บทที่ 507 ท่าที

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันมีเหตุมีผล ทำเอาหลิ่วฮูหยินถามต่อไปไม่ได้ รมทั้งคำพูดก่อนหน้านี้ขององค์ชายเจ็ด ก็ยิ่งทำให้หลิ่วฮูหยินนิ่งเงียบไปใหญ่ 

 

 

           ผ่านไปนานถึงได้ยินเสียงเสียงขมขื่นของหลิ่วฮูหยิน “นี่ก็ไม่แน่ อย่างไรเจ้าก็เป็นเจ้า จวนตวนชินอ๋องก็คือจวนตวนชินอ๋อง คนที่ได้ผลประโยชน์คือเจ้า เรื่องนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้” 

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นหลิ่วฮูหยินยังคงปากแข็ง จึงไม่คิดจะเปิดปากอีก 

 

 

           กลับเป็นองค์ชายเจ็ดที่หัวเราะเยาะและพูดขึ้นมา “ลูกชายคนโตของจวนตวนชินอ๋องเกิดมาจากชายารองถาว ท่านว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องหรือไม่เล่า? อีกอย่างไม่ยินยอมให้จวงผินเข้ามาในจวนอ๋องก็มีวิธีอีกตั้งมาก ต่อให้เข้ามาในจวนอ๋อง ยาพิษถุงหนึ่งหรืออุบัติเหตุสักครั้ง คนไม่อยู่แล้วจะยังข่มขู่อะไรได้? จะต้องมาเสี่ยงอันตรายทำอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนี้หรือ? อีกทั้งท่านคิดว่าวังหลวงเข้าไปยุ่งวุ่นวายได้ง่ายถึงเพียงนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็คงตายไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว?” 

 

 

           หยุดไปครู่หนึ่ง องค์ชายเจ็ดก็หัวเราะอีก “หากท่านบอกว่าเรื่องนี้ฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือไทเฮาเหนียงเหนียงเป็นต้นคิด ข้าก็ยังเชื่อ แต่หากท่านบอกว่าเรื่องนี้ชายารองจวนอ๋องทำ…ก็ดูน่าขันเกินไป ข้าไม่เห็นรู้ว่าสตรีที่อยู่ในเรือนทั้งวัน จะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้จริง เกรงว่าคงต้องเอาหัวชนกำแพง ไม่มีหน้ามาใช้ชีวิตต่อบนโลกใบนี้แล้ว” 

 

 

           แม้นองค์ชายเจ็ดจะพูดเกินจริงไป แต่ก็อธิบายปัญหาได้ดีที่สุด ไม่ต้องพูดถึงแรงจูใจ เพียงแค่ความสามารถของถาวจวินหลันก็ไม่มีทางทำได้แล้ว 

 

 

           หลิ่วฮูหยินหาคำพูดมาโต้กลับอย่างตะกุกตะกัก 

 

 

           ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มมองหลิ่วฮูหยิน “ในเมื่อฮูหยินไม่มีคำพูดอีก ก็ให้ทำตามที่เคยพูดด้วยเถิด ขอโทษข้าด้วยเจ้าค่ะ ท่านทำลายชื่อเสียงของข้าเช่นนี้ คิดว่าคำขอของข้าคงไม่ได้มากเกินไปนะเจ้าคะ” 

 

 

           ไม่ใช่ว่านางใจแคบคิดเล็กคิดน้อย แต่เพราะนางขจัดความโกรธครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ 

 

 

           หลี่เย่นั่งเงียบไม่พูดจา ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่หลิ่วฮูหยินมองมา แม้ว่าจะไม่เปิดปากพูด แต่ก็แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน 

 

 

           องค์ชายเจ็ดคงกลัวว่าเรื่องจะยุ่งไม่มากพอ จึงพยักหน้าพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ควรจะเป็นเช่นนั้น ท่านควรต้องขอโทษชายารองถาว ทำลายชื่อเสียงก็เหมือนฆ่าบิดามารดา ฮูหยินทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง อีกทั้งไม่เพียงแต่ต้องขอโทษชายารองถาวเท่านั้น ยังต้องขออภัยพี่รอง ฮูหยินทำเช่นนี้ถือเป็นการกล่าวหาว่าพี่รองไม่ดูแลภรรยาให้ดี ปล่อยให้กำเริบเสิบสาน” 

 

 

           ถ้าไม่ใช่เพราะองค์ชายเจ็ดยังไม่รู้ว่าถาวจวินหลันถูกตบไปทีหนึ่ง เกรงว่าคงจะเพิ่มโทษให้หลิ่วฮูหยินอีกข้อหาหนึ่งเป็นแน่ 

 

 

           หลิ่วฮูหยินมององค์ชายเจ็ดวูบหนึ่ง รู้สึกอึดอัดจนอยากจะกรีดร้องออกมาเพื่อระบายอารมณ์ นางจะต้องขอโทษถาวจวินหลัน ฝันไปเถิด! 

 

 

           ดังนั้นหลิ่วฮูหยินจึงทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งยืดตัวตรงสง่างามไม่ขยับไปไหน อย่างไรนางเองก็เป็นผู้ใหญ่ นางไม่เชื่อว่าพวกเขาจะมาบีบบังคับนางได้ 

 

 

           ฉับพลันนั้นเจียงอวี้เหลียนก็พูดแทรกอีกครั้ง หัวเราะทำลายบรรยากาศยามนี้ “นี่ยังจำเป็นอีกหรือเจ้าคะ? เป็นเครือญาติกันทั้งนั้น ทำไมจะต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วยเล่า? ท่านป้าก็แค่โกรธเท่านั้น อย่างไรพวกเราก็เป็นแม่คนทั้งนั้น ย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของท่านป้า ชายารองถาวคิดว่าจริงหรือไม่?” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแค่ประโยคสองประโยคก็ทำให้คำพูดยโสโอหังและการใช้คำพูดทำร้ายคนอื่นของหลิ่วฮูหยินหายไปจนสิ้น แล้วให้หลิ่วฮูหยินกลายเป็นแม่ผู้น่าสงสารที่ทำเพื่อปกป้องลูกสาว  

 

 

           ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน มองนิ่งตรงไปที่เจียงอวี้เหลียน พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ชายารองเจียงพูดง่ายเสียจริง คนที่ถูกกวนให้น้ำขุ่นไม่ใช่เจ้า ข้ากลับต้องการถามเจ้า เพราะข้าเองก็เป็นแม่คน เพื่อไม่ให้ลูกหญิงชายทั้งสองคนของข้าถูกตราหน้าว่ามีแม่เป็นงูพิษ ข้าไม่ควรถามหาความยุติธรรมจากท่านป้าหรืออย่างไร?” 

 

 

           หยุดไปครู่หนึ่งน้ำเสียงของถาวจวินหลันก็ยิ่งขรึมขึ้น มองไปทางเจียงอวี้เหลียนอย่างดุดันและทรงอำนาจ “ชายารองเจียง ข้าคิดว่าเจ้าควรเงียบปากไปดีกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ทำไมเจ้าจะต้องพยายามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเล่า? จุดประสงค์คืออะไร?” 

 

 

           คราวนี้เจียงอวี้เหลียนรู้ที่จะต้องเรียบร้อย ไม่กล้าออดอ้อนกับหลี่เย่อีก เพียงแค่เม้มปาก ก้มหน้าลงอย่างน้อยใจ ในเมื่อหลี่เย่ไม่ใส่ใจ ทำเป็นมองไม่เห็น แต่ก็ต้องมีคนเห็นว่านางน้อยใจ หวังดีแต่ไม่ได้รับสิ่งดีตอบแทน 

 

 

           ถาวจวินหลันยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่กลับคร้านจะไปสนใจเจียงอวี้เหลียนอีก เพียงแค่มองไปทางหลิ่วฮูหยินพูดว่า “ทำไมหรือ ท่านป้าเป็นคนรู้มารยาท เป็นคนที่สูงส่งที่สุด ทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้กลับไปกลับมา รู้สึกเสียดายอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?” 

 

 

           หลิ่วฮูหยินกัดฟัน ถามถาวจวินหลัน “ทำไมหรือ เจ้าคิดจะให้ข้าคุกเข่าจริงหรือ? เจ้าไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าสมควรได้รับสิ่งนี้หรือไม่!”      

 

 

           ถาวจวินหลันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทีเรียบนิ่ง “คุกเข่าคงไม่จำเป็น แต่อย่างไรก็ต้องขอโทษ ส่วนจะรับได้หรือไม่ ในเมื่อข้าถูกท่านป้าใส่ร้าย ย่อมต้องรับคำขอโทษของท่านป้าได้เป็นแน่” 

 

 

           องค์ชายเจ็ดก็พูดเสริมว่า “ไทเฮาพูดว่าตระกูลกู้รู้มารยาทกฎเกณฑ์มากที่สุด ทำไมวันนี้ฮูหยินถึงได้ไม่พอใจขนาดนี้เล่า? เมื่อครู่นี้พูดเองมิใช่หรือ ว่าจะขอขมาขอโทษ?” 

 

 

           องค์ชายเจ็ดย่อมไม่กลัวตระกูลกู้ หลี่เย่ไม่เอ่ยชมเขาหักหน้าอีกฝ่ายก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะหาเรื่องเดือดร้อนให้เขาเลย ดังนั้นองค์ชายเจ็ดจึงกำเริบเสิบสาน ไม่มีท่าทีขลาดกลัวแม้แต่น้อย 

 

 

           หลิ่วฮูหยินโมโหจนกัดฟันแน่น ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพียงไม่นาน บรรยากาศนั้นก็ตึงเครียดเป็นอย่างมาก 

 

 

           ตอนที่ประหม่าอยู่นั้น ด้านนอกก็มีคนรายงานว่า “อันหย่วนโหวมาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการพบท่านอ๋องเจ้าค่ะ!” 

 

 

           อันหย่วนโหวกู้อวี่จื๋อ ซึ่งก็คือสามีของหลิ่วฮูหยิน บิดาแท้ๆ ของกู้ซี ในเวลานี้กู้อวี่จื๋อมาหาถึงเรือน จุดประสงค์นั้นเห็นได้ชัดเจนอย่างไม่มีที่เปรียบ 

 

 

           ถาวจวินหลันคาดคิดในใจ ไม่รู้ว่าที่กู้อวี่จื๋อมานั้น แท้จริงแล้วเพราะจะมาช่วยสนับสนุนภรรยาของตนเอง หรือว่ามาเพื่อเก็บกวาดสถานการณ์วุ่นวาย 

 

 

           องค์ชายเจ็ดมองไปทางหลี่เย่ทีหนึ่ง ตื่นเต้นมากกว่าเดิม คิดว่า คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูเสียแล้ว  

 

 

           ท่าทีของหลี่เย่ยังคงอ่อนโยนเรียบนิ่ง มองไปแล้วดูอบอุ่นอยู่เล็กน้อย “รีบไปเชิญเข้ามา” 

 

 

           หลิ่วฮูหยินถอนหายใจ รู้สึกว่าที่สามีของตนมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้ตน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหลี่เย่ไม่ไว้หน้าท่านป้าคนนี้ยังพอได้ แต่กู้อวี่จื๋อมาด้วยตนเอง หลี่เย่คงไม่อาจต้อนให้นางเอ่ยขอโทษได้อีก 

 

 

           เพียงไม่นานกู้อวี่จื๋อก็ถูกพาเข้ามา ดูจากเหงื่อที่ไหลท่วมตัวของเขาก็ดูได้ไม่ยาก ว่าเขาจะต้องเร่งร้อนมาตลอดทางอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็เดินมาอย่างเร่งรีบ 

 

 

           กู้อวี่จื๋อเข้าประตูมาก็ทำความเคารพหลี่เย่และองค์ชายเจ็ด 

 

 

           หลี่เย่ยิ้มยื่นมือไปประคองกู้อวี่จื๋อเอาไว้ ไม่ได้ปล่อยให้กู้อวี่จื๋อทำความเคารพตน 

 

 

           ถาวจวินหลันกลับใช้โอกาสนี้มองกู้อวี่จื๋อ รู้สึกว่ากู้อวี่จื๋อมีหน้าตาคล้ายกับหลี่เย่มาก ล้วนพูดกันว่าหลานเหมือนลุง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก แม้จะบอกว่าไม่ได้เหมือนกันโดยสมบูรณ์ แต่หว่างคิ้ว หางตานั้นก็ละม้ายคล้ายคลึง แค่มองก็รู้ว่าจะต้องเป็นญาติกัน 

 

 

           แต่ร่างกายของกู้อวี่จื๋อดูเหมือนไม่ค่อยดีนัก ดูแล้วซูบผอมอ่อนแรง ผมก็กลายเป็นสีขาวล้วน แต่หลังกลับยืดตรงเป็นอย่างมาก ทำให้คนต้องประเมินเขาสูงอย่างไม่มีเหตุผล 

 

 

           ความประทับใจที่ถาวจวินหลันมีต่อกู้อวี่จื๋อนั้นไม่เหมือนกับหลิ่วฮูหยิน แม้กระทั่งเคารพอยู่หลายส่วน แม้แต่หลี่เย่ แม้จะบอกว่าไม่ได้เห็นชัด แต่ก็เคารพกู้อวี่จื๋อมาก 

 

 

           ถาวจวินหลันถอนหายใจ ในใจนั้นเริ่มลังเล หรือว่าตนเองจะต้องถอยหลังมาก้าวหนึ่ง? แต่เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา นางก็เอ่ยปฏิเสธกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว อาจถอยได้ นางเคยถอยให้มาหลายครั้งแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป นางก็คงทำได้แค่ถอยหลังไปทีละก้าวแล้ว เพื่ออนาคตนางจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ 

 

 

           เมื่อมั่นใจแล้วถาวจวินหลันก็ยืดหลังตรง ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการทำความเคารพกู้อวี่จื๋อ “ท่านลุง” 

 

 

           กู้อวี่จื๋อหันไปมองถาวจวินหลัน สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าข้างที่บวมแดงของนางแล้วจึงพูดว่า “นี่คงจะเป็นชายารองถาวใช่หรือไม่? ดีมากจริงๆ” 

 

 

           กู้อวี่จื๋อชมถาวจวินหลันเช่นนี้ ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจเล็กน้อย แม้แต่หลิ่วฮูหยินก็มองสามีของตนเองอย่างแปลกใจปนมึนงงเล็กน้อย 

 

 

           หลี่เย่มองกู้อวี่จื๋อ ยิ้มน้อยๆ พลางพูดอย่างอบอุ่นว่า “ถาวซื่อสมกับคำชมของท่านลุงจริงๆ ถ้าไม่มีนาง จวนตวนชินอ๋องของข้าคงเละเทะไปนานแล้ว” 

 

 

           หลี่เย่ไม่ถ่อมตัว รีบรับคำชมทันทีเช่นนี้ ก็ให้กู้อวี่จื๋อไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หัวเราะฮ่าๆ แล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “ฮูหยินของข้าคงไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนให้จวนอ๋องใช่หรือไม่?” 

 

 

           คำถามนี้ของกู้อวี่จื๋อน่าตกใจนัก ทำให้คนไม่อาจตอบได้โดยง่าย เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจ 

 

 

           ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่ อยากรู้ว่าหลี่เย่จะตอบคำถามของกู้อวี่จื๋ออย่างไร ตามความคิดของกู้อวี่จื๋อ หลี่เย่ควรจะพูดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

 

 

           แต่หลี่เย่กลับแย้มยิ้ม ถามกู้อวี่จื๋อกลับว่า “ท่านลุงคิดว่าอย่างไรเล่า? ข้าคิดว่าท่านลุงรีบร้อนมาที่นี่ก็น่าจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” 

 

 

           กู้อวี่จื๋อสะอึกไป รักษารอยยิ้มบนใบหน้านั้นไม่ได้อีกต่อไป สุดท้ายแล้วเขาก็เบนหน้าถลึงตามองหลิ่วฮูหยิน ยิ้มไปทางหลี่เย่อย่างจนปัญญา น้ำเสียงอ่อนลง “เจ้าเองก็รู้นิสัยของท่านป้าเจ้า หากนางทำอะไร เจ้าก็เห็นแก่หน้าข้าอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเลย” 

 

 

           กู้อวี่จื๋อพูดเช่นนี้แล้ว หลี่เย่ย่อมต้องไว้หน้าเขาอยู่แล้ว 

 

 

           ถาวจวินหลันหลุบตาลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตัดสินใจชิงพูดขึ้นก่อน มิเช่นนั้น หากหลี่เย่ตอบตกลงรับคำกู้อวี่จื๋อ นางก็ไม่อาจเปิดปากพูดได้อีกต่อไป อีกทั้งต่อให้หลี่เย่ไม่ยินยอมรับคำ ก็เพียงแค่ลำบากใจทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ดังนั้นไม่สู้นางเปิดปากพูดออกไปก่อน 

 

 

           แต่ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือหลี่เย่ตอบไปอย่างรวดเร็ว ไม่นิ่งลังเลเลยแม้แต่น้อย แย่งนางพูดออกไปก่อน “คำพูดของท่านลุงช่างน่าขันยิ่งนัก หากเป็นเรื่องทั่วไปก็ไม่เป็นอะไร ท่านป้าจะปฏิบัติกับข้าอย่างไรก็ได้ แต่นางทำเช่นนี้ข้าจะตอบรับคำขอของท่านได้อย่างไรเล่า? ชายารองของข้าคนนี้จะมีอะไรไม่ดี แต่ก็มีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ไม่มีทางยอมรับการดูถูกได้แม้แต่น้อย อีกทั้งลูกหญิงชายของข้าก็ไม่อาจยืนมองแม่ของตนถูกสบประมาทได้ อีกอย่างท่านป้าก็ให้คำสัญญาเอง ตอนนี้หากไม่ทำจริง ก็ดูจะไม่รักษาวาจาสัตย์” 

 

 

           คำพูดของหลี่เย่ไม่แข็งและไม่อ่อนเกินไป แต่กลับดังก้องทรงอำนาจ ไม่ถือว่าเป็นการตอกหน้ากู้อวี่จื๋อ แต่ก็ยืนหยัดปฏิเสธคำขอของกู้อวี่จื๋อ 

 

 

           ตราบจนผ่านไปครู่หนึ่งหลี่เย่ถึงพูดช้าๆ ว่า “วันนี้ท่านป้าพุ่งเข้ามาทำเรื่องวุ่นวาย ทำลายศักดิ์ศรีของข้า หลังจากนี้เป็นต้นไปขอให้ท่านป้าอย่าก้าวเท้ามาที่จวนนี้อีก”