บทที่ 260 ราวกับเป็นผี
“เป็นไงบ้าง?! เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” หาได้ยากที่ผู้หญิงสวยอย่างเฟิงจือหลินจะถามออกมาอย่างอ่อนโยน
คนที่เหลือต่างก็มองอย่างเป็นห่วงมาที่มู่เทียน
ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่เสียงพลังไปมาก เธอพยุงตัวเองขึ้นมาพร้อมทั้งส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร! แต่พวกเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บมากเหมือนกันใช่ไหม?! มาให้ข้าช่วยดูให้สิ…” มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะช่วยดูแผลให้กับทุกคน
เธอมองไปที่พวกเขาและเห็นว่าทุกคนต่างก็มีบาดแผล เล็กบ้างใหญ่บ้างซึ่งดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการรักษา
เฟิงจือหลินรีบกดตัวมู่หรงเสวี่ยไว้พร้อมทั้งพูดออกมา “เจ้านั่งเฉยๆเถอะ ข้าเห็นเลยว่าเจ้าเป็นคนที่หน้าซีดที่สุดในห้องนี้ พวกเขามีแค่แผลเล็กน้อย ไม่ตายหรอกน่า พวกเขาจัดการรักษากันเองได้…” ถึงแม้น้ำเสียงของเธอจะเย็นชา แต่ก็ฟังได้ว่ามีความห่วงใยแผงอยู่ในน้ำเสียงด้วย
“ใช่ ใช่เลย พวกเราจัดการกันเองได้!”
“ใช่แล้ว มู่เทียน เจ้าพักให้สบายเถอะ”
คนอื่นๆต่างก็พูดออกมาเช่นกัน ในตอนแรกหลินหนานได้รับบาดเจ็บสาหัส หวู่เสี่ยวเหมยเองก็หายไปและมู่เทียนก็สลบไปอีกครั้งด้วย พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องบาดแผลเล็กๆตามร่างกายตัวเองกันเลย ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงถูกลากมาในตอนนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ในหัวใจของพวกเขาแต่ละคนเกิดความรู้สึกที่อบอุ่นซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
หลังจากที่ต้องเผชิญความเป็นความตายมาแล้ว พวกเขาก็เริ่มที่จะเชื่อใจกันเองอย่างมากและตั้งแต่นี้ไปชีวิตของพวกเขาก็จะเชื่อมโยงกัน
มู่หรงเสวี่ยยิ้มให้ฝูงชนแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความห่วงใยของพวกเขา เขาเอนตัวพิงกำแพงหิน หลับตาลงและหลับไป
การสู้ครั้งนี้ทำให้พลังแห่งจิตวิญญาณของมุ่หรงเสวี่ยเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก นอกจากนี้เธอยังต้องใช้พลังเพื่อที่จะรักษาหลินหนานอีกด้วย เธอจึงถึงกับทรุดไปเลย ไม่นานลมหายใจของเธอก็เริ่มที่จะคงทีและก็ผล็อยหลับไป
เมื่อมู่หรงเสวี่ยตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็เห็นว่าจ้าวฉีมานั่งอยู่ข้างๆเธอ เธอตกใจและถามออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “มีเรื่องอะไรเหรอ?” ใครก็ตามที่ตื่นมาแล้วเจอใบหน้าที่อยู่ใกล้ขนาดนี้ก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น โอเคไหม
เฟิงจือหลิงถอนหายใจ “เจ้ารู้ตัวไหมว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน?”
มู่หรงเสวี่ยถาม “แค่วันเดียวหรือเปล่า?”
