ตอนที่ 839-840

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.839 – วารีผงกลั่นดวงใจ
  ในที่สุดซือหยูก็ได้เข้าสู่ตำหนักโลหิตเพื่อบ่มเพาะพลังได้แต่เขาเริ่มคิดแล้วว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดกำลังจะสูญเปล่า
  เมื่อซือหยูครุ่นคิดอยู่นั้นเองเสียงหนึ่งได้ดังมาจากที่ใดมิอาจทราบได้
  “ข้าใช้คันฉ่องใจกระจ่างแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเจ้าหนูนี่ เขาเสียอายุขัยไปจนรูปลักษณ์เปลี่ยนเท่านั้น เราไม่มีปัญหากับเขา”
  เมื่อได้ยินเสียงความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าทุกคน
  “นั่นเขา!ผู้เฒ่าหลาน!”
  คนที่จำเสียงได้ตะโกนขึ้นมาทันที
  เมื่อได้ยินชื่อความนับถือปรากฏบนใบหน้าศิษย์หลายคนที่รู้จักผู้เฒ่าหลาน ส่วนรองเจ้าตำหนักทั้งสองนั้นตกใจไม่แพ้กัน ทั้งคู่เงียบกริบ
  เจ้าตำหนักมองไปยังทิศทางของตำหนักนอกเขาประสานมือและโค้งคำนับ
  “ท่านผู้เฒ่าเราจะทำตามความปรารถนาท่าน”
  ซือหยูนึกถึงคำพูดของจื่อเสวียนนางบอกว่ามีอสูรเนรมิตรลึกลับคนหนึ่งอยู่ในตำหนักนอก…หรือว่าจะเป็นผู้เฒ่าหลาน?
  ผู้เฒ่าหลานพูดเพียงไม่กี่คำและหายไปเจ้าตำหนักยืนขึ้นมองซือหยูหลังจากผ่านไปนาน
  “หากผู้เฒ่าหลานยืนยันด้วยตัวเองแล้วยังจะมีใครสงสัยอีกหรือไม่?”
  ศิษย์นอกเงียบและหลบสายตาเพราะถ้าหากผู้เฒ่าหลานพูดว่าซือหยูไม่มีปัญหา เขาก็น่าจะพูดตวามจริง ไม่มีเหตุต้องกังขาคำพูดของเขา
  เจ้าตำหนักมองสีหน้าของแต่ละคนและสั่งสลายตัว
  “ถ้าเช่นนั้นถือว่าการทดสอบจบแล้ว”
  เมื่อพูดจบเหล่าศิษย์เริ่มแยกย้าย สุดท้ายก็เหลือเพียงไม่กี่คนที่มองดูร่างไร้วิญญาณของเฉาฉิงเฟิง เมื่อซือหยูเดินผ่านศพเฉาฉิงเฟิง เขาได้นำแหวนมิติกับกระบี่ห้าผีกลับมาด้วย
  ภาพนี้ทำให้ศิษย์ที่รอดูอยู่ส่ายหน้าและแยกย้ายพร้อมสาปแช่งในโชคร้ายของตนเพราะพวกเขาก็ต้องการสิ่งที่เฉาฉิงเฟิงมี
  เพราะเฉาฉิงเฟิงนั้นเป็นภูติระดับเก้าเขาจะต้องร่ำรวยอย่างแน่นอน แต่ก็น่าเสียดายที่ทั้งหมดตกเป็นของอสูรเรือนกลางแล้ว และ…หลังจากซือหยูแสดงพลังอันน่ากลัวเมื่อครู่ก่อน จึงไม่มีใครคิดอยากจะต่อสู้แย่งชิงกับเขา!
  …
  หลังจากซือหยูกลับเขาอสูรเขายังอยู่ในเรือนของอสูรน้อย โชคไม่ดีนักที่เขาไม่ได้อะไรกลับมาจากการต่อสู้กับเฉาฉิงเฟิง
  ถึงผู้คนจะรู้ว่าเขามีพลังอันน่ากลัวพวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าที่ซือหยูแสดงออกมานั้นเป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วนของพลังที่มีเท่านั้น มีจ้าวเทวะหลายคนที่ตายด้วยน้ำมือเขา ดังนั้นภูติระดับเก้าธรรมดาๆจึงไม่มีค่าในสายตาซือหยู!
  ขณะนี้ซือหยูกำลังคิดถึงเรื่องผู้เฒ่าหลาน เขาสงสัย…
  เขาใช้คันฉ่องใจกระจ่างจริงหรือพูดไปเพียงเพื่อช่วยข้ากัน?หรือว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ? ผู้เฒ่าหลานจะมีโอกาสได้ใช้คันฉ่องตอนที่ข้าตกอยู่ในอันตรายจริงๆรึ?
  หลังจากคิดเรื่องราวทั้งหมดซือหยูส่ายหน้า เขาไม่ได้สนิทกับผู้เฒ่าหลาน ผู้เฒ่าหลานคงไม่มีเหตุให้ช่วยเขา
  แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่ามีอสูรเนรมิตรอยู่ที่ตำหนักนอกหรือไม่เขาจะต้องระวังตัวให้ดี โดยเฉพาะขณะที่บ่มเพาะพลังและจัดการเรื่องสำคัญเพราะตัวตนของเขาถูกเปิดเผยได้ง่ายๆหากถูกอสูรเนรมิตรมาสังเกตการณ์
  เมื่อการทดสอบประจำฤดูจบลงเขาก็ไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทำในตำหนักอีก ซือหยูตัดสินใจไปที่เมืองเทียนหยาเพื่อที่จะเริ่มเก็บคะแนน
  ตามที่อสูรน้อยบอกแดนมณีมหัศจรรย์เป็นซากอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้จิวโจวสั่นคลอน และมันยังมีโอกาสมากที่จะเปลี่ยนชะตาของผู้คนได้
  ซือหยูย่อมไม่อยากพลาดแต่เขาต้องการคะแนนมหาศาล เพราะการจะไปที่นั่นต้องใช้ถึงสี่แสนคะแนน และเขามีเวลารวบรวมเพียงครึ่งปีเท่านั้น!
  การสะสมคะแนนจำนวนมหาศาลในเวลาครึ่งปีนั้นยากเป็นอย่างมากและด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องไม่พลาดโอกาสที่จะหาคะแนนได้เป็นจำนวนมาก แต่ซือหยูยังต้องเข้าห้องฝึกอีกครั้งก่อนจะไป เพราะที่นั่นคือสถานที่ที่เขาจะได้ดูดซับเส้นขนอสูรและบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอสูรในระดับถัดไป
  เมื่อซือหยูกำลังจะออกเดินทางก็มีเสียงดังมาจากสร้อยหยกที่เอวเมื่อก้มลงมองก็พบว่าสร้อยหยกดำนั้นกำลังสั่นและเปล่งเสียง
  ซือหยูดีใจมาก
  “ในที่สุดเจ้าก็มา!ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”
  สร้อยหยกนี้คือสิ่งแทนการสื่อสารที่ผู้เฒ่าเหลียวแห่งตำหนักชิงวิญญาณให้เขามามันมีส่องส่วน และเมื่อต่างฝ่ายต่างมีหนึ่งส่วน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ไกลเพียงใด พวกเขาก็จะรู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้
  หลังจากผู้เฒ่ารวบรวมวัตถุดิบปรุงวารีผงกลั่นดวงใจจนสำเร็จผู้เฒ่าเหลียวได้เดินทางมายังอาณาเขตของตำหนักนอก ซือหยูรอการมาส่งวัตถุดิบของเขาค่อนข้างนานทีเดียว
  วัตถุดิบเหล่านี้จะใช้ปรุงโอสถชั้นกลางสูตรของมันคือสูตรโบราณและโอสถนั้นจะช่วยเพิ่มฐานพลังของภูติชั้นกลางได้เป็นอย่างดี และมันยังช่วยทำให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นด้วย!
  ขณะนี้ดวงวิญญาณของซือหยูเทียบเท่ากับภูติระดับสี่ และตามเงื่อนไขของเพลงกระบี่เก้าสุริยานั้นเขาจะต้องมีดวงวิญญาณอย่างน้อยในระดับจ้าวเทวะเพื่อที่จะควบคุมกระบี่ทั้งเก้าเล่มได้ นี่เป็นเหตุให้โอสถนี้สำคัญกับซือหยูอย่างมาก
  ซือหยูลุกขึ้นในทันทีและออกจากเขาอสูรเขาออกไปหาผู้เฒ่าเหลียว
  แต่ทันทีที่ออกจากเขาอสูรเขาก็ได้เจอกับกงซุนหวูซื่อ ใบหน้านางที่มักจะยิ้มแย้มนั้นหม่นหมอง นางดูใจสลาย
  “เจ้าเป็นอะไร?”
  ซือหยูถาม
  กงซุนหวูซื่อมองซือหยูและเบ้ปาก
  “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”
  นางเชิดหน้าอย่างหยิ่งยโสและเดินผ่านซือหยูไปซือหยูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น! กงซุนหวูซื่อนั้นอารมณ์รุนแรงยากจะเข้าใจ!
  แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเป็นห่วงนางซือหยูออกจากตำหนักนอกจากตำแหน่งสร้อยหยกไป หลังจากผ่านหนึ่งชั่วยามเขาก็ไปถึงป่าขังภูติ เขาหยุดอยู่ตรงพื้นที่โล่งกว้าง
  เมื่อมองจนทั่วก็ไม่พบผู้เฒ่าเหลียวแสดงว่าผู้เฒ่าเหลียวจะต้องซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง
  แสงสีเงินแล่นผ่านดวงตาสิ่งรอบข้างเผยต่อหน้าเขา ไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่ซ่อนจากเขาได้
  หลังจากมองจนทั่วซือหยูบินไปยังก้อนหินก้อนหนึ่ง
  “ไม่ต้องซ่อนแล้ว!นี่ข้าเอง”
  หินสั่นเล็กน้อยชายแก่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน เขาคือผู้เฒ่าเหลียว!
  ผู้เฒ่าเหลียวโค้งคำนับด้วยความนับถือ
  “นายน้อย”
  เขาตกตะลึงเขาซ่อนตัวในก้อนหินเพื่อที่จะปกป้องตัวเองจากคนตำหนักโลหิต เพราะเขานั้นมาจากตำหนักโลหิต เขาจะถูกสืบสวนแน่นอนหากปรากฏตัวที่นี่
  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือตัวเขาเองที่เชี่ยวชาญการซ่อนตัวและมั่นใจว่าซ่อนตัวได้จากจ้าวเทวะแต่ถึงอย่างนั้นซือหยูก็พบเขาในเวลาไม่นาน!
  “สมกับเป็นผู้ที่ล่าสังหารจักรพรรดิโลหิตได้พลังของนายน้อยน่ากลัวยิ่งนัก”
  ผู้เฒ่าเหลียวพูดขณะที่ใจสั่น
  “เจ้านำวัตถุดิบมาด้วยหรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  ผู้เฒ่าเหลียวหยิบแหวนมิติสีขาวออกมายื่นให้ซือหยูด้วยทั้งสองมือ
  “ข้ารวบรวมทั้งหมดรวมถึงเมล็ดหญ้าใจสลายนายน้อยดูได้เลย”
  ซือหยูโบกมือเรียกแหวนมาที่ฝ่ามือตัวเองเมื่อส่งเสี้ยววิญญาณลงไปดูก็พบว่าทุกอย่างถูกรวบรวมมาแล้ว มีกล่องหยกอยู่เก้ากล่องที่ขนาดเท่าฝ่ามือและเมล็ดสีม่วงเข้มหนึ่งเมล็ด มีเมล็ดอีกหลายร้อยเมล็ดอยู่ข้างในเมล็ดอีกด้วย
  “นายน้อยเมล็ดสีม่วงคือเมล็ดหญ้าใจสลาย มีแค่ยี่สิบสองเมล็ดในตำหนักชิงวิญญาณ ข้าขโมยให้นายน้อยได้แค่สองเมล็ดเพราะตำหนักชิงวิญญาณจะรู้ถ้าข้าเอามามากเกินไป ขออภัยที่หาไม่ได้มากกว่านี้ ข้าเข้าใจหากนายน้อยจะลงโทษ…”
  ผู้เฒ่าเหลียวกลบ่าว
  สองเมล็ดก็เพียงพอสำหรับซือหยูแล้วเขาไม่คิดจะลงโทษ เพราะเมล็ดนี้ยังมีร่องรอยของชีวิตอยู่ นั่นแสดงว่าซือหยูจะปลูกมันได้ เมื่อปลูกมันได้เมื่อใด เขาจะมีเมล็ดมากเท่าใดก็ได้ในอนาคต
  “เจ้าทำดีพอแล้ว…”
  ซือหยูพูดปลอบ
  เขาคิดว่าผู้เฒ่าเหลียวจะใช้เวลานานในการรวบรวมแต่เขายังทำงานเสร็จก่อนที่ซือหยูจะไปเมืองเทียนหยา ดังนั้นจึงนับว่าเขามาในเวลาที่ดีที่สุดแล้ว
  ผู้เฒ่าเหลียวสบายใจขึ้น
  “ขอบคุณนายน้อยที่เข้าใจข้าแล้วข้าก็หาข้อมูลเรื่องหญ้าใจสลายมาแล้ว ข้าพบว่ามันมีพิษร้ายแรงมาก ถ้าจ้าวเทวะเผลอกินเข้าไปก็อาจจะตายได้! และถ้าหากใช้เวลานานเกินไปในการปรุงโอสถ มันก็จะกลายเป็นยาพิษถึงตาย!”
  “เจ้าถึงกับหาข้อมูลมาบอกข้าเชียวรึ”
  ซือหยูพยักหน้า
  ผู้เฒ่าเหลียวครุ่นคิดก่อนจะหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากชายเสื้อมันมีขนาดเล็กและมีคุณสมบัติวิญญาณอยู่มาก มันคือสมบัติวิญญาณระดับต่ำ
  “นี่คือหม้อปรุงยาที่ข้าเจอจากห้องปรุงยาของสำนักข้าคิดว่ามันจะช่วยนายน้อยได้”
  ผู้เฒ่าเหลียวยื่นให้ซือหยูด้วยทั้งสองมือ
  ซือหยูมองหม้อด้วยความแปลกใจสิ่งนี้นับว่าเป็นของชั้นสูงแม้ในระดับเดียวกัน มันไม่ได้แย่ไปกว่ากระบี่ห้าผีเลย!
  ซือหยูมองผู้เฒ่าเหลียวด้วยความชมเชยเพราะผู้เฒ่าเหลียวนั้นพยายามอย่างหนักซือหยูเพียงแค่ขอให้ผู้เฒ่าเหลียวหาวัตถุดิบ แต่เขากลับทำเหนือไปกว่านั้นและหาหม้อปรุงยามาให้ด้วย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ซือหยูไม่มีหม้อปรุงยา เขาต้องการมันพอดิบพอดี!
  ซือหยูเก็บหม้อและโยนแหวนมิติให้กับเขา
  “เจ้าทำได้ดีรับแหวนนี้ไปเป็นรางวัล”
  ผู้เฒ่าเหลียวตกใจมากความยินดีปรากฏบนใบหน้าทันที เพราะสิ่งนี้คือรางวัลจากซือหยูผู้ยิ่งใหญ่!
  “ลองดูว่าเจ้าต้องการมันหรือไม่ข้าเพิ่งจะสังหารภูติระดับเก้าไปแล้วได้มันมา”
  เมื่อซือหยูพูดออกมาโดยไม่ใส่ใจนักขณะที่มองดูหม้อปรุงยา
  แหวนมิติของภูติระดับเก้าเรอะ?ผู้เฒ่าเหลียวดีใจมาก!
  เขาเป็นภูติระดับเจ็ดเขารู้ว่าภูติระดับเก้านั้นควรจะมีความร่ำรวยแค่ไหน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการทำงานให้กับผู้อาวุโสที่ยอมรับได้จะได้รางวัลอย่างงาม ถ้าเขาอยู่ในตำหนักชิงวิญญาณไปเฉยๆ เขาจะไม่มีวันได้โอกาสนี้!
  “ข้ามิอาจขอบคุณนายน้อยได้มากพอเลย!”
  ผู้เฒ่าเหลียวกล่าวเขาใช้ดวงวิญญาณตรวจดูในแหวน
  เพียงแค่เหลือบมองครั้งเดียวก็ตัวสั่นสะท้านเหมือนโดนฟ้าผ่าเพราะข้างในแหวนนั้นมีแก้วพลังไม่ต่ำกว่าแปดหมื่นดวงและสมบัติอีกหลายชิ้น แก้วพลังจำนวนเช่นนี้จะได้จากการที่เขาต้องทำงานเป็นผู้เฒ่าตำหนักชิงวิญญาณถึงสิบปี!
  และยังมีโอสถมากมายที่เหมาะสำหรับภูติชั้นสูงใช้บ่มเพาะโอสถหลายเม็ดนับเป็นโอสถวิญญาณชั้นสูงที่มีเพียงในตำหนักโลหิตเท่านั้น!
  ยังมีผงวิญญาณดาวบินที่จะรับประทานได้เฉพาะภูติชั้นสูงมันคือโอสถชั้นสูงที่ดีที่สุดในดินแดนพรสวรรค์! โอสถนี้มิอาจหาซื้อได้จากโลกภายนอกเลย มันจะหาได้จากตลาดมืดเท่านั้น
  และในแหวนยังมีวัตถุดิบทุกประเภทราคาของแต่ละชิ้นไม่ต่ำกว่าสามพันดวง! และยังมีสมบัติวิญญาณระดับต่ำอีกราวหกชิ้น! เขาไม่เคยเห็นแหวนมิติที่มั่งคั่งเช่นนี้มาก่อน มันเหนือกว่าที่ภูติควรจะครอบครอง
  “เจ้าพอใจหรือไม่?”
  ซือหยูถามโดยรู้คำตอบอยู่แล้วเพราะเขาเองนั้นก็ดูในแหวนมาก่อนแล้วเช่นกัน
DND.840 – วิชาลับห้าธาตุ
  เฉาฉิงเฟิงมีทรัพยากรมากมายเพราะเขาเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลตลาดมืดของสำนักขวาในตำหนักนอกอย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นต้องส่งมันให้กับเจ้าตำหนักขวาอยู่ดี
  แต่การแอบเก็บบางอย่างไว้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเฉาฉิงเฟิงเมื่อนานวันเข้า เขาก็เก็บสะสมความร่ำรวยได้อย่างมหาศาล
  แต่สิ่งที่เขาสะสมมาส่วนมากนั้นไร้ประโยชน์ต่อซือหยูต่อให้ซือหยูขายมันจนหมดก็ได้เพียงแก้วแสนดวง และเขาต้องใช้เวลานานกว่าจะได้แก้วเหล่านั้นมา ซึ่งมันไม่คุ้มกับเวลาที่เขาจะเสียไป
  ภารกิจสายใยมังกรนั้นทำให้เขาต้องการแก้วหลายล้านดวงแก้วแสนดวงนั้นไร้ค่าสำหรับเขา คงจะดีกว่าถ้าให้เป็นรางวัลผู้เฒ่าเหลียวที่รับใช้เขา
  “ข้าพอใจอยู่แล้วขอบคุณนายน้อย”novel-lucky
  ผู้เฒ่าเหลียวดีใจจนหน้าแดงความไม่พอใจที่กลายเป็นข้ารับใช้ของเขาหายไปสิ้น
  เห็นทีเขาจะได้เจ้านายที่ใจดีมาแล้วเขาได้รางวัลอย่างงามจากการแค่หาเมล็ดมาไม่มาก! ถ้าเขารับใช้ซือหยูอย่างซื่อสัตย์ต่อไป เขาก็คิดว่ารางวัลจะดียิ่งไปกว่านี้
  “เอาล่ะเจ้าทำได้ดี แต่ข้ายังมีอีกเรื่องต้องใช้งานเจ้า เจ้ายินดีจะทำหรือไม่? งานนี้ค่อนข้างยาก อาจจะใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าเจ้าจะทำสำเร็จ…”
  ซือหยูกล่าว
  ผู้เฒ่าเหลียวพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด
  “นายน้อยข้ายินดีแม้แต่จะข้ามกองเพลิงเพื่อท่าน!”
  เมื่อได้รางวัลผู้เฒ่าเหลียวจึงมีกระจิตกระใจจะทำงานต่อ
  ซือหยูพยักหน้า
  “ดีข้าอยากให้เจ้าส่งจดหมายไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าหากลุ่มคนจากทิศทางนั้น มีคนไม่มากนัก ข้าคิดว่าราวพันล้านคน พวกเขาควรจะตั้งรกรากอยู่ทิศนั้นและสร้างเมืองเล็กๆอยู่อาศัย ยอดฝีมือที่แกร่งที่สุดเป็นแค่จ้าวเทวะเท่านั้น เจ้าต้องส่งจดหมายนี้ให้กับเขา”
  ซือหยูตั้งรกรากอยู่ในตำหนักโลหิตแล้วเขาต้องเริ่มหาข้อมูลเรื่องฉินเซี่ยนเอ๋อกับเซี่ยจิงหยูและคนจากเฉินหลง เขาหวังว่าคนเหล่านั้นจะตั้งรกรากในเขตกลางได้สำเร็จ
  จดหมายของเขามีคำชี้แนะต่อราชาแห่งความมืดการถามไถ่เรื่องฉินเซี่ยนเอ๋อและเซี่ยจิงหยูและสถานการณ์ปัจจุบัน เขายังบอกให้คนเฉินหลงไม่ต้องเป็นห่วงเขาในจดหมาย
  ส่งจดหมายหรือ?ผู้เฒ่าเหลียวตกใจกับงานนี้ เขาเตรียมใจที่จะเผชิญหน้าทุกความยากลำบาก แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่งานธรรมดาๆอย่างการส่งจดหมาย!
  “ข้าไม่รู้สถานที่แน่ชัดเจ้าจะต้องตามหาทุกหนแห่งและหาข้อมูลให้มากพอเพื่อที่จะหาพวกเขาให้เจอ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าต้องไม่แสดงตัวตนออกมา อย่าให้ใครจับเจ้าได้…”
  ซือหยูกำชับ
  “หลังเสร็จภารกิจกลับมารายงานทุกอย่างกับข้า”
  ผู้เฒ่าเหลียวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขายอมรับภารกิจในทันที ซือหยูรีบเขียนจดหมายส่งให้ผู้เฒ่าเหลียว
  “นายน้อยสบายใจได้ข้าสาบานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ภารกิจลุล่วง”
  ผู้เฒ่าเหลียวประสานหมัดและจากไป
  เขารู้แล้วว่าเป็นการดีที่จะติดตามซือหยูมากกว่าใช้ชีวิตอันน่าเบื่อในตำหนักชิงวิญญาณจนตายแม้ว่าเขาจะถูกริบตำแหน่งผู้เฒ่าเพราะออกจากตำหนักเป็นเวลานานเพื่อส่งจดหมาย เขาก็ยังอยู่ในการอุปการะของซือหยู!
  ซือหยูมองดูผู้เฒ่าเหลียวบินออกไปและยืนนั่งอยู่นานก่อนจะหายไปกับความเงียบของป่าเมื่อกลับมาถึงตำหนักก็เป็นยามวิกาลแล้ว
  ซือหยูมองดูเวลาและตัดสินใจอำลาอสูรทั้งสี่และจะไปบ่มเพาะในห้องฝึกก่อนจะออกจากตำหนักเมื่อกลับมาถึงเรือนของอสูรน้อย เขาก็พบว่ามีสองคนนั่งอยู่ด้านใน
  พวกเขานั่งตรงข้ามอสูรน้อยที่ยิ้มแย้มทั้งสามพูดคุยกันอยู่ นางดูสบายใจ แต่อีกสองคนนั้นเคร่งเครียดราวกับเจอศัตรูตัวฉกาจ
  ซือหยูเดินเข้ามาพร้อมกับอุทาน
  “พี่หยุนซื่อ!ศิษย์พี่ชิงเอ๋อ!”
  ทั้งสองคือพี่น้องตระกูลชางก่วน!เมื่อได้ยินเสียงซือหยู ทั้งคู่ดูสบายใจขึ้น
  ชางก่วนหยุนซื่อรีบยืนขึ้นต้อนรับ
  “น้องซือดีแล้วที่เจ้ากลับมา”
  หากสังเกตให้ดีจะพบว่าชางก่วนหยุนซื่อนั้นร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อนั่นก็เพราะเขากลัวอสูรน้อยนั่นเอง
  ชางก่วนชิงเอ๋อหันกลับมานางดูใจเย็นเมื่อมองซือหยู
  “พี่หยุนซื่อมาหาข้างั้นรึ?”
  ซือหยูถามด้วยความสับสน
  ชางก่วนหยุนซื่อพยักหน้าขณะที่เหลือบมองกงซุนหวูซื่อด้วยความระมัดระวังก่อนจะถามเบาๆ
  “น้องซือเราคุยกันเป็นส่วนตัวได้หรือไม่?”
  ก่อนซือหยูจะตอบอสูรน้อยหรี่ตาจนกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยวและพูดด้วยรอยยิ้ม
  “ไม่ดีเลยนะ!เจ้ามาเรือนข้าเพื่อหาพี่หยูเซี่ยน แต่กลับจะคุยกันลับหลังข้าเรอะ?”
  ชางก่วนหยุนซื่อหัวใจหยุดเต้นเขากลัวอสูรน้อยจริงๆ
  ซือหยูมองนางด้วยความโมโหและตำหนิ
  “พูดอะไรของเจ้า!เราออกไปคุยกันก็ได้ หากพี่หยุนซื่อมาหาข้าก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญ”
  อสูรน้อยเหวี่ยงหมัดใส่เขาและพูดด้วยความโมโห
  “บัดซบ!ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
  จากนั้นนางก็ปัดผมเปียไปด้านข้างไหล่ก่อนจะเดินพรวดออกไป
  ชางก่วนชิงเอ๋อดวงตาสั่นเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนางมองซือหยู
  “ไม่คิดเลยว่าเด็กคนเดียวกับที่อยู่ในตระกูลเราในอดีตวันนี้จะกลายมาเป็นอสูรเรือนกลาง! เจ้ามีพลังมากจนแม้แต่กงซุนหวูซื่อยังกลัวเจ้า ถ้าท่านพ่อได้ยิน ท่านพ่อคงทุกข์ทรมานเพราะความเศร้าเป็นแน่”
  ชางก่วนหยุนซื่อกลอกตา
  “พี่ชิงเอ๋อพูดกับน้องซือแบบนี้ได้ยังไง?”
  ชางก่วนชิงเอ๋อหันไปมองจ้องชางก่วนหยุนซื่อและกระทืบเท้ากอดอก
  “น้องซือเจ้าควรจะรู้เรื่องสถานการณ์ของดินแดนพรสวรรค์ในตอนนี้แล้วใช่หรือไม่?”
  ชางก่วนหยุนซื่อถามด้วยสีหน้าจริงจัง
  ซือหยูพยักหน้า
  “ขณะนี้ปั่นป่วนทุกสำนักและตระกูลนอกจากสำนักทั้งสิบแปดล้วนถูกจู่โจม”
  ครั้งก่อนเขาไปยังเรือนตระกูลชางก่วนกับชางก่วนหยุนซื่อ ระหว่างทาง พวกเขาถูกผู้ฝึกสัตว์อสูรจู่โจมจนเกือบตาย เรื่องนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ
  ยิ่งไปกว่านั้นซือหยูยังได้ยินข่าวเรื่องการทำลายล้างสำนักเป็นระยะๆ แม้แต่ตระกูลฉีเหมินที่เคยเป็นลำดับสามก็ถูกทำลายในข้ามคืนโดยไม่มีลูกหลานเหลือแม้แต่คนเดียว!
  สัญญาณทุกอย่างนี้คือการบ่งบอกว่ามีสำนักมืดที่น่ากลัวในดินแดนพรสวรรค์ที่กำลังกลืนกินสำนักเล็กตระกูลชางก่วนนั้นเป็นตระกูลลำดับสอง นี่เป็นเหตุที่พวกเขากำลังหวาดกลัว
  “ใช่แล้วน้องซือทุกสำนักและตระกูลจึงพยายามหาคนหนุนหลังเพื่อได้รับการปกป้อง แต่ละสำนักหาคนหนุนหลังที่ต่างกันออกไป มีแค่ตระกูลชางก่วนของข้าที่ยังไม่ตัดสินใจ…”
  ชางก่วนหยุนซื่ออธิบาย
  ซือหยูเลิกคิ้วถาม
  “พี่หยุนซื่ออยากจะให้ข้าแนะนำยอดฝีมือในตำหนักให้แล้วขอให้เขาปกป้องตระกูลชางก่วนรึ?”
  เพราะซือหยูนั้นเพิ่งจะเข้าร่วมตำหนักไม่นานชางก่วนหยุนซื่อคงจะรู้จักกับยอดฝีมือมากกว่าเขา ส่วนชางก่วนชิงเอ๋อเองก็เป็นศิษย์ไม่เป็นทางการของเจ้าตำหนักม่อเทียนฉวน นางคงจะมีทางติดต่อยอดฝีมือได้มากกว่าซือหยูกับชางก่วนหยุนซื่อรวมกัน!
  ชางก่วนชิงเอ๋อหงุดหงิดนางพูด้วยความโมโห
  “เขาไม่ได้อยากให้เจ้าแนะนำคนสนับสนุนพวกเราแต่เขาอยากให้เจ้าเป็นคนหนุนหลังพวกเรา น้องข้าเสียสติไปแล้ว! มาเลือกคนอย่างเจ้าได้ยังไง?”
  ชางก่วนหยุนซื่อกลอกตาใส่นางและพูดอย่างจริงใจ
  “นางพูดไม่ผิดหรอกน้องซือ ข้าหวังให้เจ้าปกป้องตระกูลชางก่วนในความวุ่นวายครั้งนี้”
  ซือหยูสับสน…เหตุใดชางก่วนหยุนซื่อถึงคิดว่าข้าปกป้องตระกูลเขาได้กัน?
  ซึ่งความจริงแล้วพลังของซือหยูณ ตอนนี้สามารถปกป้องตระกูลชางก่วนได้จริงตราบเท่าที่ไม่มีจ้าวเทวะชั้นกลางมาจู่โจม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องทั้งตระกูลด้วยพลังของเขาในตอนนี้
  “ข้าจะไม่เป็นคนปกป้องตระกูลให้พี่หยุนซื่อหรอกแต่ถ้าตระกูลชางก่วนมีอันตราย พี่หยุนซื่อมาหาข้าได้ ข้าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะช่วยอยู่แล้ว”
  เพราะชางก่วนหยุนซื่อนั้นเป็นสหายของเขาหากตระกูลของเขาตกอยู่ในอันตราย ซือหยูย่อมต้องช่วยหากเป็นไปได้ แต่ถ้าหากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป เขาก็ต้องขออภัยที่มิอาจช่วยได้
  “น้องซือข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนมีคุณธรรม”
  ชางก่วนหยุนซื่อยิ้มจางๆ
  “น้องซือตอนนี้เจ้าสบายใจได้ สำนักมืดนั่นยังต้องเตรียมตัวก่อนจะลงมืออีกครั้ง ตระกูลชางก่วนจะใช้เวลานี้เตรียมการตั้งรับให้แข็งแกร่ง เจ้าก็จะพยายามเพิ่มพลังของเจ้าได้เช่นกัน ข้าเชื่อว่าหากพวกมันบุกมาเมื่อไหร่ ตระกูลชางก่วนจะไม่เป็นอันตรายนัก”
  ขณะที่เขาพูดชางก่วนหยุนซื่อได้หยิบเอาหอคอยงดงามห้าสีออกมา เมื่อมันปรากฏตัว รังสีพลังของธาตุทั้งห้าในห้องได้หนาแน่นขึ้นสามในสิบส่วน
  “ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนเจ้าได้ข้าจึงได้แค่ขอให้เจ้ารับสิ่งนี้ไปแทน หอคอยนี้มีความลับของธาตุทั้งห้าอยู่ เป็นการดีที่เจ้าจะศึกษามัน”
  ชางก่วนหยุนซื่อยัดมันใส่มือซือหยู
  เขาพูด
  “น้องซืออย่าบอกเรื่องนี้กับใคร นี่เป็นคำขอเดียวในฐานะพี่ชายเจ้า”
  เมื่อซือหยูยกมือขึ้นดูเสี้ยววิบัติอัคคีที่เหลือในร่างกายซือหยูถูกกระตุ้นขึ้นมาจนเกือบควบคุมไม่ได้ ซือหยูหวาดกลัวมากและรีบปกปิดหอคอยเล็กห้าสีไว้ด้วยพลังชีวิต
  “หอคอยอะไรกัน!”
  ตอนนั้นชางก่วนชิงเอ๋อพูดแทรก
  “มันก็เป็นสมบัติลับของตระกูลชางก่วนน่ะสิมันคือวิชาลับห้าธาตุที่ส่งต่อมาตั้งแค่ยุคโบราณ มันคือความลับของตระกูลชางก่วนที่ไม่มีคนนอกรับรู้ แต่น้องข้ากลับอยากส่งมันให้กับเจ้า ดูซิว่าท่านพ่อจะจัดการน้องข้ายังไง!”
  เมื่อได้ฟังซือหยูชักสีหน้าและส่งหอคอยห้าสีคืน
  “พี่หยุนซื่อข้ามิคู่ควรกับของขวัญเช่นนี้ ข้ารับของล้ำค่าของพี่ไม่ได้หรอก”
  ชางก่วนหยุนซื่อไม่รับมันคืนและหัวเราะเบาๆ
  “สิ่งนี้ถูกส่งต่อมาให้ข้าขึ้นอยู่กับข้าว่าจะให้มันกับผู้ใด”
  เขาสีหน้าขมขื่นเมื่อพูดต่อ
  “ไม่มีใครในหลายร้อยปีที่เข้าใจวิชานี้ได้เพชรเม็ดงามจมอยู่ในโคลนตม หากส่งให้เจ้า เพชรเม็ดงามย่อมได้เปล่งประกายอีกครั้ง น้องซือ เจ้ารับมันไว้เถอะ เจ้าจะทำอะไรกับมันก็ได้ตราบเท่าที่คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้”
  ซือหยูยังคงมิอาจรับไว้ได้เพราะการรับของสืบทอดของตระกูลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเห็นว่าซือหยูลังเล ชางก่วนชิงเอ๋อจึงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
  “ถ้าน้องข้าให้เจ้ารับเอาไว้เจ้าก็รับเอาไว้! แต่เรื่องนี้ห้ามแพร่งพราย เราให้คนที่แข็งแกร่งกว่าไม่ได้เลยทำได้แค่ให้เจ้า อย่าทำให้น้องข้าผิดหวัง”
  หลังพูดจบนางก็กระทืบเท้าและจากไปด้วยความโมโหซือหยูนั้นลังเลก่อนจะโค้งให้ชางก่วนหยุนซื่ออย่างสง่างามและรับหอคอยอันงดงามมา
  “น้องซืออย่าใส่ใจที่พี่ข้าพูดนักเลย ถึงนางจะอารมณ์ไม่ดี นางก็ยอมรับการตัดสินใจของข้าจึงส่งวิชาลับห้าธาตุให้กับเจ้า”
  ชางก่วนหยุนซื่อมองพี่สาวและถอนหายใจ
  ซือหยูถามด้วยความแปลกใจ
  “ใยนางถึงอารมณ์ไม่ดีเช่นนั้นเล่า?”
  ชางก่วนหยุนซื่อตอบ
  “ข้าได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนชื่อซือหยูเขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พี่ข้าในกระโจมเทพสวรรค์ ไม่นานมานี้เราเพิ่งจะได้ยินว่าซือหยูผู้นั้นมาที่จิวโจว ดูเหมือนว่าเขาจะมาตามล่าและสังหารจักรพรรดิโลหิตไปแล้ว!”
  เขาพูดต่อ
  “สมาชิกตำหนักในระดับสูงหลายคนตามหาพี่สาวข้าเพราะเรื่องนี้พวกเขาอยากจะพูดคุยกับนาง พวกเขาเอาแต่โทษนางที่ไม่พยายามหาข้อมูลซือหยูกลับมามากกว่านี้”
  ชางก่วนหยุนซื่อเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดต่อ
  “เจ้าลองคิดดูสิพี่ชิงเอ๋อบอกว่าซือหยูอายุน้อยยิ่งกว่าข้า แต่ก็แข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารจักรพรรดิโลหิตได้ ถึงตอนนี้ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อเลย!”
  “เกรงว่าต่อให้อัจฉริยะอย่างกู้ไทซูหรือคนอื่นๆก็ไร้ค่าต่อหน้าซือหยูผู้นี้!”
  ในตอนนั้นเองชางก่วนหยุนซื่อสังเกตว่าซือหยูทำหน้าตาแปลกๆ
  “น้องซือเป็นอะไรน่ะ?ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้น?”