DND.837 – บดขยี้ขั้นสุด
หลายคนทิ้งระยะห่างเมื่อซือหยูกับเฉาฉิงเฟิงมองหน้ากันพวกเขาทิ้งระยะอย่างระมัดระวังเพื่อให้ทั้งสองมีพื้นที่มากพอที่จะต่อสู้ เหล่าผู้คนเริ่มพูดคุยกัน
“ศิษย์พี่ลู่ไม่ลองเดาดูรึว่าซือหยูเซี่ยนจะรับเฉาฉิงเฟิงได้สักกี่กระบวนท่า?”
ศิษย์พี่ลู่จ้องซือหยูไม่วางตาจึงไม่ได้ตอบนางเขากำลังเหม่อลอย
เมื่อเห็นว่าไร้คำตอบศิษย์น้องเหือจึงถามด้วยเสียงดังกว่าเดิม
“หรือว่าศิษย์พี่คิดว่าคนผู้นั้นจะมีโอกาสชนะ?”
ศิษย์พี่ลู่เงียบไปนานก่อนจะมองไปที่เจ้าตำหนักนอกและส่ายหน้าช้าๆ
“เขาดูไม่มีโอกาสชนะความแตกต่างในด้านพลังนั้นมากเกินไป”
เขาพูดต่อ
“แต่ข้าก็ยังสงสัย…ทำไมเจ้าตำหนักถึงจัดการประลองนี้?มันไม่ควรจะประลองได้เพราะซือหยูเซี่ยนจะแพ้ในสิบกระบวนท่าแน่นอน”
ศิษย์น้องเหือตอบกลับหลังจากคิดเรื่องบางอย่าง
“อาจจะเพราะเจ้าตำหนักอยากหาทางออกให้เฉาฉิงเฟิงอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์นอกลำดับสิบ คงน่าเสียหายถ้าต้องฆ่าทิ้งเสีย เจ้าตำหนักเลยให้เขาต้องมาประลองกับคนที่อ่อนแออย่างซือหยูเซี่ยน”
ศิษย์พี่ลู่พยักหน้า
“อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า”
เล่าอ๋ายกับเว่ยเจิงให้ความสนใจกับการต่อสู้นี้เช่นกันโดยเฉพาะเล่าอ๋าย เพราะถ้าหากซือหยูแสดงพลังที่ยอดเยี่ยมออกมา ข่าวเรื่องที่เขาเสมอกับเจี๋ยนอู๋เชิงจะเป็นที่ยืนยัน และมันจะต้องรู้ไปถึงเจ้าตำหนักขวาแน่นอน
นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะให้เกิดขึ้นเพราะถ้าเจ้าตำหนักขวารู้ว่าเขาทำให้อัจฉริยะผู้นี้โกรธซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้ซือหยูตกไปอยู่กับฝ่ายสำนักซ้าย เขาจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก!
ส่วนเว่ยเจิงนั้นต่างออกไปเพราะเขายังคงไม่เชื่อว่าซือหยูมีพลังพอที่จะต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงได้ เพราะเจี๋ยนอู๋เชิงนั้นเป็นตำนานที่หลายคนในตำหนักโลหิตไล่ตาม แม้แต่เจ้าตำหนักในอดีตก็มิอาจเทียบนางได้
และเมื่อดูจากการทดสอบสองครั้งก่อนเขาคิดว่าซือหยูมีพลังชีวิตเทียบเท่าภูติระดับห้าและพลังกายของภูติระดับหก ดังนั้นมันก็น่าจะห่างไกลที่เขาจะมีคุณสมบัติ
“เอาเถอะไม่ว่าเจ้าจะสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงได้หรือไม่ ข้าก็ต้องให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้ามีคุณสมบัติมากพอแล้วที่จะเข้าสำนักซ้าย”
เว่ยเจิงลงความเห็นในขณะนี้ของตัวเอง
เจ้าตำหนักซ้ายขวาก็มาชมการประลองครั้งนี้ด้วยทั้งคู่มองเจ้าตำหนักนอกอย่างมีเลศนัย ท้ายสุดเจ้าตำหนักนอกก็ผ่อนปรนให้โอกาสเฉาฉิงเฟิง
ตราบเท่าที่เขาเอาชนะซือหยูเขาจะได้ออกจากตำหนักโลหิตแบบยังมีชีวิต เพราะอย่างไรเจ้าตำหนักนอกก็เป็นผู้ที่ชื่นชมคนมีพรสวรรค์
จ้าวหอเพลิงคลั่งมองเจ้าตำหนักนางเข้าใจความตั้งใจของเขาอย่างชัดเจน เพราะนางก็ไม่มีหวังกับการต่อสู้ของซือหยูในครั้งนี้ เพราะทั้งสองมีความแตกต่างระหว่างพลังมากเกินไป
แต่แม้ซือหยูจะแพ้นางก็ยังมีหวังกับเขาในอนาคต เพราะการทดสอบทั้งสองได้พิสูจน์แล้วว่าเขามีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเพียงใด และยังมีความลับของการบ่มเพาะพลังนั้นอีก ถ้าเขาฝึกฝนมาดี เขาก็จะเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งตำหนักนอกในภายภาคหน้า
จ้าวหอเพลิงคลั่งใจเย็นลงก่อนจะประกาศเริ่มการต่อสู้
“การประลองจะเริ่มแล้วพวกเจ้าต้องประลองกับคนที่พวกเจ้าเลือก”
ผู้คนจำนวนมากเลือกที่ว่างและเตรียมจะเริ่มต่อสู้ขณะที่ซือหยูกับเฉาฉิงเฟิงนั้นมองหน้ากันจากที่ไกลๆพวกเขาปล่อยพลังของตัวเองออกมา ใบหน้าเฉาฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความชิงชัง
“อนาคตอันสดใสของข้ากลับถูกทำลายด้วยมือเจ้า!รู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดเจ้าแค่ไหน?”
ในฐานะของศิษย์นอกลำดับสิบเขาสามารถเป็นจ้าวเทวะและได้บ่มเพาะในตำหนักใน แต่หลังจากซือหยูเข้ามา เขาก็สูญเสียทุกอย่าง บอกได้เลยว่าซือหยูเป็นผู้พรากอนาคตไปจากเขา
“หึหึใครกันเล่าที่ใช้เฉาหลี่พยายามฆ่าข้าด้วยระเบิด? แล้ว…ใครเล่าส่งศิษย์ในสองคนไปสังหารข้าที่เขาวิญญาณจรัส? ใครกันใช้ชางก่วนหยุนซื่อ จงใจสมคบคิดกับเล่าอ๋ายสังหารข้า? ไม่ใช่เจ้ารึที่เป็นคนทำเรื่องเลวร้าย?”