“เจ้าหลับไปหนึ่งอาทิตย์…”
พวกเขาต่างก็กลัวแทบตาย บางครั้งบางคราวพวกเขาจะผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาตรวจลมหายใจของเธอก่อนที่จะถอนหายใจอย่างโล่งใจ
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นมานั่งทันที “นานขนาดนั้นเลยเหรอ?!! แล้วหลินหนานล่ะ?” เธอมองไปด้านข้างแต่ก็ไม่เห็นร่างของหลินหนาน สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ข้าอยู่นี่…” หลินหนานเดินเข้ามาจากทางเข้าถ้ำ หลังจากที่ได้พักมาเกือบอาทิตย์ เขาก็สามารถที่จะเดินไปไหนมาไหนได้บ้างแล้ว
จู้หมิงช่วยพยุงเขาเข้ามาข้างใน เมื่อเขาได้รู้ว่ามู่เทียนเป็นคนที่ช่วยเขาไว้ หัวใจเขาก็รู้สึกร้อนรุ่มอย่างมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนที่มู่เทียนยังสลบอยู่ เขาก็ยิ่งกังวลมากกว่าคนอื่น ในที่สุดเมื่อเห็นว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งใจ
แม้จะต้องเจอเรื่องแบบเดิมอีกครั้ง เขาก็พร้อมที่จะรับดาบแทนมู่เทียนอีกครั้งอยู่ดีแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตกใจกับสายตาที่แน่วแน่ของหลินหนาน ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเชื่อว่าจะมีใครที่พร้อมจะยอมแลกชีวิตเพื่อเพื่อนของตัวเอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอก็ได้ประจักรความจริงนี้ด้วยสายตาตัวเอง
เธอคิดว่าโชคดีมากที่ได้เจอกับคนพวกนี้ในโลกนี้
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและเดินไปหาหลินหนาน หลังจากที่เช็กร่างกายของเขาเสร็จ เธอก็รู้สึกโล่งใจ
มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดว่าเธอไม่รู้สึกตกใจ จู่ๆท่าทางของหลินหนานก็ทำให้ความรู้สึกในหัวใจของเธอรู้สึกแปลกไป ถ้าเขาตายเธอคงไม่มีวันที่จะยกโทษให้ตัวเอง
โชคดีที่บาดแผลของหลินหนานฟื้นตัวได้อย่างดีมาก บาดแผลของหวู่เสี่ยวเหมยเองก็ฟื้นตัวได้ดีกว่าหลินหนานมาก ในตอนนี้สีหน้าของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอไม่มีความทรงจำของช่วงเวลาที่เธอเข้าไปในมิติลับเหลืออยู่เลย
อันที่จริง เธอก็ไม่โทษเธอหรอก เพราะทันทีที่เสี่ยวไป๋เห็นว่าเป็นเธอ มันก็รีบให้ยารักษาที่ทรงพลังมากเกินไปแต่ไม่มีผลข้างเคียงเพื่อที่จะทำให้เธอสลบไป จนกระทั่งเธอมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนเธอก็ยังคงสลบอยู่
ก่อนหน้านี้เพราะมู่เทียนเหนื่อยล้าเกินไป พวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้ถามความสงสัยที่อยู่ในหัวใจ จึงทำได้เพียงถามหวู่เสี่ยวเหมย แต่ใครจะไปรู้ว่าหวู่เสี่ยวเหมยเองก็บอกว่าเธอไม่รู้เช่นกัน
“มู่เทียน ก่อนหน้านี้เจ้าเอาหวู่เสี่ยวเหมยไปไว้ที่ไหนกัน?” ถึงแม้พวกเขาจะเดากันไว้บ้างแล้วในใจแต่ก็ยังรู้สึกไม่อยากที่จะเชื่ออยู่ดี มิติลับที่สามารถให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่ด้วยจะมีอยู่จริงงั้นเหรอ?!!!
หลังจากที่ได้เจอเรื่องความเป็นความตายมาด้วยกัน มู่หรงเสวี่ยก็ไม่มีเจตนาที่จะปิดบังอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว เธอยื่นมือออกไปและพูดออกมาว่า “เร็วเข้า ยื่นมือออกมา ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไปดูด้วยตาตัวเอง…”
พวกเขาต่างก็ยิ่นมือออกมาจับที่มือเธอด้วยความสงสัย
หลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็มาปรากฏตัวในดินแดนเทพนิยายบนโลกกัน
“พระเจ้า นี่มันหญ้าชุบชีวิตอายุล้านปีนิ มีเยอะเหลือเกิน”
“พระเจ้า นี่ผลไม้แห้งจิตวิญญาณนิ…”
“พระเจ้า…”
หลายวันผ่านไปจนนับไม่ถ้วนและผู้คนก็เริ่มที่จะชินชา มันกลายเป็นเรื่องน่าขำไปแล้วที่จะมานั่งชื่นชมสวรรค์แบบนี้
เสี่ยวไป๋แทะไปที่ผลไม้และมองลงมาที่กองถุงดิน มันลืมไปแล้วตั้งแต่ตอนแรก ไม่ต่างอะไรกับท่าทางของหลินหนาน
หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆก็ตัดสินใจที่จะออกมาจากมิติลับหลังจากที่อยู่ในนี้มายาวนาน ยังไงซะในมิติลับสิบปีก็เท่ากับข้างนอกเพียงหนึ่งวัน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในนี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
“เราจะออกไปกันแบบนี้เหรอ ข้าเกรงว่าจะเป็นจุดสนใจมากเกินไป…” มู่หรงพูดออกมาอย่างหนักใจ
ถึงแม้พวกเขาจะจัดการกลุ่มคนก่อนหน้านี้ไปแล้ว และพวกนั้นคงไม่กลับมาอีก แต่บางทีคนพวกนั้นอาจจะไปจ้างคนอื่นที่เก่งกาจมาซุ่มจัดการพวกเขาที่รอบนอกก็ได้
ระหว่างที่อยู่ในมิติลับ มู่หรงเสวี่ยมองออกมาข้างนอกและเห็นว่ามีคนมากมายที่มาตามหาหลุมและพบว่าไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว แต่คนพวกนั้นอาจจะมีตามหาพวกเขาก็ได้
หลินหนานมองไม่เห็นโลกภายนอกเพราะมีเพียงเจ้าของมิติลับเท่านั้นที่จะมองเห็นสถานการณ์ภายนอกได้
“พวกเราต้องปลอมตัว…” หลินหนานพูด
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวหรอก แต่ถึงแม้เราจะปลอมตัวแต่ก็ยังเป็นเป้าได้ง่ายอยู่ดี อีกอย่างเดาว่าคนพวกนั้นคงจะกำลังตามหากลุ่มคนที่คล้ายๆกับพวกเราอยู่…”
“งั้นจะทำยังไงดีหรือว่าจะเผชิญหน้าไปเลยดี?!!” เฟิงจือหลิงพูด
ก่อนหน้านี้ทุกคนได้เห็นเรื่องความเป็นความตายกันมาแล้วและทุกคนต่างก็รู้สึกใจสั่นไปตามๆกัน
“ครั้งนี้ มีเพียงข้ากับเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่จะออกไป พวกเจ้าที่เหลืออยู่ในมิติลับให้หมด!” มู่หรงคิดอยู่สักพักและพูดออกมา
สำหรับหลินหนานแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะเห็นของล้ำค่ามากมายในมิติลับของเธอแต่พวกเขาก็ไม่เอาอะไรไปเลย ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะบอกว่ายกให้พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมที่จะรับ พวกเขาเพียงแค่กินผลไม้แห่งจิตวิญญาณที่ระดับพลังต่ำๆและกินในปริมาณที่เล็กน้อยเท่านั้น มู่หรงเสวี่ยถามพวกเขาว่าทำไม
คำตอบของพวกเขาทำให้เธอถึงกับหัวเราะจนน้ำตาไหล “เราจะไม่ปฏิเสธว่าเราต้องการของพวกนี้มากแค่ไหน แต่มันคงเป็นการเสียมารยาทถ้าพวกเราเอาไป!”
มีเพียงมู่หรงเสวี่ยเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาไม่อยากให้เธอคิดว่าพวกเขาโลภกับเธอ ดังนั้นคงไม่มีอะไรหายไปเลย
มู่หรงเสวี่ยเข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บังคับให้ทุกคนรับน้ำใจของเธอ สักวันพวกเขาคงจะมาขอเธออย่างสุภาพเอง
“ไม่ ข้าจะไปเอง เจ้าอยู่ในมิติลับเถอะ!” หลินหนานเป็นคนแรกที่พูดขัดขึ้นมา
“แต่มิติลับก็เหมือนกับข้า ถ้าข้าไม่ขยับ มิติลับก็จะไม่ขยับไปด้วย…” มู่หรงเสวี่ยอธิบายให้หลินหนานฟังเพราะเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามที่จะปกป้องเธอราวกับเด็กๆ ทั้งๆที่ระดับการฝึกตนของเธอสูงกว่าเขาตั้งเยอะ ไม่งั้นเธอจะปกป้องพวกเขาได้ยังไงล่ะ
ดังนั้นทุกคนจึงแย้งขึ้นมาด้วย
ไม่รู้ว่าทำไม ถึงแม้มู่เทียนจะอยู่ในระดับการฝึกตนสีม่วง แต่พวกเขาก็ยังเคยชินกับการปกป้องเธอ บางทียิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจที่จะออกมากับเฟิงจือหลิงและมู่เทียนด้วย และแน่นอนว่าจะปลอมตัวกัน
เมื่อมู่เทียนยกนิ้วขึ้นมา ร่างกายของเธอก็ถูกห่อหุ้ม การแต่งหน้าอ่อนๆปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าและที่คิ้วก็แต่งได้รูปอย่างมีเสน่ห์ เมื่อภาพทั้งหมดปรากฏอยู่เบื้องหน้า ทุกคนก็ถึงกับต้องอ้าปากค้าง
“มู่…มู่…มู่เทียน…” คำพูดตะกุกตะกัก
รอยยิ้มของมู่หรงราวกับดอกไม้ที่กำลังบาน เบื้องหลังเปล่งประกายไปด้วยแสงที่อยู่รอบๆ หมอกที่อยู่รอบๆจางหายไป ราวกับว่าเธอเพิ่งเดินออกมาจากโลกแห่งเทพนิยายจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้อย่างกับเห็นผีแน่ะ…” น้ำเสียงเย็นกังวานดังออกมาจากปากของจือหลิน
“เจ้า…เจ้า…” เฟิงจือหลิงชี้นิ้วที่สั่นเทอมไปที่มู่หรงเสวี่ย ราวกับว่าตัวเองกำลังจะบ้าคลั่ง
สายตาของมู่หรงแวบประกายเจ้าเล่ห์และหลังจากที่เงียบไปนาน เธอก็พูดออกมา “ไม่ต้องตกใจไปหรอก นี่ก็แค่ภาพลวงตา…” เธอส่ายแหวนที่อยู่ในมือ
“แหวนแห่งจิตวิญญาณที่ช่วยแปลงร่างได้!”
สุดท้ายทุกคนก็เริ่มที่จะกลับมาเป็นปกติเล็กน้อย
“กลายเป็นว่าแหวนนี่ช่วยให้กลายร่างเป็นผู้หญิงได้ ต้องขอบคุณความสามารถของเจ้าจริงๆ สุดยอดไปเลย พระเจ้า!”
ในขณะที่ผู้ชายทั่วไปจะรู้สึกเสียเกียรติที่ต้องกลายเป็นผู้หญิง ถึงแม้จะเป็นเพราะแหวนที่ช่วยปลอมตัวแต่ตรงกันข้าม มู่หรงเสวี่ยกลับไม่ได้รู้สึกอะไรและทุกคนก็คุ้นเคยกับการปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นผู้ชาย และเธอก็คุ้นเคยกับการเป็นน้องชายของทุกคนด้วยดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกความจริงเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิง