บทที่ 257 ข้าไม่ใช่นกโง่หรือว่านกตัวไหนๆ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 257 ข้าไม่ใช่นกโง่หรือว่านกตัวไหนๆ

ยังคงมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในส่วนลึกของป่าแห่งความตายอยู่อีก ในวันนั้นมีหลายคนที่ได้เห็นหลุมดำในพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษของป่าแห่งความตาย ทุกคนคิดว่ามันเป็นภาพที่เกิดจากสมบัติล้ำค่าที่เหนือธรรมชาติของโลกและสวรรค์ ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันอันตรายแต่ก็ยังมีหลายคนที่สู้กันเพื่อความเป็นไปได้ของเบาะแสที่พวกเขาอาจจะได้เจอ

แม้แต่นายท่านที่หลับใหลอยู่ก็ยังถูกรบกวนไปด้วย ทุกคนที่ออกมาจากพื้นที่บรรยากาศเป็นพิษจะถูกคนที่รออยู่ภายนอกค้นตัวและถ้าไม่ให้ความร่วมมือพวกเขาก็จะต้องถูกคนพวกนี้รุมโจมตี

“ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ตอนนี้ข้าควรจะทำยังไงดี?” จ้าวฉีถาม

ตั้งแต่วันนั้นพวกเขาก็อยู่ข้างในมาเกือบจะอาทิตย์แล้ว หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วพรุ่งนี้พวกเขาก็ควรที่จะออกไปได้แล้ว พวกเขาเห็นว่าพวกคนที่ออกมาต่างก็ถูกรุมล้อมจนพวกเขาต้องล่าถอยกลับไป

“เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้หรอก เดาว่าพวกคนที่อยู่ข้างนอกน่าจะตั้งเต็นท์รอไว้แล้วและพวกเขาก็คงจะไม่ไปเร็วๆนี้แน่…” เฟิงจือหลินขมวดคิ้ว สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาต้องรีบกลับไปที่สำนัก ถ้าพวกเขาไม่รีบกลับไปที่สำนัก เดาว่าจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆเลย ยังไงซะพี่ชายของเธอก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูล

หลังจากที่รู้สึกมึนงงสับสนมานานหลายวัน มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆล้างความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง “มีคนอยู่ทั่วไปหมดเลย เราคงจะแอบออกไปเงียบๆไม่ได้แน่…”

“มีคนเข้ามามากมายแต่พวกคนส่วนใหญ่ก็ถูกเจ้าอสูรสายฟ้าจัดการไปแล้ว…”

“บางทีเราอาจจะมีวิธีอื่นที่จะเอาสมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์และโลกออกมาแล้วปล่อยให้คนพวกนั้นขโมยไปซะ…” มู่หรงเสวี่ยแนะนำ

คนอื่นๆมองมาที่มู่หรงเสวี่ยราวกับเป็นไอ้โง่ เอาเรื่องอะไรมาพูดกันเนี่ย?

“มีอะไรเหรอ?! ข้าพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ?! ทำไมถึงมองข้าแบบนั้นล่ะ…” มู่หรงเสวี่ยถาม

ทันใดนั้นพวกที่เหลือก็รวมหัวกันปรึกษาโดยที่ไม่สนใจมู่หรงเสวี่ยเลย

มู่หรงเสวี่ยชี้ไปที่พวกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็หันมาพูดกับเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้างๆ “นี่ไม่สนใจข้าเลยหรือไง?”

เสี่ยวไป๋มองเธออย่างดูถูกแล้วก็รีบหันก้นให้เธอทันที

“แม้แต่เจ้าก็ไม่ชอบข้าด้วยงั้นเหรอ…” มู่หรงเสวี่ยทำแก้มป่อง นี่เธอทำอะไรผิดไปเนี่ย

มู่หรงเสวี่ยเองพยายามที่จะแทรกตัวไปในวงของหลินหนาน “อ่า อ่า ฟังข้านะ วิธีของข้ามันดีมากจริงๆ…”

หลังจากที่ทุกคนเงียบเป็นครั้งที่สอง หลินหนานก็หันไปมองมู่หรงเสวี่ยอีกครั้งด้วยสายตาดูถูกและรีบเปลี่ยนที่ยืนเพื่อที่จะปรึกษากันต่อ

มู่หรงเสวี่ยยังไม่ยอมแพ้และแทรกตัวเข้าไปอีกครั้ง “พวกเจ้าฟังข้าก่อนสิ…” ไม่มีใครสนใจเธอเลย

มู่หรงเสวี่ยรีบหยิบหินแห่งจิตวิญญาณก้อนใหญ่ออกมาจากมิติลับทันที ประกายแสงแทบจะทำให้ตาของหลินหนานบอด

“นี่! ข้าถามว่าหินแห่งจิตวิญญาณก้อนนี้สามารถถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าแห่งสวรรค์และโลกได้หรือเปล่า?” มู่หรงยกหินแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ในมือขึ้นพร้อมทั้งถามออกมา

หลังจากที่ผ่านไปนานแต่เธอก็ยังไม่ได้ยินคำตอบ เธอมองไปที่พวกเขาและเห็นว่าพวกเขาต่างก็กำลังตกตะลึงกันอยู่

มู่หรงส่ายมือไปมา “เฮ้ ได้ยินที่ข้าพูดกันหรือเปล่า?”

ทันใดนั้นหลินหนานก็ฉกหินแห่งจิตวิญญาณที่อยู่ในมือมู่หรงเสวี่ยไปและคนอื่นๆต่างก็รวมตัวกันเข้ามาเพื่อปรึกษาหารือ มู่หรงเสวี่ยก็ยังไม่ได้ร่วมอยู่ในวงด้วยอยู่ดี ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกับคนที่บอกว่าหินหยวนเป็นหินแห่งจิตวิญญาณ

“เจ้าเห็นไหมว่านี่คืออะไร?”

“เมื่อดูจากพลังทางจิตวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างในแล้วมันก็น่าที่จะใช่นะ…”

“พระเจ้า นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นหินหยวนที่ใหญ่ขนาดนี้…” เฟิงจือหลิงร้องอุทาน นี่เป็นอีกครั้งที่เขาสงสัยในตัวตนของมู่เทียน ในทวีปเฟิงหยุ่นนี้ยังไม่เคยเห็นตระกูลไหนที่เก่งกาจขนาดนี้และแม้แต่ตระกูลเฟิงของเขาก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย

มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะแทรกตัวเข้าไปอยู่นานแต่ก็ยังเข้าไม่ได้ จึงไปนั่งไม่พอใจอยู่ที่อีกด้านแทน ก็แค่หินก้อนหนึ่งจำเป็นต้องคุยอะไรกันนานขนาดนี้เลยหรือไง? นี่พวกเขาอยากที่จะทิ้งเธอไว้คนเดียวหรือไง?! ก็เห็นๆอยู่ว่าตอนที่เธอออกมาจากถ้ำ คนพวกนี้ก็ยังเป็นห่วงเธอมากๆกันอยู่เลย เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วันเธอกลับถูกทิ้งให้ต้องหนาวเหน็บอยู่คนเดียว เธอรู้สึกเสียใจจึงนั่งยองๆอยู่ที่มุมหนึ่งแล้ววาดอะไรไปเรื่อยๆ

“ไม่ต้องวาดแล้ว เจ้าเปลี่ยนความจริงเรื่องที่ตัวเองโง่ไม่ได้หรอก…” เสี่ยวไป๋ที่นั่งยองๆอยู่อีกด้านพูดขึ้นมา

มู่หรงเสวี่ยมองอย่างเศร้าสร้อยไปที่มัน “เจ้า…เจ้าเปลี่ยนไป เจ้าไม่ใช่เจ้าลูกบอลสีขาวตัวน้อยของข้าอีกแล้ว…”

เจ้าลูกบอลสีขาวหน้าบึ้ง ไอ้ผู้ชายไร้หัวใจนั่นมันทำอะไรกับเธอเนี่ย?!!!

ตอนแรกมันคิดว่าเธอคงจะฟื้นความทรงจำได้แล้ว ชั่วขณะหนึ่งมันไม่อยากที่จะยอมรับ หลายวันที่ผ่านมามันเฝ้าเป็นห่วงเรื่องเธอ กลัวว่าเธออาจจะอยากฆ่าตัวตาย

ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างมันจะผิดไปหมด มู่หรงเสวี่ยเป็นผู้หญิงโง่และเธอไม่รู้เลยว่านี่เปลี่ยนชีวิตเธอไปยังไงบ้าง นี่เธอไม่มีสมองเลยหรือไงนะ

หลินหนานที่สุดท้ายก็ปรึกษากันเสร็จและเดินเข้ามาหามู่หรงเสวี่ย เมื่อเขาเห็นสายตาเปล่งประกายของมู่เทียน เขาก็กระแอมเล็กน้อยแล้วจึงคืนหินหยวนที่อยู่ในมือให้กับเธอ “รับนี่ไป นี่ไม่ใช่หินแห่งจิตวิญญาณ มันคือหินหยวนที่ทุกคนที่ฝึกตนในโลกนี้ครอบครองไม่ได้ โดยเฉพาะปรมาจารย์ระดับสีม่วง…”

“นี่คือสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และโลกงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“แน่นอนว่ามันมีค่ามากกว่าสมบัติจากสวรรค์และโลกอีก แต่มันเป็นสมบัติที่ให้กันไม่ได้ เท่าที่รู้มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่ครอบครองหินหยวนแต่พวกมันก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้และคุณภาพก็ต่ำมากๆด้วย พวกมันทุกก้อนถูกปกป้องไว้เป็นสมบัติของตระกูล…” หลินหนานอธิบายเพียงสั้นๆแต่เขาเพียงแค่จ้องไปที่ดวงตาของมู่เทียนด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปกว่าเดิมมาก คนที่เขาติดตามเป็นคนแบบไหนกันนะถึงได้เป็นคนที่สุดยอดแถมยังมีสมบัติที่ล้ำค่าแบบนี้อีก

มู่หรงเสวี่ยรับหินหยวนมาถือและวิ่งออกไป “งั้นก็เยี่ยมเลย เรามีเหยื่อล่อแล้ว ไปกันเถอะ…”

เฟิงจือหลิงรีบดึงที่ด้นหลังของมู่เทียนไว้และยกขึ้นทันที

“นี่เจ้าโง่หรือไง?”

“ทำไมสวรรค์ถึงใจร้ายสร้างให้เจ้าเป็นคนที่โง่ได้ขนาดนี้เนี่ย…”

“โง่จริงๆ”

“โง่มาก”

“พูดไม่ออกเลยจริงๆ”

มู่หรงเสวี่ยที่ถูกอุ้มไปถูกทุกคนล้อมรอบไว้และเกือบที่จะถุยน้ำลายใส่หน้าเธอด้วยซ้ำ

“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะจัดการเรื่องนี้นะ!” มู่หรงเสวี่ยตอบโต้!

“ป็อก!” มีเสียงเคาะดังที่หน้าผาก

“นี่เจ้าโง่หรือไงเนี่ย?! ถ้าเจ้าเอาของที่สำคัญขนาดนั้นออกไปเป็นเหยื่อล่อ เราก็อาจจะต้องรีบออกไปจากที่ทันทีเลยก็ได้!”

“แต่ก็เพราะข้างนอกมีคนอยู่มากมายไม่ใช่เหรอ…” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมา

“เงียบไปเลย! เจ้านกโง่”

“ข้าไม่ใช่นกโง่นะ แล้วก็ไม่ใช่นกด้วย…” เสียงต่อต้านดังขึ้นมา

เป็นอีกคร้งที่มู่หรงเสวี่ยถูกทิ้งไว้ด้านข้างและไม่มีใครสนใจท่าทางไม่พอใจเล็กๆของเธอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทุกคนต่างก็มีความรู้สึกต่อเขาว่าเขาเป็นคนโง่ จึงไม่น่าที่จะมีความคิดอะไรดีๆได้

หลังจากที่ปรึกษากันอยู่นาน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเบื่อและเริ่มที่จะนั่งนับมดที่อยู่ที่พื้นเล่น

ครึ่งวันต่อมา

มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ เธอเล็งเป้าไปที่กลุ่มคนที่กำลังคุยปรึกษากันอยู่แล้วจึงวิ่งเข้าไปแย่งหินหยวนมาถือไว้อย่างมีความสุข วิธีของมู่หรงเสวี่ยคือวิธีที่ดีที่สุด ตราบใดที่เธอวิ่งออกไปเป็นคนแรกพร้อมกับถือหินหยวนไปด้วย ทุกคนก็จะวิ่งตามหินหยวนโดยไม่สนใจพวกคนที่เหลือ

ปกเสื้อของเธอถูกยกขึ้นอีกครั้ง มู่หรงเสวี่ยถูกยกขึ้นมาแกว่งอยู่ในอากาศ

“เจ้าจะทำอะไร?” เสียงของเฟิงจือหลิงดังมาจากข้างหลัง

มู่หรงเสวี่ยหันกลับไปมอง “เป็นเจ้าเองเหรอ พี่เฟิง!”

อ่า อะไรเนี่ย?! เฟิงจือหลิงสงสัยว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้ของตัวเองผิดไปหรือเปล่า คนตรงหน้านี่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆงั้นเหรอ

เมื่อเห็นสายตาดุดันของทุกคน มู่หรงเสวี่ยก็ถึงกับเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ถึงแม้เธออยากที่จะกอดอกและพูดออกไปเสียงดังว่า “นี่เป็นสมบัติของข้าเอง แล้วทำไมข้าถึงจะทำอย่างที่อยากทำไม่ได้?” แต่เธอก็ทำได้เพียงพูดอยู่ในใจเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังหาวิธีดีๆกันไม่ได้แล้วพวกเขาต่างก็เริ่มที่จะเป็นกังวลแล้วด้วย

ในเมื่อใช้หินหยวนไม่ได้ งั้นพวกสมุนไพรก็น่าจะเอามาใช้ได้นะ

“ข้าคิดวิธีออกแล้ว!” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างมีความสุข

ทุกคนมองมาที่เธอด้วยสายตาไม่สนใจเท่าไร

“โสมแดง!” มู่หรงเสวี่ยรีบหยิบต้นไม้แห่งการฟื้นฟูออกมาทันทีซึ่งก็น่าจะอายุประมาณล้านปีได้

“อันนี้น่าจะใช้ได้นะ” มู่หรงเสวี่ยถือต้นไม้และรีบวิ่งออกไปอย่างมีความสุข

เธอวิ่งออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวแล้วก็ต้องถูกดึงกลับมาอีกครั้ง

“พระเจ้า นี่คือต้นหญ้าแห่งการฟื้นฟูสำหรับใช้สกัดยาชูกำลังนิ”

ดูสิ นี่น่าจะอายุเป็นล้านปีเลยนะ…”

“ยังไม่ตายด้วยนะ…”

“หญ้านี่ให้กำเนิดจิตสำนึกทางจิตวิญญาณได้ด้วยนะ…”

“เยี่ยมไปเลย…”

“หญ้าแห่งการฟื้นฟูนี่ยังสามารถสร้างแสงออร่าโดยอัตโนมัติได้ด้วยนะ แสงออร่านี่แข็งแกร่งมากจนผู้คนสามารถออกแรงแค่ครึ่งเดียวแต่กลับไปผลลัพธ์สองเท่าเลยทีเดียว…”

“…”

หลังจากที่ปรึกษาหารือกันอยู่นาน มู่หรงเสวี่ยที่ถูกล้อมรอบอยู่กึ่งกลางก็ถามออกมาอย่างจริงจัง “ในที่สุดพวกเจ้าก็คือว่าวิธีของข้ามันดีแล้วใช่ไหม?”

ที่หน้าผากถูกเคาะอีกครั้งทันที!!!

“จริงจังหน่อยได้ไหม!” หลินหนานพูด

มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทันทีและบอกออกมาว่าเธอจริงจังแล้วจริงๆ

“เจ้าเป็นใคร?!!” เฟิงจือหลิงถามออกมาเป็นคนแรก ถึงแม้เข้าจะรู้จักสมาชิกทุกคนของตระกูลใหญ่ๆในทวีปเฟิงหยุ่น และเขาก็เคยเจอคนดังๆมาหมดแล้วด้วย อย่างไรก็ตามก็ไม่มีมู่เทียนอยู่ในคนพวกนี้เลย