“ข้าก็แค่เอาคืนสิ่งที่เจ้าทำแต่เจ้ากลับชิงชังข้าเสียนี่? แล้วข้าถูกเจ้าลอบกัดหลายต่อหลายครั้ง! ข้ามิควรจะชิงชังเจ้าถึงแกนกระดูกเรอะ?”
ซือหยูพูดเหน็บแนม
เฉาฉิงเฟิงทำได้แค่โทษตัวเองเท่านั้นถึงซือหยูจะมีเรื่องกับตะรกูลเฉา เขาก็มิได้ใจแคบจนถึงกับจัดการคนตระกูลเฉาทั้งหมดในตำหนักนอก!
แต่เฉาฉิงเฟิงกลับพยายามจัดการเขาหลายต่อหลายครั้งและไม่คิดจะเลิกราตอนนี้เขามิอาจโทษซือหยูได้แล้ว
“ข้าเคยทำอะไรเจ้ารึ?ไม่เลย! แต่เจ้ากลับหาทางทำลายข้า…”
เฉาฉิงเฟิงตะโกน
ซือหยูมองอย่างเหยียดหยาม
“น่าขันนัก!”
เฉาฉิงเฟิงสีหน้าเยือกเย็น
“เจ้าหุบปากซะข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยหมัดเดียวเพื่อแสดงความนับถือต่อน้ำใจของเจ้าตำหนัก!”
ทุกคนทั้งหมดบอกได้ว่าเจ้าตำหนักนั้นเสียดายเขา
“น้ำใจเรอะ?หึหึ เจ้าหลงผิดไปแล้ว! ใยไม่ถามข้าก่อนเล่า?”
ซือหยูตั้งใจแล้วว่าจะเอาคืนทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้!
เฉาฉิงเฟิงไม่พูดอะไรอีกเขาเปล่งเสียงในจมูกเบาๆก่อนจะกำหมัดขวาเริ่งความเร็วเข้าใส่ซือหยู หมัดของเขามีพลังแปดในสิบของร่างกาย เป็นไปไม่ได้ที่ร่างซือหยูจะรับไหว
แต่ซือหยูกลับใจเย็นหนักแน่นและเขาไม่แม้แต่จะถอยกลับท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนรอบข้าง เขายังก้าวไปข้างหน้าและกำหมัดขวาปะทะกับเฉาฉิงเฟิง!
“เขาอยากตายเรอะ?ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดก็ทำอะไรเฉาฉิงเฟิงไม่ได้หรอก!”
มีคนตะโกนขึ้นผู้คนงุนงงกับการตอบสนองแปลกๆจากซือหยู
“เจ้าโง่นั่น!เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นไม่ใช่รึ? เขาคิดจริงๆรึว่าเฉาฉิงเฟิงไม่กล้าทำร้ายเขาเพราะกลัวเจ้าตำหนักน่ะ?”
เว่ยเจิงเลิกคิ้วเมื่อเริ่มคิดอีกครั้งว่าควรจะให้โอกาสซือหยูเข้าสำนักซ้ายดีหรือไม่
แม้แต่เฉาฉิงเฟิงก็ตกใจก่อนจะเข้าใจความตั้งใจของซือหยู
“ข้าไม่ได้คิดจะตั้งใจทำให้เจ้าบาดเจ็บหนักแต่ถ้าหากเจ้ารนหาที่ตาย เจ้าตำหนักก็โทษข้าไม่ได้!”
หมัดของเฉาฉิงเฟิงพุ่งตรงเข้าไประเบิดหมัดขวาของซือหยูเขาคิดว่าหมัดของซือหยูจะถูกบดขยี้โดยพลังที่ถาโถมเข้าไปและทำให้ซือหยูบาดเจ็บสาหัส
แต่เมื่อปะทะกันความตกใจก็ได้ปรากฏบนใบหน้าเฉาฉิงเฟิงเพราะเขามิอาจทำให้ซือหยูกระเด็นกลับไปได้ พลังจากหมัดซือหยูกลับเข้าบดขยี้หมัดของเขา
เฉาฉิงเฟิงเข้าใจทุกอย่างในทันทีเขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าซ่อนพลังเอาไว้!”
เมื่อมองซือหยูอรกครั้งเขาพบว่าแขนของซือหยูมีสายพลังสีทองอยู่ด้วย นั่นคือพลังกายามังกรที่ซือหยูซ่อนเอาไว้!
พลังที่ปะทุออกมาในพริบตานั้นทำให้เฉาฉิงเฟิงไม่ทันระวังและไม่ได้รวบรวมพลังมากขึ้นเขากระเด็นไปไกล ความเจ็บปวดรุนแรงกำลังรุมเร้ากระดูกของเขา
เหล่าผู้คนแตกตื่น…
“เป็นไปไม่ได้!เขายังซ่อนพลังเอาไว้อีกเรอะ?”
หลายคนส่งเสียงโวยวายพวกเขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดซือหยูจึงมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าที่เห็น
เว่ยเจิงอ้าปากค้างเขาคิดว่าซือหยูเป็นแค่คนโง่ แต่กลับกลายเป็นว่าซือหยูซ่อนพลังเอาไว้! แม้แต่สามเจ้าตำหนักก็ไม่คาดคิด!
“เขามีวิชาปรับร่างกายซ่อนเอาไว้รึ?อย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นวิชาระดับตำนานชั้นต้น”
เจ้าตำหนักพูดเบาๆ
รองเจ้าตำหนักทั้งสองเหลือบมองกันและเห็นความตกตะลึงในแววตาของกันและกันพลังของซือหยูตระการตาจนเกินไป มันก้าวข้ามเหนือกว่าการทดสอบที่เขาผ่านมาอย่างมาก
ณลานประลอง
ซือหยูลดหมัดขวาลงและถาม
“นี่รึที่เจ้าพูดว่าจะเอาชนะข้าในกระบวนท่าเดียว?”
เฉาฉิงเฟิงโกรธจัดเขาคิดว่าพลังแปดในสิบก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะซือหยู เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะซุกซ่อนพลังเอาไว้! ด้วยเหตุนี้เขาเลยแพ้ในการเผชิญหน้า!
“ดีใจอะไรของเจ้า?การต่อสู้จริงยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ!”
เฉาฉิงเฟิงตะโกน
แกร๊ง!
เสียงดังมาจากกระบี่ดำในมือเฉาฉิงเฟิงกระบี่ปล่อยพลังภูติผีที่ทำให้ขนลุกออกมา กระบี่นี้ขยับเล็กน้อยแทบจะเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีชีวิต!
“กระบี่ห้าผีต้องได้ดื่มเลือดหลังชักออกจากฝักจงยอมแพ้เสีย ถ้าต่อสู้ขึ้น ข้าก็อาจจะควบคุมมันไม่ได้แล้ว…”
เฉาฉิงเฟิงกล่าวมองกระบี่และสัมผัสได้ถึงแรงกดดันวิญญาณมหาศาลมันคือสมบัติวิญญาณระดับต่ำ แต่มันก็มีคุณภาพดีและมีพลังไม่ด้อยไปกว่าสมบัติวิญญาณระดับกลาง
“เฉาฉิงเฟิงจะใช้พลังทั้งหมดแล้วเขาถึงกับใช้กระบี่ห้าผี กระบี่นี้เอาชนะได้แม้แต่คนที่เป็นภูติระดับเก้า! เพราะกระบี่มันชั่วร้ายมาก!”
มีคนตะโกนขึ้นมา
“ข้าก็เคยได้ยินเรื่องกระบี่เล่มนั้นมันเคยเป็นของภูติผีตนหนึ่ง มันทำจากกระดูกสัตว์อสูรจ้าวเทวะ หากออกจากฝักเมื่อไหร่ แม้แต่ผู้ถือครองก็ควบคุมมันไม่ได้ทั้งหมด!”
ศิษย์พี่ลู่กับศิษย์น้องเหือนั้นมองการต่อสู้อย่างไม่ละสายตาศิษย์น้องเหือกล่าว
“วันนี้จะได้รู้สักทีว่าซือหยูเซี่ยนสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงได้หรือไม่…ถ้าเขาเผชิญหน้ากระบี่เล่มนั้นได้!”
หลายคนเงยหน้ามองกระบี่คนที่ต่อสู้กันในลานประลองหยุดการต่อสู้เพื่อชมการประลองของพวกซือหยู เพราะชะตาของเฉาฉิงเฟิงขึ้นอยู่กับกระบี่เล่มนี้!
“ใช้พลังทั้งหมดของเจ้าซะเจ้าจะได้ตายอย่างสงบ”
เฉาฉิงเฟิงส่ายหน้าเบาๆและพูดด้วยความสงสาร
“ความโง่เขลาของเจ้าน่ากลัวนักแต่ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัวหลั่งเลือดให้ความโง่เขลาของเจ้าซะเถอะ!”
ฟึ่บ!
เฉาฉิงเฟิงแกว่งกระบี่พลังกระบี่แล่นผ่านเกือบครึ่งลานประลอง มันคมกริบจนทำให้มิติสั่นสะเทือน
แต่ซือหยูยังยืนอยู่กับที่ไร้การเคลื่อนไหวเมื่อพลังกระบี่เข้าใกล้ แสงสีดำได้ปะทุจากทั้งร่างของซือหยู ชุดเกราะที่ดูไม่งามตาปรากฏปกป้องกายเอาไว้ และซือหยูยังใช้พลังชีวิตอันแข็งแกร่งลงบนชุดเกราะ ม่านแสงสีดำได้ปรากฏออกมาด้วย
เมื่อพลังกระบี่มาถึงม่านเกราะมันเจาะผ่านมาได้เล็กน้อยเท่านั้นแต่เกราะก็ไม่เป็นไร ไม่นานพลังกระบี่ก็อ่อนแอลง มันถูกม่านเกราะสะท้อนกลับ
ซือหยูป้องกันการโจมตีอย่างง่ายดายเขาไม่แม้แต่สวนกลับ ในอดีต เกราะราชาศิลานิรันดร์นั้นเป็นสมบัติวิญญาณระดับสูง แต่ตอนนี้มันเสียหายอย่างหนัก มันจึงนับว่าเป็นสมบัติกึ่งวิญญาณ
ในอดีตเขาต้องใช้แก้วพลังชีวิตในการใช้ม่านเกราะ แต่ตอนนี้พลังชีวิตของซือหยูเองมีอยู่มากมายแล้ว มันเหนือกว่าพลังชีวิตจากแก้วพลังด้วยซ้ำ ดังนั้นพลังป้องกันจึงเหนือกว่าแต่ก่อน
“สมบัติวิเศษแบบเกราะของเผ่าภูติผีรึ?”
หนึ่งในเหล่าสามเจ้าตำหนักพูดอย่างแปลกใจ
เจ้าตำหนักทั้งสามมีใบหน้าสับสนพวกเขาไม่คิดเลยว่าซือหยูจะมีสมบัติเกราะที่แข็งแกร่งเช่นนี้ด้วย และมันดูหมือนจะมีระดับสูงทีเดียว!
“เขากันกระบี่ได้!”
มีคนส่งแตกออกมาด้วยความตกใจ
ทุกคนเห็นชัดว่าเฉาฉิงเฟิงไม่ได้ออมมือเลยแต่เขาก็ทำอะไรซือหยูไม่ได้! เล่าอ๋ายกำหมัดแน่นด้วยจิตสังหาร เขาจะต้องไม่ให้เจ้าตำหนักขวารู้เรื่องซือหยูกับเขา
ศิษย์น้องเหือตกตะลึง
“สมบัตินั่นมันอะไรกัน!ข้าเริ่มคิดแล้วว่าเขาต่อสู้กับเจี๋ยนอู๋เชิงได้จริงๆ!”
ศิษย์พี่ลู่ถอนหายใจเบาๆ
“ถ้าเช่นนั้นเราก็กลับไปรายงานได้แล้วไม่ใช่รึ?เจ้าเด็กนี่จะต้องต่อสู้เสมอกับเจี๋ยนอู๋เชิงมาจริงๆ”
ศิษย์น้องเหือตาเป็นประกายโดยไม่คาดคิด
“จะรีบร้อนไปทำไม?เราไม่ดูก่อนรึว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นใด?”
ตั้งแต่เดิมนางมองซือหยูด้วยความเหยียดหยาม แต่ตอนนี้นางกลับคาดหวังกับบทสรุปของการต่อสู้นี้
ศิษย์พี่ลู่ถามด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์น้องเหือเจ้าคิดว่าเขาเอาชนะได้งั้นรึ?”
นางมองซือหยูและนิ่งเงียบโดยไม่ตอบกลับ
ณลานประลอง
“ขออภัยจริงๆแต่เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่มีสมบัติดีๆนะ!”
ซือหยูยิ้มขณะที่พูด
เฉาฉิงเฟิงเบิกตากว้าง
“นั่นมันสมบัติวิญญาณระดับสูงที่เสียหาย!เจ้ามีมันได้ยังไง?”
เขามิอาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดภูติระดับสามถึงมีสมบัติวิเศษเช่นนั้น
“คิดว่าข้าจะบอกเจ้ารึ?”
ซือหยูถามกลับ
เฉาฉิงเฟิงสีหน้าดำมืด
“มาลองดูอีกครั้งเถอะ”
ในที่สุดเฉาฉิงเฟิงก็เริ่มจริงจังเมื่อสังเกตซือหยูให้ดี เขาพบว่ามีรูหนึ่งตรงท้องที่เกราะราชาศิลานิรันดร์ นั่นหมายความว่ามันคือจุดอ่อน! เฉาฉิงเฟิงตาลุกวาว เขาถือกระบี่ยาวและเสือกกระบี่เข้าไปในรูนั้น!
ซือหยูถอนหายใจจุดอ่อนของเกราะราชาศิลานิรันดร์นั้นถูกภูติมองออกได้ง่ายๆ และมันคงจะเป็นจุดอ่อนร้ายแรงหากต้องเจอกับจ้าวเทวะ ซือหยูต้องคิดหาทางซ่อมเกราะโดยเร็ว
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว!ซือหยูเรียกกระบี่ทองมาหนึ่งเล่ม เขาใช้มันป้อนกันคมกระบี่จากอีกฝ่าทันเวลา!
แกร๊ง!
เสียงโลหะกระทบดังลั่นกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์นั้นเป็นสมบัติกึ่งวิญญาณ ซือหยูไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว
“แข็งนัก!กระบี่เจ้าไม่มีรอยบิ่นเลย!”
เฉาฉิงเฟิงตกใจเพราะสมบัติของเขามัดจะไม่เจอสมบัติกึ่งวิญญาณที่มิอาจทำลายได้
ซือหยูมือชาเล็กน้อยแม้เขาจะป้องกันพลังกระบี่จากอีกฝ่ายได้ มือของเขาก็เจ็บปวดเล็กน้อยจากพลังของเฉาฉิงเฟิง
“ก็ดีก็ดี…เจ้ามีสมบัติมากมายนัก! แต่ถ้าเจ้าคิดว่ากระบี่ห้าผีของข้ามีพลังเพียงแค่นั้น เจ้าก็คิดผิดแล้ว”
ความตกใจหายไปจากใบหน้าเฉาฉิงเฟิงเขาแสยะยิ้มราวกับคนที่เพิ่งจะทำแผนชั่วสำเร็จ
หลายคนถอนหายใจเบาๆเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
“ซือหยูเซี่ยนถูกหลอกแล้วการต่อสู้จบลงแล้วล่ะ”
เว่ยเจิงรู้สึกสบายใจขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุเขาพูดอย่างใจเย็๋น
“มันจบแล้ว”
รองเจ้าตำหนักทั้งสองพยักหน้าเบาๆ
“ถึงเวลาจบลงแล้วสินะซือหยูเซี่ยนน่าประทับใจยิ่งนักที่ต่อสู้มาถึงตอนนี้ได้”
ซือหยูตกใจเขารู้สึกถึงอันตราย
ฟึ่บ!
เสียงบางอย่างที่คมกริบเฉือนผ่านอากาศลั่นกระบี่ดำในมือเฉาฉิงเฟิงกลายเป็นเข็มนับไม่ถ้วนเล่ม เข็มเหล่านั้นรวบรวมพลังก่อร่างเป็นอาวุธที่เต็มไปด้วยหนาม มันคล้ายแส้แต่ก็มิได้ยาวเท่ากับแส้
ยิ่งไปกว่านั้นอาวุธหนามนี้ยังดูมีชีวิตในตัวของมันเอง หลักจากถูกกระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ป้องกัน มันก็ม้วนตัวหลบพุ่งเข้าใส่รูบนเกราะราชาศิลานิรันดร์
จากนั้นมันก็ได้แทงซือหยู!ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนไม่รู้ตัว!
“สุดท้ายข้าก็เป็นคนที่จะชนะ!”
เฉาฉิงเฟิงยิ้มอย่างชั่วร้าย
ผลของการประลองถูกตัดสินในทันทีแต่ความตกตะลึงก็ปรากฏบนใบหน้าเฉาฉิงเฟิงอีกครั้ง เพราะมิเพียงซือหยูจะไม่ตกใจ เขายังยิ้มเยาะออกมา
“แล้วทำไมข้าถึงคิดว่าเป็นข้าที่จะชนะเล่า?”
อะไรนะ?เฉาฉิงเฟิงหัวใจแทบหยุดเต้น เขารู้สึกว่าเรื่องร้ายๆกำลังจะมาถึง…
DND.838 – ทดสอบใจกระจ่าง
เฉาฉิงเฟิงรีบตอบสนองเขาขยับไหล่โดยไม่ต้องคิด แต่แม้กระนั้น เขาฉิงเฟิงก็ยังคิดว่าเขาตกอยู่ในอันตราย เขารีบหันกลับไปมองและเห็นว่ามีกระบี่ทองแบบเดียวกันเข้าใกล้หัวใจของเขา!
ในตอนนั้นเขารู้ตัวทันทีว่าหัวใจของเขาจะถูกแทงทะลุก่อนที่หนามของเขาจะได้แทงซือหยู! เขาร้องตะโกน
“คุณสมบัติมิติ!”
เฉาฉิงเฟิงดวงตาสั่นระริกกระบี่ของอีกฝ่ายมีพลังมิติ นั่นเป็นเหตุที่มันสามารถเข้ามาจากด้านหลังโดยที่เขาไม่รู้ตัว!
เมื่อเฉาฉิงเฟิงกำลังจะตายแส้หนามมือของเขาเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้ง มันกลายเป็นหนามจำนวนมากที่หนาจนเป็นเกราะป้องกันแผ่นหลัง
แกร๊ง!
เสียงเบาๆดังเมื่อกระบี่ทองถูกสะท้อนกลับไปมันเข้าตั้งหลักก่อนจะพุ่งไปที่ใกล้แขนขวาเฉาฉิงเฟิงโดยทิ้งรอยเลือดเอาไว้
เหล่าผู้คนอ้าปากค้างสถานการณ์ของทั้งสองพลิกผันในไม่กี่วินาที ทั้งสองเจอสิ่งที่เป็นภัยถึงตายแต่ก็รอดชีวิตกลับมาได้ ทุกคนใจเต้นแรงเมื่อมองดูการประลองนี้
ฟึ่บ!
ซือหยูดีดนิ้วกระบี่ทองทั้งสองเล่มบินกลับมายังฝ่ามือ เขามองเกราะที่แผ่นหลังเฉาฉิงเฟิงด้วยความตกใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นของประหลาดเช่นนี้ซือหยูสัมผัสได้แล้วว่ามันมีสิ่งใดที่แปลก กระบี่นี้มีวิญญาณ นั่นหมายความว่ากระบี่คืออวัยวะ! ซือหยูไม่แปลกใจเลยที่มันสามารถเปลี่ยนเป็นหนามได้ แต่เขาไม่คิดว่ามันจะใช้เป็นเกราะได้ด้วย!
ส่วนเฉาฉิงเฟิงที่เกือบเอาตัวไม่รอดนั้นหวาดกลัวมากกระบี่เมื่อครู่อันตรายเกินไป! เขาคิดว่าจะเอาชนะซือหยูได้ง่ายๆหากใช้กระบี่ห้าผี แต่ไม่นึกเลยว่าซือหยูจะมีสมบัติกึ่งวิญญาณอยู่หลายชิ้น!
เฉาฉิงเฟิงกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงผู้ชมที่แตกตื่น
เมื่อครู่ก่อนยังพูดได้ว่าเขามิได้จบการต่อสู้โดยเร็วเพราะประมาท
แต่ในตอนนี้เขาถึงกับใช้กระบี่ผ้าผีแต่ก็ยังเอาชนะซือหยูไม่ได้! นี่เป็นเหตุที่เขามิอาจใจเย็นได้อีกแล้ว
ในทีแรกเขามั่นใจว่าจะกำชัยชนะมาได้โดยง่าย แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เขาตระหนักแล้วว่าเขาดูถูกซือหยูเกินไป ในตอนนี้ หากเขาใช้ทุกสิ่งที่มี เขาก็อาจจะพ่ายแพ้ให้กับซือหยู!
เมื่อเขาแพ้เจ้าตำหนักจะทำตามข้อตกลงนั่นก็คือการเอาชีวิตเขา เมื่อคิดถึงผลที่ตามมา อารมณ์ของเฉาฉิงเฟิงก็หม่นหมอง ความสบายใจในอดีตกลับมลายหายสิ้น
“เห็นทีข้าจะต้องใชัวิชาสุดยอด…”
เฉาฉิงเฟิงกล่าวอยากลึกล้ำ
กระบี่ห้าผีในมือเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันมิได้เป็นหนามหรือกระบี่ มันกลายเป็นก้อนกลมขนาดเท่ากำปั้น ผู้คนที่คุ้นเคยกับกระบี่ห้าผีชักสีหน้า
“ลักษณ์สุดท้ายของกระบี่ห้าผีเฉาฉิงเฟิงจนมุมแล้ว เขาไม่มีทางเลือก”
“ซือหยูเซี่ยนอาจจะเป็นอันตรายคนที่เป็นภูติระดับเก้ายังรับพลังของกระบี่ห้าผีไม่ได้! ในบรรดาศิษย์นอก คนที่รับพลังมันได้มีแต่สี่อสูรเท่านั้น! คนอื่นๆล้วนตกอยู่ในอันตรายทั้งสิ้น…”
เสียงคนพูดคุยกันดังขึ้น
ขณะที่พวกเรากำลังพูดคุยกันนั้นเฉาฉิงเฟิงก็ได้จู่โจมอย่างรวดเร็วไปแล้ว
“แหหลบไม่พ้น!”
เขาตะโกนและอัดพลังชีวิตลงในก้อนกลมทมิฬจนแน่น
เขาขว้างมันใส่ซือหยูเมื่อก้อนทมิฬอยู่ห่างจากซือหยูร้อยศอก พลังชีวิตที่อัดแน่นภายในก็ระเบิดออกมา
แรงระเบิดมหาศาลทำให้ก้อนทมิฬกลายเป็นหนามน่าเกลียดพันชิ้นหากมองจากระยะไกลจะเห็นว่ามันเป็นราวกับฝูงผึ้งที่โกรธเกรี้ยวเมื่อรังถูกจู่โจม!
พริบตาเดียวหนามทมิฬโอบล้อมนภา ความเร็วของหนามเหล่านั้นน่าตกตะลึงเพราะแรงระเบิด ดังนั้นจึงไม่มีทางหลบได้ เกราะราชาศิลานิรันดร์ของซือหยูเองก็มิอาจป้องกันการโจมตีนี้ได้แน่
ทุกคนมั่นใจแล้วพวกเขาคิดว่าจะได้ยินเสียงการขอยอมแพ้จากซือหยู แต่เสียงที่พวกเขาหวังนั้นไม่ดังออกมา ภาพซือหยูผู้ใจเย็นกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ซือหยูถอนหายใจและเรียกกระบี่ทองสองเล่มกลับคืนเขาเลิกใช้อาวุธของเขาในเวลาสำคัญ!
“เขาคิดจะยอมแพ้ง่ายๆเช่นนี้เลยรึ?”
ผู้คนแปลกใจกับท่าทีแปลกๆของซือหยู
บางคนถอนหายใจ
“ยอดเยี่ยมพออยู่แล้วที่เขาบังคับให้เฉาฉิงเฟิงที่เป็นภูติระดับแปดใช้ลักษณ์สุดท้ายของกระบี่ห้าผีออกมาได้ต่อให้เขายอมแพ้ในวันนี้ เขาก็ยังสามารถภูมิใจกับมันได้”
สายตาหลายคู่ทั้งยอมรับและโศกเศร้าพวกเขามองซือหยูแต่ซือหยูยังคงไม่ออกจากลานประลอง เขาเผชิญหน้ากับหนามนับไม่ถ้วนที่เต็มท้องฟ้า
“เดี๋ยวสิ!เขาไม่คิดจะยอมแพ้ มีใครสัมผัสพลังวิญญาณรอบๆที่เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?”
คนที่มีสัมผัสเฉียบคมพูดขึ้นมา
“หา?จริงด้วย พลังวิญญาณที่นี่หลุดการควบคุม มันกำลังพุ่งตรงไปที่ซือหยูเซี่ยน…”
“พวกเจ้าสัมผัสได้อยู่แล้ว!ไม่ใช่แค่พลังวิญญาณที่ไหลไปหาเขา แต่อากาศเองก็ไหลไปหาเขาด้วย…”
อีกคนตะโกนขึ้นมา
ผู้คนอุทานด้วยความตกใจอากาศในระยะหนึ่งลี้รอบตัวซือหยูไหลเข้าหาเขา พื้นที่โดยรอบกลายเป็นสุญญากาศ
เหล่าอากาศที่อัดแน่นรอบซือหยูเริ่มร่ายรำรอบตัวเขามันถูกบีบอัดกันไม่หยุดหย่อน มันถูกบีบอัดจนกลายเป็นสีดำเพราะการอัดที่แน่นเกินไป
หากมองซือหยูจากระยะไกลจะเห็นว่าเป็นอาภรณ์ทมิฬนับไม่ถ้วนได้สะบัดรอบกายของเขาภูติหลายคนที่นี่สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวจากอาภรณ์เหล่านั้น
“นั่นมันวิชาอะไร?เหตุใดถึงแข็งแกร่งเช่นนี้?”
มีคนพูดขึ้นมาอีก
เจ้าตำหนักทั้งสามศิษย์พี่ลู่ ศิษย์น้องเหือ เล่าอ๋าย และเว่ยเจิงเบิกตากว้าง และความตกตะลึงยังปรากฏบนใบหน้าอสูรทั้งสี่!
“นี่มันวิชาระดับตำนานชั้นกลางที่บ่มเพาะจนสมบูรณ์แบบ…”
ปิงหวูชิงพูดช้าๆนางอยากจะสู้กับซือหยูใจจะขาด
กงซุนหวูซื่อแสดงใบหน้าซื่อตรงออกมาเป็นครั้งแรกดวงตาราวกับมณีสีม่วงของนางนั้นเปล่งประกายสดใส
“เขาซ่อนวิชาที่ยอดเยี่ยมนี้เอาไว้…พวกเราไม่รู้เลย!”
เทียนเหรินเหยาตาลุกวาวและหน้าแดง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องหยูเซี่ยนน่ะมหัศจรรย์!”
ไป่ชานเหลียงมองซือหยูด้วยความตกใจ
“เขาแข็งแกร่งเท่านี้มาโดยตลอดสินะ!”
แม้พวกเขาจะยอมรับซือยหูแต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับในพลัง พวกเขาคิดว่าซือหยูเทียบได้กับภูติระดับห้าเพียงเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าซือหยูมีพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่าพวกเขาเอง!
พลังทำลายล้างที่ซือหยูปล่อยออกมาทำให้ศิษย์นอกทุกคนตกตะลึงเมื่ออาภรณ์ทมิฬถูกบีบอัดแน่นถึงขีดสุด หนามทมิฬที่เติมเต็มฟ้าก็มาถึงซือหยู
ดวงตาราวดวงดาราของซือหยูเปล่งแสงคมกริบเมื่อเขาชี้เหล่าหนาม อาภรณ์ทั้งหมดก็พุ่งออกไปยังทุกทิศทาง มันดูเหมือนกับคลื่นกระแทกวงกลมที่แผ่เป็นคลื่นในระยะหนึ่งลี้
หนามทั้งหมดถูกคลื่นกระแทกทมิฬเข้าซัดและตกลงกับพื้นราวกับหิ่งห้อยทมิฬที่หมดแรงตายพริบตาเดียว ท้องนภาสดใสไม่เหลือแม้แต่หนามเดียว พวกมันตกลงสู่พื้นจนหมด
เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาดังลั่นและค่อยๆจางหายไปแม้แต่วิญญาณในกระบี่ห้าผีก็ถูกดับลงไปเพราะคลื่นกระแทกนี้!
แต่คลื่นกระแทกทมิฬยังไม่หยุดมันพุ่งต่อไปจนถึงเฉาฉิงเฟิง! เฉาฉิงเฟิงที่ไร้อาวุธนั้นปราศจากเครื่องป้องกัน ต่อให้ใช้พลังชีวิตมาปกป้องร่างกายอย่างรวดเร็วเท่าไหร่ เขาก็มิอาจป้องกันคลื่นกระแทกได้ทันเวลา
ปั้ง!
พลังชีวิตที่ปกป้องร่างกายเขาถูกดับไปเสียงครวญครางดังออกมาจากเขา เฉาฉิงเฟิงกระเด็นออกไปจากระยะหนึ่งลี้พร้อมกับกระอักเลือด
คลื่นกระแทกยังคงไม่จากไปไหนมันยังคงเคลื่อนไปไกลกว่าจะเริ่มสลาย แต่ผู้คนตกตะลึงยิ่งกว่าเคยตกตะลึง!
ซือหยูเป็นฝ่ายชนะ!ไม่มีใครใจเย็นลงได้เลย!
ซือหยูเซี่ยนคือยอดฝีมือที่พวกเขาไม่เคยรู้ตัว!อสูรเรือนกลางยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้!
เว่ยเจิงกำหมัดแน่นจนที่วางแขนบนเก้าอี้แหลกละเอียดเขาเบิกตากว้างจนตาดำเล็กเท่ารูเข็ม
“ไม่คิดเลยว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้!”
เขาตกใจมากเขาคิดว่าเขาจะได้เอาใจเสวี่ยเหลียนโดยการเชิญซือหยูเข้าสำนักซ้าย เพียงเพื่อจากนั้นเขาจะได้รู้ว่ายอดฝีมือที่เสวี่ยเหลียนแนะนำนั้นแข็งแกร่งเพียงใด!
เขาเป็นแค่ภูติระดับสามแต่เขากลับแสดงพลังของภูติระดับเก้าออกมา สิ่งนี้ไม่มีใครทำได้แม้จะเป็นในตำหนักใน
เขาทำได้แต่ยอมรับว่าการตัดสินผู้คนที่ดีที่เขาภูมิใจอยู่เสมอนั้นทำให้เขาผิดหวังเขาลงเอยโดยการปฏิเสธคนที่เป็นอัจฉริยะระดับปีศาจ! ถ้าหากเจ้าตำหนักซ้ายรู้ว่ายอดฝีมือผู้นี้หลุดมือไป เขาจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน
เว่ยเจิงตัดสินใจในทันทีเมื่อมองซือหยูว่าเขาจะต้องไปพูดคุยกับซือหยูอีกครั้งและเวลาเดียวกัน รองเจ้าตำหนักทั้งสองที่ตกใจมากก็มิอาจเชื่อว่าซือหยูจะเอาชนะได้!
ทั้งคู่หันไปมองเจ้าตำหนักเพราะการประลองนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อหาทางออกให้กับเฉาฉิงเฟิง แต่ผลที่ได้กลับเหนือกว่าที่เขาคาดคิด!
พวกเขาได้แต่เป็นห่วงซือหยูพวกเขาคิดด้วยความกลัวว่าเจ้าตำหนักจะพุ่งไปหาซือหยูด้วยความโกรธหรือไม่?
แต่พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเจ้าตำหนักยิ้ม
“ไม่เลว!”
พวกเขาแปลกใจที่ได้ยินเจ้าตำหนักชมซือหยู!เจ้าตำหนักดูแลตำหนักนอกมามากกว่าร้อยปีแต่ก็ไม่เคยชื่นชมผู้ใด ซือหยูคือคนเดียวที่จะถูกเขาชมในชาตินี้!
คนสุดท้ายที่เจ้าตำหนักชื่นชมคือบุตรสาวของเจี๋ยนอู๋เชิงนางคือศิษย์ในปิงหวูชิง มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างปิงหวูชิงที่เป็นอสูรตำหนักนอก แต่ทั้งสองคือคนละคนกัน
ปิงหวูชิงผู้เป็นบุตรีแห่งเจี๋ยนอู๋เชิงนั้นเป็นที่รู้จักกับทุกคนในดินแดนพรสวรรค์ด้วยเหตุที่นางเป็นบุตรสาวของราชินีเขตกระบี่ไร้ใจเจี๋ยนอู๋เชิง
มีข่าวลือเรื่องพลังของนางแต่ข่าวนั้นก็มีมาตั้งแต่ครึ่งปีก่อน นางเคยต่อสู้กับลู่จือยี่เมื่อออกจากกระโจมเทพสวรรค์ ลู่จือยี่นั้นเป็นสตรีที่แข็งแกร่งและมากพรสวรรค์ในดินแดนพรสวรรค์อยู่แล้ว
ไม่มีใครรู้ผลของการต่อสู้แต่จากนั้นก็มีข่าวมาจากตำหนักเมฆาม่วงว่าลู่จือยี่ไปยังดินแดนลับของตำหนักเมฆาม่วงเพื่อเข้ารับการทดสอบจากเพลิงที่อันตรายถึงตาย ส่วนปิงหวูชิงเองก็กลับมายังตำหนักโลหิตและบ่มเพาะพลังอย่างเคย
ดังนั้นผลของการต่อสู้จึงสามารถเดาได้จากความแตกต่างจากสิ่งที่ทั้งสองต้องเจอหลังการต่อสู้และพลังของนางควรจะถึงยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนพรสวรรค์อย่างกู้ไทซู! ในร้อยปีที่ผ่านมา เจ้าตำหนักเคยกล่าวชมปิงหวูชิงผู้นี้เพียงเท่านั้นและไม่สนใจใครอื่นเลย
แต่มันมีข้อยกเว้นในวันนี้เพราะเจ้าตำหนักชื่นชมซือหยูจริงๆ!
เฉาฉิงเฟิงที่กระเด็นไปนอกลานประลองมีโลหิตอยู่เต็มปากเขาสั่นไปทั้งตัวและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้!หากไม่มีอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่หรือไม่มีวิชามาอย่างน้อยยี่สิบปีก็บ่มเพาะวิชาระดับตำนานจนสมบูรณ์แบบได้ถึงขั้นนี้!”
ในบรรดาเหล่าอัจฉริยะที่มีระดับปัญญาสูงมีไม่กี่คนที่บ่มเพาะวิชาระดับตำนานชั้นกลางจนสมบูรณ์แบบได้ในระยะเวลาเพียงสิบปี และคนเหล่านี้ส่วนมากมักมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ขณะที่ซือหยูเพิ่งจะเข้าตำหนัก!
เฉาฉิงเฟิงสงสัย…เขาจะไปเอาคำชี้แนะจากอาจารย์มาจากไหน?
“ข้าไม่ยอมหรอก!ซือหยูเซี่ยนอายุยี่สิบปีจริงหรือ? ท่านเจ้าตำหนักโปรดมอบความยุติธรรมให้ข้าด้วย!”
เฉาฉิงเฟิงยังไม่ยอมเลิกรา
เมื่อมองความจริงหลายคนก็เคลือบแคลงสงสัยในอายุที่แท้จริงของซือหยู …ชายแก่ที่ดูเหมือนไม่ได้มาจากจิวโจวผู้นี้เป็นหนุ่มสาวมีพรสวรรค์เหมือนกับพวกเราจริงหรือ?
เพราะซือหยูได้ชิงความสนใจจากทุกคนไปหลายคนจึงริษยาเขา
“ข้าขอให้ตำหนักนอกใช้คันฉ่องใจกระจ่างตรวจสอบอายุจริงของซือหยูเซี่ยนถ้าเขายืนหน้าคันฉ่องใจกระจ่าง มันจะแสดงอายุจริงและรูปลักษณ์ที่ตรงกับอายุจริงของเขา”
เฉาฉิงเฟิงรู้ว่าซือหยูมิอาจหลอกคนอื่นเพื่อเข้าตำหนักนอกมาได้โดยใช้เรื่องอายุเป็นตัวการแต่เขากำลังจะถ่วงเวลาด้วยลูกไม้นี้
เมื่อได้ฟังเฉาฉิงเฟิงหลายคนจึงหันไปมองเจ้าตำหนัก
ทุกคนอยากจะพิสูจน์เช่นกันเพราะถ้าหากซือหยูเป็นหนุ่มสาวอย่างพวกเขาจริง พวกเขาก็จะรับได้ แต่ถ้าหากเขาเป็นแค่ชายแก่ มันก็ไม่แปลกที่เขาจะมีวิชาที่แข็งแกร่งเช่นนั้น
ซือหยูตกตะลึงเขาเพิ่งตระหนักว่าสถานการณ์มาไกลเกินกว่าที่เขาจะแก้ไข…ตำหนักนอกจะเผยรูปลักษณ์จริงที่ตรงข้ามอายุข้ารึ? ไม่ดีแน่!
หลายวันก่อนซือหยูเผยตัวตนในเขาวิญญาณจรัส และถ้าเขาต้องผ่านคันฉ่องใจกระจ่างจริงๆ ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะถูกเปิดเผย! สมาชิกระดับสูงทุกคนในตำหนักโลหิตจะรู้ว่าซือหยูคือยอดฝีมือที่สังหารจักรพรรดิโลหิต ซึ่งการเผยตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นไม่ต่างกับโทษประหาร!
“ย่อมได้ข้าอนุญาต คันฉ่องใจกระจ่างสามารถยืนยันอายุและแสดงภาพที่เชื่อมโยงกันได้”
เจ้าตำหนักพยักหน้าช้าๆ
เมื่อได้ฟังคำตอบซือหยูใจหาย ขณะที่ความยินดีปรากฏบนใบหน้าเฉาฉิงเฟิง
แต่เจ้าตำหนักก็เปลี่ยนน้ำเสียงในทันที
“แต่เราต้องจัดการตามข้อตกลงก่อนที่จะยืนยันอายุของเขา”
เมื่อได้ฟังทุกคนตกตะลึง…เจ้าตำหนักจะประหารเฉาฉิงเฟิงจริงๆงั้นรึ?
เฉาฉิงเฟิงหน้าซีดราวกับกระดาษเขาสั่นไปทั้งตัว เขามองรอบๆและเห็นเล่าอ๋ายพอดี เล่าอ๋ายคือฟางเส้นสุดท้ายของเขา
“ศิษย์พี่เล่าช่วยข้าด้วย…”
เฉาฉิงเฟิงผู้หวาดกลัววิ่งไปทางเล่าอ๋าย
เล่าอ๋ายขนลุกไปทั้งตัวเขาไม่กล้าจะเปิดเผยว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับเฉาฉิงเฟิง เขาจึงสะบัดชายเสื้อเรียกสายลมรุนแรงพัดส่งเฉาฉิงเฟิงกลับไปยังลานประลอง
เขาพูดอย่างเย็นชา
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไรเจ้าทำผิดใหญ่หลวงเองและยังเอาชนะซือหยูเซี่ยนไม่ได้ เจ้าต้องยอมรับการลงโทษของท่านเจ้าตำหนัก ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร? เจ้าปลูกสิ่งใดก็ย่อมได้ผลสิ่งนั้น”
เฉาฉิงเฟิงสั่นไปทั้งใจเขาถูกทุกคนทอดทิ้ง! ทั้งหมดเกิดขึ้นก็เพราะความผิดพลาดเดียวจนทำให้ซือหยูสวนกลับจนเขากำลังจะตาย
ความโกรธแค้นเอ่อล้นในใจที่เต็มไปด้วยความเศร้าความจนตรอกทำให้ความกล้าทะยานสูงเมื่อมองซือหยูอย่างดุร้าย
“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
ต่อหน้าความเกรี้ยวกราดซือหยูเพียงยืนมือไพล่หลังด้วยใบหน้าสงบสุข ทันทีที่เฉาฉิงเฟิงก้าวได้หนึ่งก้าว ลำแสงสีน้ำเงินก็ได้ทะลวงอกของเขาไป เฉาฉิงเฟิงเห็นว่ามันเป็นขนนกสีน้ำเงินที่ทะลวงอกของเขา และขนนกนั้นก็บินกลับไปยังมือของเจ้าตำหนัก!
“ถ้าเจ้ารู้ว่าเจ้าจะต้องตายเช่นวันนี้แล้วจะยังทำสิ่งที่เคยทำไปหรือไม่?”
เจ้าตำหนักถามขณะที่เก็บขนนกไปอย่างไม่แยแสเขาไม่เหลือบมองร่างไร้วิญญาณบนพื้นแม้สักครั้ง
ร่างของเฉาฉิงเฟิงนอนจมแอ่งโลหิตศิษย์นอกลำดับสิบแห่งตำหนักโลหิตตายบนลานประลอง ไม่มีใครเห็นใจเลยเพราะเขาเกือบจะทำให้คนบริสุทธิ์อย่างชางก่วนหยุนซื่อเป็นผู้พิการ เขาไม่สมควรตายอย่างสงบด้วยซ้ำ
ขณะนี้ผู้คนเพ่งความสนใจไปที่ซือหยู นามของเขาจะต้องโด่งดังหลังจาก่อสู้นี้ เขามิได้มีแค่ฉายาอสูรเรือนกลางให้ผู้คนจดจำอีกแล้ว แต่ข่าวเรื่อวพลังอันน่ากลัวจะเผยแพร่ไปไกลอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“อ๊ากกก!ในห้าอสูรไม่มีคนอ่อนแอเลยสินะ!”
ศิษย์คนหนึ่งที่เคยคิดอยากจะประลองกับซือหยูได้แต่ถอนหายใจ
เว่ยเจิงมองซือหยูด้วยดวงตาเป็นประกายอัจฉริยะเช่นนี้จะปรากฏตัวสักครั้งในรอบร้อยปีเท่านั้น เขาจะต้องพาซือหยูเข้าสู่สำนักซ้ายให้ได้! เมื่อเว่ยเจิงมองเสวี่ยเหลียนที่อยู่ถัดจากซือหยูก็พบว่านางมีดวงตาแบบเดียวกับเขา
จากนั้นการทดสอบด้วยการประลองจึงจบลงพลังของศิษย์แต่ละคนถูกบันทึกเอาไว้ บันทึกเหล่านี้จะใช้อ้างอิงในการทดสอบฤดูถัดไปเพื่อยืนยันว่าผู้ทดสอบเติบโตมากเพียงใดแล้ว
เจ้าตำหนักกับรองเจ้าตำหนักทั้งสองยืนขึ้นพวกเขากำลังจะเดินจากไป แต่ก่อนจะไป เจ้าตำหนักก็หันมามองผู้คนและหยุดตรงซือหยู
“แม้เฉาฉิงเฟิงจะตายไปแล้วสิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล เจ้าไปทดสอบคันฉ่องใจกระจ่างกับข้า จากนี้ไป เหล่าศิษย์นอกจะยอมรับเจ้าหมดหัวใจ”
ซือหยูใจหายเขาลังเลอย่างมาก เขาคิดว่ากำลังพบกับอันตรายใหญ่หลวง
ถ้าเขายอมรับการทดสอบเขาจะถูกเปิดโปง…ข้าควรจะยอมทดสอบหรือใช้วายุมิติหนีออกจากดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดกัน?