บทที่ 508 เคารพ

บัลลังก์พญาหงส์

สิ้นเสียง ก็ให้ทุกคนตื่นตะลึง แล้วมองไปทางหลี่เย่เป็นตาเดียว แต่ท่าทีของหลี่เย่ยังคงเรียบนิ่ง ดูเหมือนไม่ได้รู้เลยว่าตนเองพูดอะไรกันแน่ 

 

 

           สุดท้ายแล้วกู้อวี่จื๋อก็ตั้งสติได้ก่อน หัวเราะขมขื่นแล้วส่ายหน้า แต่ไม่ได้พูดตำหนิหลี่เย่ และยิ่งไม่เหลืออะไรให้พูดได้อีก เพียงแค่มองไปทางหลิ่วฮูหยิน “ฮูหยิน ในเมื่อเจ้าพูดว่าจะขอโทษชายารองถาว ตระกูลกู้ของข้านั้นพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้าเองก็ทำเสียเถิด” 

 

 

           หลิ่วฮูหยินกะพริบตาด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ ความจริงแล้วนางเพิ่งจะได้สติจากคำพูดของหลี่เย่ หลี่เย่เป็นเช่นนั้น และกู้อวี่จื๋อก็ยังพูดตรงๆ แบบนี้อีก หลิ่วฮูหยินก็รับไม่ได้ 

 

 

           จากท่าทีจริงจังของกู้อวี่จื๋อ หลิ่วฮูหยินย่อมเข้าใจมากกว่าใคร ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเหลือแล้ว 

 

 

           สุดท้ายแล้วหลิ่วฮูหยินก็ทำได้แค่กล้ำกลืนความโมโห พึมพำขอโทษโดยไม่มองถาวจวินหลันแม้แต่น้อย “เป็นข้าที่ใส่ร้ายเจ้า ต้องขอโทษแล้ว” 

 

 

           ถ้าจะบอกว่าพูดขอโทษ ไม่สู้บอกว่าพูดพอเป็นพิธี 

 

 

           แต่ถาวจวินหลันรู้ดี ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว หากยังยืนหยันยึดมั่นต่อไป เกรงว่าคงจะทำร้ายหน้าตาของทุกคนเท่านั้น ดังนั้นแม้จะบอกว่าประนีประนอมให้ แต่ก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์ นางเองก็พึงพอใจแล้ว 

 

 

           แต่นางก็ยังแอบสงสัย “ไม่รู้ว่าท่านป้าไปฟังใครพูดมา บอกได้หรือไม่? แม้นวันนี้ท่านป้าจะตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่คิดว่าคงไม่ใช่ความตั้งใจแรก น่าจะถูกใครยุยงมา ไม่สู้บอกชื่อคนผู้นั้น จะได้ระบายความโกรธนี้ออกมานะเจ้าคะ” 

 

 

           นางเชื่อว่าข่าวลือต้องมีมูล มิเช่นนั้นเรื่องราวผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมวันนี้หลิ่วฮูหยินถึงได้รื้อเรื่องเก่ากลับขึ้นมาใหม่? หากสืบหาหลักฐานอะไรพบ ก็คงจะไม่อะไร แต่เห็นได้ชัดว่าหลิ่วฮูหยินไม่มีหลักฐานอะไร ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้เดียวคือถูกคนยุยงมาเท่านั้น 

 

 

           นางอยากสืบสาวหาคนผู้นั้น มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าหลังจากยุยงหลิ่วฮูหยินได้แล้ว วันอื่นก็ไม่รู้ว่าจะไปยุยงใครอีก? นางไม่อาจตกอยู่ในสภาวะถูกกดได้อีกต่อไป และยิ่งไม่อาจไปอธิบายชี้แจงให้ละเอียดหลังจากเกิดเรื่องทีละครั้งได้ 

 

 

           หลิ่วฮูหยินนิ่งไป ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า เชิดหน้ายืดคอพูดว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าก็เพียงสงสัยเท่านั้นเอง” 

 

 

           ในเมื่อหลิ่วฮูหยินพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจถามได้อีก ดังนั้นจึงทำได้แค่ยุติหัวข้อนี้ไป อีกทั้งดูจากท่าทีของหลิ่วฮูหยิน เกรงว่าต่อจากนี้ไปหลิ่วฮูหยินก็คงไม่มีทางบอกนางแน่นอน 

 

 

           หลิ่วฮูหยินเป็นเช่นนี้ กู้อวี่จื๋อก็หัวเราะขมขื่นอีกครั้ง รู้สึกว่าทิ้งคนนี้ไปไม่ได้ และไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงหันไปขอตัวกับหลี่เย่ “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปก่อน” 

 

 

           หลี่เย่ย่อมไม่รั้งเอาไว้ หัวเราะและพูดว่า “วันอื่นข้าจะไปดื่มชาพูดคุยกับท่านลุงตามลำพังขอรับ” 

 

 

           กู้อวี่จื๋อนิ่งไป รอยยิ้มขมขื่นชัดมากขึ้นกว่าเดิม  แต่ก็ต้องรับคำ เขาย่อมต้องเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน หลี่เย่พูดว่าตามลำพัง ถือเป็นการเตือนเขาว่าต่อจากนี้ไปไม่อยากเห็นหน้าหลิ่วซื่ออีก และในขณะเดียวกันก็บอกเขาว่าการกระทำทั้งหมดของหลิ่วซื่อในวันนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา หลี่เย่ยังคงยอมรับลุงคนนี้ 

 

 

           จบแบบนี้ถือว่าดีที่สุดแล้ว กู้อวี่จื๋อรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่อาจร้องขออะไรได้อีก ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมาก ขอแค่หลี่เย่ไม่เบื่อหน่ายละทิ้งตระกูลกู้ก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนหลิ่วซื่อนั้น อย่างไรก็เป็นนายหญิงของตระกูลกู้ คงไปทำอะไรไม่ได้ เพียงแค่เสียศักดิ์ศรีไปเท่านั้นเอง 

 

 

           หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ส่งท่านลุงแล้ว” 

 

 

           ถาวจวินหลันก็ค้อมตัวลง “ท่านลุง ท่าป้าเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ” ไม่ว่าจะไม่ชอบหลิ่วฮูหยินอย่างไร แต่ก็ต้องมีมารยาท เช่นนั้นต่อให้มีเหตุผล ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล 

 

 

           ที่ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจก็คือกู้อวี่จื๋อหยุดฝีเท้าลง ก้มหน้าน้อยๆ ให้นาง ทั้งยังพูดอย่างจริงใจ “ฮูหยินทำผิดต่อชายารองถาว ได้โปรดอภัยให้นางด้วย อย่าได้เก็บไปใส่ใจ บ้านตระกูลกู้ของพวกเราทำผิดต่อท่านแล้ว” 

 

 

           ถาวจวินหลันตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ทำความเคารพกลับไป “ท่านลุงพูดเช่นนี้ ตัวข้าเองก็โล่งใจแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

           ขณะเดียวกัน นางก็เริ่มเลื่อมใสกู้อวี่จื๋อ นางเข้าใจแล้ว่า ทำไมหลี่เย่ถึงได้เคารพเลื่อมใสกู้อวี่จื๋อเสมอมา แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล เพียงการรู้จักปล่อยวางเมื่อจำเป็น ก็น่าเคารพมากแล้ว น่าเสียดายที่มีภรรยาเช่นหลิ่วฮูหยิน มีแต่ดึงให้กู้อวี่จื๋อตกต่ำลงเท่านั้น 

 

 

           เกรงว่าสาเหตุที่หลายปีมานี้ตระกูลกู้เงียบเหงา นอกจากเหลือเพียงแค่ชื่อไม่มีอำนาจอะไรแล้ว ก็ยังเป็นเพราะหลิ่วฮูหยินด้วย นิสัยท่าทีเช่นนี้ไม่รู้ว่าทำผิดกับคนมากมายเพียงใดแล้ว? 

 

 

           หลิ่วฮูหยินไม่ได้เข้าใจกฎของหญิงสูงส่งจริงๆ คำว่า ‘สูงส่ง’ ไม่ได้มีความหมายแค่สูงส่งล้ำค่าเท่านั้น แต่ยังมีความหมายว่าคุณสมบัติสูงส่ง ไม่ให้คนไม่ดูถูกดูหมิ่นได้  

 

 

           หลิ่วฮูหยินคิดว่าตัวเองนั้นสูงส่ง จึงได้หยิ่งทะนง และยิ่งคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง แต่กลับผิดมหันต์ 

 

 

           พอส่งคู่สามีภรรยากู้อวี่จื๋อไปแล้ว หลี่เย่ก็พาองค์ชายเจ็ดออกไป ถาวจวินหลันกลับมองไปที่เจียงอวี้เหลียน ยิ้มบางๆ ทว่าท่าทีกลับเย็นชา “ชายารองเจียง วันนี้เจ้ามาได้เวลาเหมาะเจาะนัก” 

 

 

           ท่าทีของเจียงอวี้เหลียนไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับก้าวเท้าออกไปข้างนอก “เพียงบังเอิญผ่านมาเท่านั้นเอง” 

 

 

           “ข้าไม่เห็นรู้ว่าชายารองเจียงรู้จักพูดดีขนาดนี้” ถาวจวินหลันพูดต่อ แล้วขวางทางเดินของเจียงอวี้เหลียนเอาไว้ พลางพูดแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย “ชายารองเจียงดูว่างเกินไปเสียแล้ว” 

 

 

           “เจ้าต้องการอะไรกันแน่?” เจียงอวี้เหลียนขมวดคิ้วตะโกนถาม น้ำเสียงทรงอำนาจยิ่ง 

 

 

           “หากชายารองเจียงว่างมากนัก ไม่สู้ไปคิดให้ดีว่าจะสอนเซิ่นเอ๋อร์อย่างไรดีกว่า อีกอย่างควรหยิบหนังสือมาอ่านได้แล้ว อะไรเรียกว่าร่วมมือสู้กับคนข้างนอก ไม่ใช่หาเรื่องจากในบ้าน! หากต่อจากนี้ไปเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ข้าคิดว่าท่านอ๋องคงจะไม่พอใจเป็นแน่ เซิ่นเอ๋อร์ก็คงจะเรียนความคารมคมคาย และมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมาจากชายารองเจียง มิสู้ให้คนอื่นเลี้ยงเขาจะดีกว่า” ถาวจวินหลันพูดเนิบช้า น้ำเสียงไม่ได้สูงนัก แต่กลับแฝงความทรงอำนาจและน่าเกรงขาม 

 

 

           ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนเคร่งขรึมลงทันที ถามด้วยความโมโหว่า “เจ้ากล้าใช้เซิ่นเอ๋อร์มาข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?!” 

 

 

           ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างมีเมตตา “ใช้ ข้ากล้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ลองดู ว่าสุดท้ายแล้วข้าเพียงแค่ขมขู่เจ้าหรือไม่” 

 

 

           เจียงอวี้เหลียนโกรธจนตัวสั่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เจ้าบังอาจ! เจ้าเป็นเพียงชายารองเท่านั้น จะมีอำนาจเช่นนี้ได้อย่างไร! เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายของข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำตัวสูงส่งชี้นิ้วสั่งการได้!” 

 

 

           ท่าทีของถาวจวินหลันไม่เปลี่ยนแปลง มองไปในดวงตาของเจียงอวี้เหลียนนิ่ง พูดช้าๆ ชัดเจน และไม่ขลาดกลัวว่า “เจ้าก็ลองดูว่าข้ามีสิทธิ์นั้นหรือไม่! เจ้าเป็นมารดาของเขาไม่ผิด แต่เด็กที่ไม่ได้เลี้ยงดูข้างกายมารดาแท้ๆ ก็มีเยอะแยะไป!” 

 

 

           คนดีมักถูกรังแก ม้าดีมักถูกควบขี่ คำเตือนและสิ่งตอบแทนที่นางเคยให้กับเจียงอวี้เหลียนก่อนหน้านี้เบาเกินไป ถึงทำให้โรคเก่าเจียงอวี้เหลียนกำเริบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นครั้งนี้นางจึงไม่ทำเช่นนี้อีก เปลี่ยนวิธีถึงทำให้เจียงอวี้เหลียนจดจำครั้งนี้อย่างแม่นยำ และยังตักเตือนเจียงอวี้เหลียนได้ว่าอย่าทำผิดอีก! 

 

 

           บางทีอาจด้วยนางเป็นคนที่พูดง่าย และใจอ่อนหลายส่วน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางเป็นลูกพลับอ่อน! 

 

 

           เมื่อเห็นเจียงอวี้เหลียนถลึงตามอง ถาวจวินหลันก็เดินออกไปอย่างเชื่องช้า ไม่สนใจเจียงอวี้เหลียนที่โกรธนางจนกัดฟันแน่น และเหมือนจะกลืนกินนางเข้าไป 

 

 

           แม้จะบอกว่าเจียงอวี้เหลียนไม่เคยทำเรื่องอันตรายมาก่อน แต่ถึงแมลงไม่ได้ทำให้คนตาย แต่ก็ทำให้คนรังเกียจ เจียงอวี้เหลียนเป็นคนเช่นนั้น แม้จะบอกว่าไม่ได้คุกคาม แต่ก็น่าโมโหหงุดหงิด 

 

 

           ก่อนหน้านี้ไม่เคยเก็บมาคิด แต่วันนี้เจียงอวี้เหลียนล้ำเส้นนางมาแล้ว นางย่อมไม่อาจทนได้อีกต่อไป และไม่ให้โอกาสเจียงอวี้เหลียนทำตามใจชอบได้อีก 

 

 

           ส่วนเซิ่นเอ๋อร์นั้น แน่นอนว่านางไม่ได้ล้อเล่น ถ้าเทียบกับให้เจียงอวี้เหลียนเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ นางกลับยินยอมให้คนอื่นเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์มากกว่า ลูกที่เจียงอวี้เหลียนเลี้ยงเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าให้คนอื่นเลี้ยงดู อย่างน้อยนางก็รับประกันได้ ว่าเด็กจะไม่ถูกใส่ความคิดแย่งชิงชื่อเสียงผลประโยชน์และโหดเ**้ยมเจ้าแผนการ 

 

 

          แน่นอนว่านางเองก็เป็นแม่คน นางย่อมรู้ถึงความเจ็บปวดนั้นได้ชัดเจน ดังนั้นนางถึงได้ทนไม่ได้ แต่หากเจียงอวี้เหลียนกล้าหาเรื่องนางอีกครั้ง นางก็ไม่เกรงใจหากต้องกลายเป็นคนใจร้ายสักครั้ง 

 

 

           แต่นางคิดว่าเจียงอวี้เหลียนไม่น่าจะออกมาทำเรื่องอะไรอีก เพราะนางรู้ดีว่าเซิ่นเอ๋อร์สำคัญกับเจียงอวี้เหลียน เซิ่นเอ๋อร์เป็นจุดอ่อนของเจียงอวี้เหลียน นางแทงดาบหนึ่งลงบนจุดอ่อนของเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ เจียงอวี้เหลียนจะไม่ได้รับบทเรียนได้อย่างไร? 

 

 

           จัดการกับเจียงอวี้เหลียนแล้ว ถาวจวินหลันก็ผ่อนคลายไปเล็กน้อย อีกทั้งกลับห้องแล้วไม่มีคนอื่นอยู่ หลังที่ยืดตรงของนางก็ผ่อนคลายลง แม้ว่ายืดหลังตรงจะทรงอำนาจและง่างาม แต่ก็เมื่อยมาก 

 

 

           พอได้ผ่อนคลายเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดูดเรี่ยวแรงทั้งร่างไป รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งกาย 

 

 

           นางเอนตัวลงบนเตียง แล้วส่งเสียงเรียกชุนฮุ่ยอย่างอ่อนแรง “ไปเอาน้ำมาถาดหนึ่งเช็ดหน้าเช็ดตาให้ข้า จากนั้นก็ใส่ยาเสียหน่อย ค่อยเรียกให้ปี้เจียวกับหงหลัวเข้ามา” 

 

 

           เพียงไม่นาน ชุนฮุ่ยก็ยกถาดน้ำมาเช็ดหน้าให้ถาวจวินหลัน จากนั้นปี้เจียวกับหงหลัวก็เข้ามา 

 

 

           ด้วยปี้เจียวฝีมือดี ถาวจวินหลันจึงให้ปี้เจียวแกะผม และนวดศีรษะกดจุดให้ตนเอง เพราะตอนนี้นางเริ่มรู้สึกปวดหัวแล้ว 

 

 

           พอผ่อนคลายไปหลายส่วน ถาวจวินหลันถึงได้สั่งหงหลัวว่า “ไป ให้คนส่งจดหมายให้จิ้งผิง ให้เขาช่วยข้าสืบหน่อยว่าวันนี้มีใครไปที่จวนอันหย่วนโหวบ้าง และอันหย่วนโหวฮูหยินได้พบหน้าใครบ้าง หากสืบไม่ได้ ก็ให้เขาสังเกตว่าต่อจากนี้อันหย่วนโหวฮูหยินจะเรียกพบใครก็ยังดี” 

 

 

           วันนี้นางจงใจถามว่าใครเป็นคนยุยง นางไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบ แต่นางอยากให้หลิ่วฮูหยินคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อคิดได้จะได้ไปหาตัวการยุแยงเพื่อเรียกคิดบัญชี แล้วนางก็จะได้ใช้โอกาสนี้ดูว่าแท้จริงแล้วเป็นใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ 

 

 

           แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ใช่คนที่กลับกลอกไปมา แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมารังแกได้ตามใจชอบ! กล้ามาลงมือบนหัวนาง ก็ต้องเตรียมถูกแก้แค้นไว้ถึงจะถูก! 

 

 

           ดวงตาของหงหลัวเป็นประกาย รับคำเสียงต่ำ จากนั้นก็พูดว่า “วันนี้เจ้านายสามท่านที่ออกไปข้างนอก นอกจากท่าทีของชายารองเจียงที่นับว่าดีแล้ว อีกสองคนกลับรับไม่ไหวเจ้าค่ะ ควรต้องเชิญหมอมาเปิดยาแก้ตระหนกให้สักสองชั่งหรือไม่เจ้าคะ?”