บทที่ 259 เจ้าเป็นผู้ชายที่ไร้วิญญาณได้ยังไง
เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มที่จะถอยหลัง เซี่ยเต๋าก็รีบกระโดดขึ้นไปในอากาศและร้องออกมาทันที “มาร่วมมือกันเถอะ ไม่งั้นพวกเราจะเป็นกลุ่มแรกที่ต้องตายหลังจากที่พวกเขากลับไปได้!” แล้วคนกลุ่มแรกก็รีบพุ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มในระดับสีม่วงพร้อมด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่พุ่งไปอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของหลินหนานเปลี่ยนไปในทันที จู่ๆพลังแห่งจิตวิญญาณก็เพิ่มมากขึ้น ลำแสงส่องสว่างไปทั่วทั้งพื้นที่และเสียงระเบิดของการปะทะกันของพลังวิญญาณดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“อ่า” หวู่เสี่ยวเหมย คนที่การฝึกตนอ่อนแอที่สุดก็เป็นคนที่แรกที่ต้านทานไม่ไหวและกระอักออกมาเป็นเลือดทันทีพร้อมทั้งล้มลงไปกองที่พื้น
ถึงแม้ทุกคนจะให้ความสนใจหวู่เสี่ยวเหมยมากขึ้นทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ก็มีคนมากมายเกินไปจนช่วยหวู่เสี่ยวเหมยสู้ไม่ได้และไม่ทันได้ปกป้องเธอ
“เสี่ยวเหมย” จ้าวฉีที่อยู่ใกล้หวู่เสี่ยวเหมยที่สุดและรีบพุ่งไปจัดการคนที่เล็งมีดมา แล้วจึงรีบไปช่วยพยุงหวู่เสี่ยวเหมยไปส่งให้หลินหนานและคนอื่นๆ
เมื่อได้ยินเสียงจ้าวฉีร้อง มู่หรงเสวี่ยก็หันกลับไปมองและเห็นว่าหวู่เสี่ยวเหมยแทบที่จะยืนไม่ไหว สีหน้าของเธอเย็นชาขึ้นมาทันทีและรีบวิ่งไปหาหวู่เสี่ยวเหมยทันที เธอต่อต้านการโจมตีและถามออกมาด้วยเสียงเย็นชา “เสี่ยวเหมยเป็นไงบ้าง? จ้าวฉี…”
จ้าวฉีป้อนยารักษาให้หวู่เสี่ยวเหมยสองสามเม็ดแต่ลมหายใจของเธอก็ยังอ่อนมาก เธอน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
“อาการของเสี่ยวเหมยไม่ค่อยจะดีเท่าไรเลย…”
มู่หรงเสวี่ยรีบเดินไปในตำแหน่งตรงกลาง “เจ้ารีบช่วยข้าบังสายตาให้ที เร็วเข้าสิ!”
คนอื่นๆไม่ได้ถามคำถามเพิ่ม พวกเขารีบกันมู่หรงเสวี่ยและหวู่เสี่ยวเหมยให้อยู่ตรงกลาง ไม่เหลือพื้นที่ว่าง แสดงถึงความเชื่อใจที่พวกเขามีให้กับสหาย!
มู่หรงเสวี่ยไม่ยอมเสียเวลาอีกแล้ว และรีบพาหวู่เสี่ยวเหมยเข้าไปในมิติลับทันทีซึ่งมีเสี่ยวไป๋อยู่ในนั้นด้วย เสี่ยวไป๋จะดูแลเธอเอง
หลังจากนั้นเธอก็กระโดดขึ้นไปในอากาศทันทีและรีบนำขึ้นไปอยู่ที่แถวหน้าทันที
มีคนเยอะเกินไป ถึงแม้เธอจะอยู่ในระดับสีม่วง แต่มีคนดาหน้าเรียงกันมาหาเธอ แม้แต่พลังแห่งจิตวิญญาณเธอก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า เธอจะต้องทำลายวงล้อมออกไปให้เร็วที่สุดและยังคงมีรังสีแห่งความมีชีวิตชีวา
มู่หรงเสวี่ย ที่ราวกับนกฟินิกซ์ที่ฟื้นขึ้นมาจากกองไฟซึ่งเปล่งประกายด้วยแสงสดใสนับล้าน ต่อหน้าหลินหนาน เธอเป็นเหมือนเทพเจ้าที่ลงมาสู่โลก มันช่างสวยงามมากจนพวกเขาอยากที่จะเข้าไปหา แล้วคนแบบนี้พวกเขาจะไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะติดตามได้ยังไง? ไม่ว่ามู่เทียนจะเป็นคนที่มาจากโลกไหนก็ตามแต่ตราบใดที่เป็นเขาแค่นั่นก็เพียงพอแล้ว
จู่ๆทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!
