทีความศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอาจจะดีกว่านี้
“เป็นใครกันบ้างเนี่ย?”
“คนที่สวมหน้ากากยังไม่ชัดเจน แต่อีกฝ่ายคือผีทั้งห้าที่มักจะท่องไปทั่วป่าแห่งความตาย เขาเป็นคนดังด้วยนะ เด็กหนุ่มอายุ 25 แถมขึ้นไปอยู่ในระดับสีฟ้าได้ด้วย…”
“ก็ยากที่จะบอกนะ ในอดีตบางคนก็ก้าวนำขึ้นไปอยู่ในระดับต้นของสีฟ้าได้ตั้งแต่อายุ 20 และสุดท้ายก็ตายเพราะล้มเหลวที่จะขึ้นไปถึงระดับสีม่วงซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว น่าเสียดายจริงๆ…”
“ทำไมจู่ๆสองคนนี้ถึงได้สู้กันล่ะ?”
“อ่า! ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงนั้นหรือไง? ก็เพราะผู้หญิงคนนั้นไง…”
“จุจุ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงสู้กัน ใครๆก็ชอบผู้หญิงแบบนี้ทั้งนั้นแหละ…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะระดับการฝึกตนที่ต่ำต่อยของข้านะ ข้าเองก็อยากที่จะสู้ด้วยเหมือนกัน…”
“ช่างมันเถอะ! เจ้าเห็นสองคนที่กำลังสู้กันไหม…”
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจสายตาแปลกๆที่อยู่รอบตัวเธอและเสียงพูดคุยมากมาย เธอยืนอยู่ตรงนั้นราวกับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลก สายตาของเธอเฝ้ามองสองคนที่กำลังสู้กันอย่างใกล้ชิดแต่เธอก็มีข้อสรุปในหัวใจเรียบร้อยแล้ว เฟิงจือหลิงจะต้องชนะแน่นอน
ระหว่างที่มู่หรงเสวี่ยกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้น จู่ๆก็มีมือคู่หนึ่งยื่นออกมาจากข้างเธอและเล็งเป้ามาที่หน้าอกของเธอ สายตาของเธอเย็นชาพร้อมกันนั้นเธอก็ดึงดาบออกมาและฟันไปที่มือของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี
“อ๊ากกก!” ชายท่าทางลามกพยายามปิดมือที่ขาดวิ่นของตัวเองและร้องอย่างโหยหวน
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา สายตาของเขาแวบประกายอาฆาต
ชายผู้น่าสมเพชปิดปากแผลเลือดท่วมที่มือด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณและสายตาของเขาก็ดูเยือกเย็น “นังบ้า อยู่แค่ระดับสีเหลืองยังจะกล้าดีอีก…”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ระดับการฝึกตนของชายหนุ่มและก็เห็นว่าเขาอยู่ในระดับสีเขียว และสายตาของเธอก็แวบประกายแห่งความดูถูกออกมา
ชายหนุ่มรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที พลังแห่งจิตวิญญาณทั่วทั้งตัวของเขาพุ่งออกมาและมือก็บาดเจ็บ ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะมาสงสารอีกแล้ว พลังแห่งจิตวิญญาณที่รุนแรงพุ่งตรงไปหามู่หรงเสวี่ย
“น่าเสียดายหน้าสวยๆ…”
“ดูเหมือนว่าหน้าสวยๆจะต้องเสียโฉมซะแล้ว…”
“ตรงนั้นก็ยังสู้กันอยู่เลยแต่ตรงนี้ก็มีบางคนที่พยายามจะทำลายใบหน้าสวยๆอีก…”
“ชายคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ เขาชื่อเซฉี เขาสิ้นหวังจนถึงขนาดกล้าที่จะเข้าไปยุ่งกับผู้หญิงในระดับสีฟ้าด้วย…”
ผู้คนรอบๆต่างก็รู้สึกเสียใจแทนมู่หรงเสวี่ย อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมาการกระทำของมู่หรงเสวี่ยก็แทบจะทำให้พวกเขาถึงกับตาบอด
มู่หรงเสวี่ยแสยะยิ้ม เธอดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องพลังแห่งจิตวิญญาณที่กำลังพุ่งตรงมาที่เธอเลย พลังแห่งจิตวิญญาณจะก่อตัวก็ต่อเมื่อขึ้นไปถึงระดับสีฟ้า และอีกฝ่ายก็อยู่แค่ในระดับสีเขียวเท่านั้น ถึงแม้พลังแห่งจิตวิญญาณที่ปะทุออกมาจะดูน่ากลัว แต่สำหรับมู่หรงเสวี่ยมันก็เป็นแค่หยาดเกล็ดหิมะที่จู่ๆก็ล่วงมาจากอากาศ
เธอยื่นมือออกไปและผลักมันกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม
ในระหว่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว เขาถูกพลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองพุ่งเข้าใส่ ก่อนที่จะได้ร้องออกมา เขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นจนสลบเหมือดไปเลย
จู่ๆความเงียบก็กระจายไปรอบตัว ขนาดที่ว่าถ้ามีเข็มตกลงพื้นก็ยังได้ยิน แล้วทันใดนั้นก็เกิดเสียงคำรามดังขึ้นมา
“พระเจ้า ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจแบบไหนกัน…”
“หลิงลี่เป็นคนยิงมันไม่ใช่เหรอ?! พระเจ้า ข้างงไปหมดแล้ว…”
“ข้าเองก็งงเหมือนกัน…”
“เจ้าพวกโง่เอ๊ย!!!! เดาว่าผู้หญิงคนนั้นคงเล่นบทปลาเล็กกินปลาใหญ่แน่ๆเลย เซฉีอยู่ในระดับการฝึกตนสีเขียว แล้วผู้หยิงคนนั้นจะอยู่สูงกว่าได้ยังไงกัน…”
“พระเจ้า ผู้หญิงคนนั้นเก่งกาจกว่าข้าซะอีก แล้วแบบนี้ข้าจะรอดได้ยังไง…”
“พระเจ้า อยากจะขอคารวะจริงๆ…”
“อย่าทำสายตาสกปรกแบบนั้นนะ…”
เมื่อกี้ยังร่ำลือกันเรื่องความงามของมู่หรงเสวี่ย แต่ตอนนี้หลังจากที่เธอได้แสดงฝีมือออกไปก็ไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกเธออีกแล้ว ตราบใดก็ตามที่แข็งแกร่งพอก็จะได้รับความนับถือจากคนมากมายเอง
มู่หรงไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่รอบๆ เธอมองไปที่การต่อสู้ที่จบลงของเฟิงจือหลิงและเจ้าฉายาผีห้าที่ลงไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดทางสู้
เฟิงจือหลิงมองไปรอบๆฝูงชนที่กำลังพูดเรื่องมู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาเย็นชา ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แล่นเข้าไปในหัวใจของเหล่าคนที่พูดและถึงกับต้องก้มหัวลงทันที เขาหันกลับมาด้วยความพอใจแต่เมื่อหันกลับไปมองมู่เทียนผู้ทรงเสน่ห์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้ว