บทที่ 258 พระเจ้า! ไอ้เด็กนั่นอยู่ระดับสีม่วงงั้นเหรอ!
“ข้าคือมู่เทียนไง!” นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?!
“ใครถามชื่อเจ้ากัน?” คุยกับไอ้หมอนี่ที่ไรน่าหงุดหงิดทุกทีเลย ตั้งแต่ที่เฟิงจือหลิงได้เจอกับมู่เทียนแล้วก็ไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย
“แล้วเจ้าถามข้าเรื่องอะไรล่ะ?” ดวงตากลมโตกะพริบถี่
“เจ้ามาจากตระกูลไหนกัน? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลยล่ะ?” เฟิงจือหลิงถาม
“ตระกูลไหนงั้นเหรอ?! ตระกูลมู่” มู่หรงพยักหน้า และพูดยืนยันออกไปว่าถึงแม้มันควรจะเป็นตระกูลมู่หรง แต่นามสกุลของเธอคือมู่งั้นถ้าเธอโกหกออกไปแบบนั้นมันก็น่าจะจบ
“ตระกูลมู่งั้นเหรอ?! ไม่เคยได้ยินเลย…” หรือว่าเป็นตระกูลเล็กๆ เฟิงจือหลิงนึกเรื่องนี้อยู่ในใจแต่ก็ยังไม่เจอข้อมูลอะไรเกี่ยวกับมู่เทียนเลย “ตระกูลมู่อยู่ที่ไหนกัน?” เขาถาม
“ตระกูลมู่งั้นเหรอ?! อยู่ที่อีกฝั่ง…”
“อีกฝั่งที่ไหน?! อีกฝั่งของทะเลงั้นเหรอ?
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “เปล่า อีกฝั่งของท้องฟ้า…”
“ตุบ!” มะเหงกลูกที่สามเคาะมาที่หน้าผาก!
“จริงจังหน่อยได้ไหม! ข้าบอกให้พูดเรื่องจริงไง”
มู่หรงเสวี่ยทำปากเบ้ แตะไปที่หน้าผากและพูดออกมาอย่างเหลวไหล “ไม่รักข้าหรือไงถึงได้มาตีกันแบบนี้น่ะ…”
ขอร้องเถอะ ใครรักเจ้ากัน!!! อย่ามากไปหน่อยเลย ฝันไปเถอะ
ชายหนุ่มถูกตีหัวจนสมองกลับไปหมดหรือไง
เมื่อเห็นว่าทุกคนดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว สุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มทำตัวปกติ “โอเค ข้าจริงจังนะ…”
เรื่องนี้เริ่มที่จะจริงจังเลยอยากที่จะเล่นกันพวกเขาหน่อยไม่ได้หรือไงกันนะ?!!!
พวกเขาเริ่มที่จะหมดความอดทน เพียงแต่ยังไม่ได้เตะมู่เทียนให้กระเด็นไปเท่านั้นเอง
“ข้าพูดจริงๆ ข้าไม่ได้มาจากมิตินี้! ถ้าไม่เชื่อข้าก็ลองถามเสี่ยวไป๋ดูสิ…” มู่หรงเสวี่ยชี้ไปที่บางคนที่ยังหลับอยู่ไกลๆ!
พวกเขามีสีหน้าที่เคร่งเครียด เจ้าลูกบอลนั่นดูไม่น่าเชื่อถือมากกว่ามู่เทียนซะอีก
“เจ้าพูดจริงเหรอ?!!” หลินหนานถามอีกครั้ง
มู่หรงยกมือขึ้นและพยักหน้าอย่างหนักแน่น “จริงๆนะ ฟังดูไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ?”
พวกเขาต่างก็เงียบ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมมู่เทียนถึงได้ไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเรื่องพื้นๆ, การเป็นอยู่ของทวีปเฟิงหยุ่นและยังเรื่องอื่นๆอีก เขาถึงได้ชอบอยู่แค่กับเสี่ยวไป๋
“…”
หลังจากนั้น หลินหนานและคนอื่นๆก็มีคำถามมากมาย หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยตอบคำถามพวกเขาแล้ว ในหัวใจของพวกเขาก็เริ่มที่จะเข้าใจอะไรกันมากขึ้น ผู้คนในเมืองของมู่หรงเสวี่ยดูเป็นคนที่รักสงบและคนที่ไม่ได้ฝึกตนก็ยังสามารถที่จะได้ขึ้นสวรรค์ เป็นโลกที่มีกฎหมาย ผู้คนที่เที่ยวทำร้ายคนอื่นจะต้องถูกต่อต้าน
“ในโลกนั้นเจ้ารวยหรือเปล่า?” เฟิงจือหลิงถามอย่างสงสัย ไม่มีทางที่คนอย่างมู่เทียนจะเอาสมบัติล้ำค่าของมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าได้แบบนี้
“เงินงั้นเหรอ?! ก็โอเคนะ ไม่ได้รวยอะไรมาก ยังมีตระกูลอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่เหนือกว่าข้า บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก็ยังไม่ถูกพัฒนาเท่าไร ข้าไม่ได้รวยอะไรมาก และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วด้วย?!!”
จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดรูปที่อยู่ในโทรศัพท์ “เคยเห็นสองคนนี้ไหม?!!”
หลินหนานและคนอื่นๆต่างก็มาดูที่อุปกรณ์แปลกๆและรู้เลยว่านี่เป็นของที่มาจากโลกของมู่เทียน ถึงแม้พวกเขาจะสงสัยแต่ก็รีบรับมาดูทันที
แต่พวกเขาต่างก็ส่ายหน้าจนใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“นี่คือคนที่สำคัญกับเจ้างั้นเหรอ?!” หลินหนานถาม
“พ่อแม่ของข้าเอง ข้ามาที่นี่ก็เพื่อตามหาพวกท่าน”
“ไม่ต้องห่วงนะ เจ้าจะต้องหาพวกท่านเจอแน่ๆ!”
“พวกเราก็จะช่วยเจ้าตามหาด้วยเหมือนกันนะ!”
“หลังจากที่ออกไปแล้ว ข้าก็จะแจ้งไปที่ตระกูลเฟิงของเราด้วย ตระกูลเราค่อนข้างที่จะทรงอำนาจ ถ้าเราไปถึงดินแดนพายุ เราก็น่าที่จะตามหาพวกท่านได้ในไม่ช้า…” เฟิงจือหลิงเองก็พูดออกมาด้วย ตอนนี้เขาไม่ได้มองมู่เทียนเป็นเพียงแค่คู่ต่อสู้แล้ว
“อืม ขอบคุณมากนะ”
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและรีบหยิบหญ้าแห่งการฟื้นฟูเมื่อกี้ออกมาทันที “รีบไปกันเถอะ จะมัวรออะไรกันอยู่ล่ะ…”
มู่หรงเสวี่ยหน้าบึ้ง “พวกเจ้าอยากจะทำยังไงล่ะ?! ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ไอ้นั่นก็ไม่เอา ปัญหาเยอะกันจริงๆเลย…”
“เจ้าสิตัวปัญหา!” พวกเขาต่างก็พูดออกมาพร้อมกัน
หูของมู่หรงเสวี่ยอื้อไปหมดเพราะเสียงดัง
สุดท้าย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกไปแบบนี้ เฟิงจือหลิงเป็นนายน้อยแห่งตระกูลสายลม มีคนมากมายที่รู้เรื่องรู้ พวกเขาจึงมีแผนที่จะตัวตนของเขาเพื่อกดดัน ถ้าไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะแค่สู้จนถนนอาบไปด้วยเลือด
ชัดเจนเลย ทันทีที่พวกเขาออกไปจากพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษ พวกเขาก็ได้รับการจับจ้องมาจากทุกทิศทุกทางและไม่นานพวกเขาก็ถูกล้อมรอบ
“พวกเจ้าต้องการอะไร?” หลินหนานและเฟิงจือหลิงก้าวออกมาและถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกเจ้าออกมาแล้ว ได้เจอสมบัติบ้างหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถามออกมาซึ่งน่าจะอยู่ในระดับต้นๆเท่านั้น
“พวกเราไม่ได้เข้าไปเลยด้วยซ้ำ แค่ดูอยู่รอบนอกเท่านั้น…” หลินหนานพูดอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มที่มีไฝสีดำที่หน้าลุกขึ้นมาพร้อมทั้งพูดว่า “ดูอยู่รอบนอกงั้นเหรอ คิดว่าจะหลอกกันได้เหรอ พวกเราอยู่ที่นี่มาหลายวันแต่กลับไปเห็นพวกเจ้าเลย พวกเจ้าคงจะต้องเข้าไปตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว ก็น่าที่จะได้สมบัติมาด้วย…”
คำพูดของชายคนนั้นทำให้คนอื่นๆต่างก็แตกตื่นกันทันที ทุกคนพร้อมที่จะโจมตี
สายตาของเฟิงจือหลินเย็นชา “ระดับการฝึกตนของพวกเราอยู่ในระดับสีส้ม เราไม่กล้าที่จะเข้าไปหรอกแต่พวกเราได้เห็นหลุมดำจากไกลๆ นั่นเป็นสมบัติเหรอ? ข้าไม่รู้เลยแต่ในนั้นมีอสูรแห่งจิตวิญญาณระดับสูงๆอยู่มากมาย มีแค่ทางเดียวคือความตาย พวกเจ้าอยากที่จะมีเรื่องกับตระกูลเฟิงของเรางั้นเหรอ?!! ถ้าพวกเจ้าอยากที่จะตาย ข้าก็จะจัดให้เอง” ร่างกายของเธอเปล่งรังสีอาฆาตออกมา ดาบในมือเธอก็ถูกดึงออกมาพร้อมและเปล่งประกายความเย็นยะเยือกออกมา
“ตระกูลเฟิงงั้นเหรอ?!”
“เฟิงจือหลิงงั้นเหรอ?! ใช่เขาจริงๆด้วย มิน่าทำไมเขาถึงดูคุ้นๆ”
“ได้ยินมาว่าเขาอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆแล้วด้วยนะ…”
“ระดับสีฟ้าเหรอ ที่นี่เราไม่มีใครอยู่ระดับสีฟ้าเลยนะ งั้นก็ยากที่จะรับมือ…”
“ถ้าพวกเจ้ายังอยากที่จะสู้ ไม่กลัวที่ตาย ตระกูลเฟิงของพวกเราก็จะบดขยี้พวกเจ้าด้วยนิ้วเดียวเอง อย่าลืมนะว่าตระกูลเฟิงของเรามีคนที่ดูแลอยู่ในระดับกลางของระดับสีม่วงอยู่ด้วย…”
“ว่ายังไงล่ะ? ไม่มีสมบัติหรอก”
“พวกเขาดูเหมือนไม่ได้เอาสมบัติออกมาเลยนะ ไม่คุ้มหรอกนะที่จะสู้กับตระกูลเฟิงแบบนี้…”
“…”
ผู้คนรอบๆต่างก็ซุบซิบ หลินหนานตั้งการ์ดอย่างระวังเพื่อป้องกันการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว
“ช่วยหลีกทางออกไปด้วย” เฟิงจือหลิงพูดออกมาอย่างเย็นชาและเริ่มที่จะเดินไปข้างหน้า
ถึงแม้เขาจะเป็นนักสู้ไอ้หมาบ้า ได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มาเป็นพันๆคนแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ถ้าเขาต้องสู้จริงๆ ถึงแม้เขาจะไม่ตายแต่ก็คงจะต้องเจ็บหนักแน่ๆ
พวกเขาเดินอย่างระวังและอาวุธก็พร้อมอยู่ในมือของแต่ละคน นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
จู่ๆใครบางคนในฝูงชนก็ขยับ
“ถ้ายังไม่อยากตายก็อยู่เฉยๆเลย ตระกูลเฟิงไม่ใช่อะไรที่จะเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆ…” เสียงกระซิบดังขึ้นมาจากฝูงชน
หลินหนานและคนอื่นๆมองไปที่จุดนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเจอเข้ากับร่างที่คุ้นเคย คนคนนั้นคือเซี่ยเต๋างั้นเหรอ?!!!
เขาเห็นอาจารย์เซี่ยจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาดุดัน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต
หลินหนานพูดอย่างระวัง “ขอบคุณมาก ระวังตัวด้วย!”
ท่าทางของทุกคนเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของมู่หรงเสวี่ย ตอนนี้อาจารย์เซี่ยคิดว่าจะใช้ผู้ชนเพื่อที่จะจัดการกับพวกเขา เป็นคนที่อันตรายจริงๆ มีเพียงพี่น้องเฟิงจือหลิงเท่านั้นที่ไม่เข้าใจสถานการณ์นี้จึงถามออกไปเสียงเบา “ใครคือเซี่ยเต๋างั้นเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้น หันไปทางอาจารย์เซี่ยแล้วจึงพูดออกมา “นั่นไงเขา คนที่ไล่ตามพวกเราอาจจะมีเลศนัยแอบแฝง ต่อไปก็ระวังด้วยนะ เราต้องระวังไว้ก่อน เราไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ…”
เฟิงจือหลิงรีบพยักหน้าอย่างเย็นชาทันที
แน่นอนอยู่แล้ว!!!
“สมบัติอยู่ที่พวกเขา! ไปกันเถอะทุกคน” อาจารย์เซี่ยตะโกนออกมาและโยนพลังแห่งจิตวิญญาณออกมาก่อน
เมื่อมีคนหนึ่งเริ่ม เหตุการณ์ก็เริ่มที่จะเกินความควบคุม ทุกคนอยากที่จะลงไปสู้ด้วย เมื่อมีคนมากมาย ก็จะไม่มีใครบอกได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทุกคนต่างก็มีความคิดนี้
อีกอย่างถ้าสมบัติอยู่ที่พวกเขาจริงๆ มันก็คงจะน่าเสียดาย
หลินหนานและคนอื่นๆต่างก็รีบรวมกลุ่มทันที มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ตรงกลางโยนเสี่ยวไป๋เข้าไปในมิติลับในระหว่างที่คนอื่นๆกำลังมองไปข้างใน เธอดึงดาบใหญ่ออกมา ปลอดปล่อยพลังแห่งการฝึกตนที่ถูกเก็บกดเอาไว้แล้วจึงลอยขึ้นไปในอากาศ
“อัญเชิญฟินิกซ์!”
มู่หรงเบาเสียงลง นกฟินิกซ์สีแดงเพลิงพุ่งออกมาตามเสียง พุ่งล้อมรอบไปที่ฝูงชนที่พุ่งเข้ามา ทิศทางที่เล็งคือตำแหน่งของอาจารย์เซี่ยที่กำลังยืนอยู่
“โอ้ พระเจ้า!”
“เด็กหนุ่มคนนั้น แม้จริงแล้วอยู่ในระดับสีม่วง!”
“เร็ว เร็วเข้า เร็ว!”
อย่างไรก็ตาม มันก็สายเกินไปแล้ว ฝูงชนกลุ่มแรกที่พุ่งเข้ามาเป็นกลุ่มแรกที่โดนจังหวะการเคลื่อนไหวแรกของมู่หรงเสวี่ยพุ่งเข้าใส่ แรงกระทบขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนกลุ่มคนนับสิบ
ถึงแม้อาจารย์เซี่ยจะกระโดดหลบได้ทันแต่สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับสีม่วง
ไม่เพียงแค่คนรอบๆเท่านั้นที่ตกตะลึงแต่พี่น้องเฟิงจือหลิงเองก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ โอเค นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ
ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของเซี่ย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในระดับฝึกตนไหน แต่พวกเขาก็กลายเป็นศัตรูกันแล้ว ถ้าคนมากมายพวกนี้ไม่สามารถที่จะจัดการพวกเขาได้ในวันนี้ งั้นก็ไม่มีโอกาสอื่นแล้ว