เซี่ยเต๋าหันมาสนใจมู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆ พวกเขาผ่าออกมาได้ยังไง? ในขณะที่ไม่มีใครสนใจ เขาก็แทงไปที่ด้านหลังของมู่หรงเสวี่ยด้วยหอก
“ระวัง!” หลินหนานที่อยู่ใกล้มู่หรงเสวี่ยมากที่สุด เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ร่างกายของเขาที่เร็วกว่าความคิดมากก็เข้าไปกันอยู่เบื้องหน้ามู่หรงเสวี่ยทันที
“พลั่ก!”
เสียงหอกทิ่มแทงผิวหนัง
มู่หรงเสวี่ยหันกลับมามองและเห็นภาพนี้และหัวใจของเธอก็แทบที่จะหยุดเต้น
“ไม่นะ!!! อย่า”
ดวงตาของเธอเป็นสีแดงและเปลวไฟก็เริ่มที่จะปะทุออกมารอบตัวเธอ พลังแห่งจิตวิญญาณของเธอเป็นสีแดง เธอดูรุนแรงและโหดร้ายอย่างมาก
แม้แต่ผมสีดำของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ภาพของหลินหนานที่ถูกแทงด้วยหอกยาวยังตรึงอยู่ในใจของเธอซึ่งทำให้เธอขาดสติไปในทันที ทั่วทั้งร่างกายเปลี่ยนเป็นเทพเจ้าแห่งไฟ ทีละก้าวๆ เธอเดินตรงเข้าไปหาเหล่าคนที่ปิดล้อม
ทุกก้าวที่เดินตรงเข้าไป เหล่าผู้ฝึกตนก็ค่อยๆถอยหลังไป โดยเฉพาะเซี่ยเต๋าที่เพิ่งโจมตีเขา ในตอนนี้ในหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยความโกรธและความอาฆาต
จ้างฉีและคนอื่นๆต่างก็รีบวิ่งเข้าไปหาหลินหนานเพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา
มู่หรงเสวี่ยประกบมือเข้าด้วยกันและลูกไฟขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้าง พลังแห่งความน่ากลัวเปล่งประกายออกมาด้วยแสงที่แปลกๆซึ่งทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะดูไม่ค่อยดี เซี่ยเต๋าก็อยากที่จะแอบหนีไปก่อนในระหว่างที่คนยังเยอะอยู่แบบนี้
แต่มู่หรงเสวี่ยจะปล่อยเขาไปได้ยังไง
“ฟินิกซ์พิโรธ!”
มู่หรงเสวี่ยใช้ท่วงท่าฟินิกซ์ลำดับที่ 5 ซึ่งเธอไม่เคยใช้มาก่อน
กลุ่มลูกไฟขนาดใหญ่ที่น่ากลัวพุ่งตรงไปในทิศทางของเซี่ยเต๋าทันที ลูกไฟก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของฟินิกซ์เต็มไปด้วยความโกรธและกวาดล้างกลุ่มคนโดยไร้ซึ่งความปรานีใดๆ
“พระเจ้า ช่วยด้วย!”
“ออกไปให้พ้นทาง…” “นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย…”
“…”
ผู้คนมากมายล้มตายเพราะไฟก่อนที่จะได้กรีดร้องออกมาซะอีก รวมทั้งเซี่ยเต๋าที่ไม่มีเวลาทันได้หนี
กลุ่มลูกไฟกวาดล้างเหล่าผู้ฝึกตนออกไปจนเกือบหมดจนไม่หลงเหลือผู้คนอยู่ในพื้นที่อีกแล้วซึ่งคนเหล่านั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปในพริบตา
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่คนที่เหลือด้วยสายตาเย็นชา สายตาเย็นชากวาดไปทั่ว เหล่าผู้ฝึกตนรีบตอบสนองทันทีและหนีออกห่างไปด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้
“โอ้ พระเจ้า ปีศาจ!”
“หนีเร็วๆ”
“…”
เหล่าผู้คนที่ยังรอดชีวิตรู้สึกกลัวจนวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตและวิ่งหนีไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดที่มี ราวกับว่าวิญญาณปีศาจกำลังตามล่าพวกเขาอยู่
เมื่อผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์วิ่งหนีออกไปจากสายตาแล้ว ร่างของมู่หรงเสวี่ยก็สั่นอยู่ชั่วขณะและสติของเธอก็เริ่มที่จะรางเลือนและจู่ๆเธอก็สงบไป
หลังจากที่ใช้พลังนี้ มู่หรงเสวี่ยก็ทรุดลงไปเลย เดิมทีความแข็งแกร่งของเธอยังไม่เพียงพอที่จะใช้ท่วงท่าลำดับที่ 5 ของตำราได้ ผลที่ตามมาจากความโกรธของเธอคือพลังแห่งจิตวิญญาณทั้งหมดจะถูกดึงออกมาจากร่างกาย ซึ่งเดาว่าเธอน่าจะยังไม่สามารถที่จะใช้พลังแห่งจิตวิญญาณได้อีกในเร็วๆนี้แน่
ก่อนที่เธอจะสลบไป เธอมีเวลาได้ยินเพียงเสียงอุทานของเหล่าเพื่อนๆและเธอถึงขนาดที่อยากจะเห็นหลินหนานอีกครั้งด้วย
ที่สำนักเฟิงฮัว เซี่ยเหลียนน่าที่เห็นป้ายชีวิตของพ่อตัวเองแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
“ไม่นะ! พ่อ! มันเป็นไปได้ยังไง?” เธอถือเถ้าถ่านไว้ในมือและนิ่งไปนาน บางทีเธออาจจะไม่เคยว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะความตั้งใจของเธอที่ทำให้พ่อเธอต้องมาตายแบบนี้แถมรากของจิตวิญญาณเธอยังถูกทำลายไปอีกด้วย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“เป็นไปไม่ได้”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
ในศาลาของสำนักเฟิงฮัว มีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังออกมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมารู้สึกขนลุกไปตามๆกัน
เป็นไปไม่ได้ เมื่อสองวันที่แล้วพ่อเธอบอกเองว่าท่านจะจับตัวไอ้พวกคนที่เธอเกลียดกลับมาให้เธอลงโทษ เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้ยังไงที่พ่อของเธอจะตาย
เซี่ยเหลียนน่าที่เกือบจะอยู่ในอารมณ์ที่บ้าคลั่งกำลังที่จะวิ่งออกไปเพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ได้เจอชายในชุดคลุมสีดำที่อยู่ดีๆก็ปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้าเธอ
เซี่ยเหลียนน่าหยุดและมองไปที่ชายแปลกหน้าที่มีหน้ากากปิดหน้าอยู่แล้วร่างกายก็ซูบผอมจนเป็นหนังหุ่มกระดูก
“เจ้าเป็นใคร?” เสียงที่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งเมื่อกี้พูดออกมาทั้งๆที่เสียงแหบแห้ง
เสียงของชายคนนั้นแข็งกร้าวราวกับเลื่อยเหล็ก “ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า…”
“ช่วยข้างั้นเหรอ?!”
“เจ้าอยากที่จะล้างแค้นหรือเปล่า?! ข้าช่วยเจ้าได้นะ…”
“อยากสิ ข้าจะฉีกไอ้พวกนั้นให้เป็นชิ้นๆเลย…” เธอตะโกนบอกความเกลียดที่รุนแรงออกมา
“ดี! ข้าสามารถทำให้เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ได้ตราบใดที่เจ้ามอบวิญญาณให้ข้า” เสียงของชายหนุ่มแปลกขึ้นไปอีก เสียงที่เบาหวิวยิ่งฟังดูเหมือนมาจากนรกมากกว่าปกติ ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเลย
“ตราบใดที่ข้าได้แก้แค้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ข้าก็ยอมทำทั้งนั้นแหละ!”เซี่ยเหลียนน่าตามืดบอดเพราะความเกลียดและไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนที่เธอตอบตกลง ร่างของเขาดูบิดเบี้ยวแปลกๆ
เขาจะเป็นผู้ชายที่ไร้วิญญาณได้ยังไงกัน?!!!
น่าเสียดายที่เซี่ยเหลียนน่าไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
รากแห่งจิตวิญญาณถูกทำลายและการที่พ่อของเธอถูกโจมตียิ่งทำให้เธอเกือบที่จะเป็นบ้า เซียนเหลียนน่าที่ไม่เคยต้องเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ ยิ่งทำให้เธอเป็นเป้าที่พวกปีศาจจะเข้าหาได้อย่างง่ายดาย
ในถ้ำของป่าแห่งความตาย
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น
แล้วเธอก็รีบกระโดดลุกขึ้นมาทันทีและประโยคแรกที่เธอพูดออกมาคือ “หลินหนานเป็นไงบ้าง…”
เกิดความเงียบขึ้นและสีหน้าของพวกเขาก็ดูเศร้าสร้อย มู่หรงเสวี่ยรู้สึกจุกที่หัวใจและสีหน้าของเธอก็เริ่มที่จะเศร้าไปด้วย ไม่นานเธอก็วิ่งไปยังจุดที่ร่างของหลินหนานนอนอยู่ ร่างกายของเธอยังอ่อนแอจนเธอเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น
หลินหนานกำลังนอนอยู่บนเสื่อ ดาบถูกดึงออกไปและมีการทำแผลเรียบร้อยแล้ว แต่สีหน้าเขาก็ยังดูซีดเซียวและแทบที่จะหาชีพจรบนร่างกายเขาไม่ได้เลย นิ้วที่สั่นเทิ้มของมู่หรงเสวี่ยอังไปที่จมูกของหลินหนาน
ถึงแม้มันจะอ่อนมากแต่มู่หรงก็ยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจจางๆ
จังหวะหัวใจของเธอเต้นรัวขึ้นมาทันที “เยี่ยม หลินหนานยังไม่ตาย…” เธอพูดออกมาด้วยร้ำเสียงที่สั่นเทอม เกือบที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความสุขใจ
สำหรับมู่หรงเสวี่ย หลินหนานถือว่าเป็นครอบครัวของเธอ เขาอยู่กับเธอมานานแล้ว
อย่างไรก็ตามจ้าวฉีไม่ได้มีความสุขนัก ถึงแม้หลินหนานจะยังไม่ตาย แต่เขาก็ไม่ต่างจากตายเท่าไรนัก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงไม่นานแต่หลินหนานก็เกือบที่จะหยุดหายใจไปหลายครั้งแล้ว
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจท่าทางของคนอื่นๆ ตราบใดที่หลินหนานยังหายใจอยู่ เธอมั่นใจว่าจะต้องช่วยเขาได้ แม้แต่ราชาแห่งนรกก็มาเอาตัวเขาไปจากเธอไม่ได้
เธอรีบเอาเข็มทองคำและยาต่างๆออกมาจากมิติลับทันที พร้อมทั้งโสมที่ช่วยยืดอายุให้เธอ เธอพูดกับเหล่าคนที่กำลังตกตะลึง “ช่วยหั่นโสมนี่ให้ข้าที เร็วสิ!”
คนที่เหลือยังมัวเมาอยู่กับความเศร้าเสียใจจึงไม่ได้ตอบสนองอะไรเธอไปสักพัก
มู่หรงเสวี่ยร้องตะโกนเสียงดัง “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวเสียใจ รีบมาช่วยข้าเร็วสิ!”
คนที่เหลือเริ่มได้สติขึ้นมาทันที ดวงตาเบิกกว้าง มองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ เฟิงจือหลินที่สงบที่สุดได้สติขึ้นมาก่อน รีบหยิบโสมมาจากมู่หรงเสวี่ย ไม่มีเวลาแม้แต่จะมาชื่นชมโสมที่ล้ำค่า เธอรีบใช้เทคนิคการทำความสะอาดเพื่อล้างโสมและเปลี่ยนพลังแห่งจิตวิญญาณให้เป็นดาบแล้วค่อยๆฝานโสมเป็นชิ้นบางๆ
“มีอะไรให้ข้าช่วยอีกไหม?” จ้างฉีและคนอื่นๆที่เริ่มจะได้สติถามขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เตรียมจานกับเหล้าให้ที มีใครเอาเหล้าพกติดตัวมาบ้าง! ”
“จู้หมิงมาช่วยข้า คอยส่งเครื่องมือและเช็ดเหงื่อให้ข้าที…”
ทุกคนต่างก็เชื่อฟังคำสั่งของมู่เทียนและทำหน้าที่กันอย่างว่องไว
ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยสงบแต่เธอก็ยังอ่อนแอเกินไป “ใครยังเหลือพลังแห่งจิตวิญญาณบ้าง? ขอข้าใช้หน่อย!”
เฟิงจือหลิงรีบมานั่งข้างหลังมู่เทียนและส่งพลังให้เธอทันที มู่หรงเสวี่ยรู้สึกดีขึ้นมาก
ในตอนนี้มู่เทียนเป็นความหวังเดียวของทุกคนและทุกคนต่างก็เชื่อใจเขาอย่างมาก ดูเหมือนว่าตราบใดที่เขาบอกว่าทำได้ หลินหนานก็จะต้องโอเค
หลังจากหลายชั่วโมงของการรักษา มู่หรงก็แทบที่จะทรุดตัว
สุดท้ายเธอก็หยิบน้ำแห่งจิตวิญญาณออกมาและป้อนให้หลินหนาน
หลังจากการรักษา หลินหนานก็ดูเหมือนจะอาการคงที่แล้ว สีหน้าของเขาเริ่มที่จะมีสีขึ้นมาบ้างและร่างกายของเขาก็ไม่ได้เย็นมากแล้ว พวกคนที่เหลือที่เห็นทุกอย่างต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ทุกคนรู้ได้เลยว่าหลินหนานปลอดภัยแล้ว
สิ่งที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือสถานะของมู่เทียนในใจของพวกเขาเริ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ และในตอนนี้มันก็ขึ้นไปแตะในระดับที่สูงลิบกว่าท้องฟ้ามาก
“มู่เทียน เสี่ยวเหมยอยู่ที่ไหน?!!” ถึงแม้ในตอนนี้มู่เทียนจะดูเหนื่อยล้าอย่างมาก แต่พวกเขาต่างก็ยังเป็นห่วงเรื่องหวู่เสี่ยวเหมยที่ก็เป็นเพื่อนของพวกเขาด้วยเหมือนกัน
ในวินาทีสุดท้าย จ้าวฉีก็นึกขึ้นมาได้ว่ามู่เทียนกับเสี่ยวเหมยอยู่ด้วยกัน ตอนที่เขาเดินมาข้างหลัง เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆหวู่เสี่ยวเหมยถึงได้หายตัวไป เขาไม่ได้สงสัยในตัวมู่เทียน เขาเพียงแค่เป็นห่วง
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาเพราะมู่เทียนมัวแต่รักษาหลินหนาน เขาจึงยังไม่มีโอกาสที่จะได้ถาม ดังนั้นเมื่อทันทีที่เขามีโอกาส เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา ยังไงซะหวู่เสี่ยวเหมยเองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันแต่โชคดีที่ไม่มากเท่าหลินหนาน
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มซีดเซียวและพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงนะ เธอโอเค!” ก่อนที่จะส่งเธอเข้าไปในมิติลับ เธอลองตรวจอาการของหวู่เสี่ยวเหมยคร่าวๆแล้ว ถึงแม้เธอจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตหรือว่าทำร้ายรากแห่งจิตวิญญาณ เธอเพียงแค่ต้องได้รับการดูแลอย่างดี
เพียงแค่เธอโบกมือ หวู่เสี่ยวเหมยก็ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าทุกคน เธอยังสลบอยู่แต่บาดแผลตามร่างกายของเธอได้รับการรักษาอย่างง่ายๆแล้ว มู่หรงเสวี่ยเดินไปดูอาการของเธอ ทุกอย่างดูจะไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว เธอยังได้กินยาเข้าไปแล้วด้วยและตอนนี้ลมหายใจของเธอก็คงที่
สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็วางใจได้ ร่างกายของเธอยังอ่อนแออยู่มากจนจู่ๆเธอก็ทรุดลงไปกับพื้น เฟิงจือหลินที่อยู่ข้างหลังรับมู่เทียนไว้ได้ทัน ร่องรอยของความปวดใจแวบขึ้นมาในสายตาของเธอ