ตอนที่ 841-842

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.841 – คุกเทวะห้าธาตุ
  ซือหยูรีบเก็บอารมณ์และพูด
  “ไม่มีอะไรหรอก”
  หลังคุยกันไปสักพักชางก่วนหยุนซื่อก็กลับไป
  ซือหยูถือหอคอยเล็กๆในมือพลางคิด…
  ถ้าตระกูลชางก่วนพบเจอภัยร้ายจริงต่อให้ชางก่วนหยุนซื่อไม่มอบของสืบทอดให้ เขาก็ต้องช่วยเหลืออยู่ดี เพราะซือหยูไม่มีเหตุผลให้ทิ้งตระกูลของชางก่วนหยุนซื่อหากตกอยู่ในอันตราย
  เมื่อมีเวลาว่างซือหยูไปยังห้องฝึก เมื่อผ่านการทดสอบอันเข้มข้นมา ศิษย์หลายคนก็มาที่นี่เพื่อซ้อมประลองกันอย่างหนาแน่น
  ห้องต่อสู้ยังคงมีคนมากมายดั่งเคยมีห้องฝึกเงามายาที่ว่างอยู่สองห้อง แต่ซือหยูมีเพียงสองพันคะแนนที่เหลืออยู่ มันไม่มากพอที่เขาจะใช้เข้าห้องฝึกเงามายา
  “หึหึหนุ่มน้อย เจ้าขาดคะแนนงั้นหรือ? เจ้าอยากจะให้ข้าช่วยไหม?”
  กลิ่นหอมหวานพัดผ่านสตรีผู้มีเรือนร่างอันน่ามองเดินมาหาเขา
  ซือหยูยื่นมือไปหานางในทันที
  “ให้ข้ายืมห้าพันคะแนนข้าจะคืนให้เจ้าเป็นสองเท่า”
  “หึหึใยเจ้าระแวงข้านักเล่า? มิใช่ว่าเงินเจ้าก็คือเงินข้า แล้วของข้าก็คือของเจ้ารึ?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งเป่าหูซือหยูเบาๆ
  กลิ่นหอมสะกดทุกคนโชยมาจากนางแต่แววตาของซือหยูยังคงสดใสเหมือนเคยเมื่อเขาถามนางอย่างไม่พอใจ
  “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งหยิบตราขึ้นมาจูบนางยิ้มถาม
  “ตราเจ้าล่ะ?”
  ซือหยูหยิบตราส่งให้นางนางคีบตราของซือหยูด้วยสองนิ้วและนำตราทั้งสองชนกัน ท่วงท่าของนางสง่างาม ทุกสิ่งที่นางทำทำให้ผู้คนเหม่อลอย
  ซือหยูใจสั่น…นี่มันวิชาเสน่ห์ที่แข็งแกร่ง!ถ้าข้าประมาทแม้แต่นิดเดียวอาจจะหลงกลก็ได้! เขารีบกัดลิ้นและทำให้สติยังเฉียบคมเหมือนเดิม!
  “หืม?หนุ่มน้อย เจ้าจิตใจกล้าแกร่งนัก แต่เจ้าต้องระแวงข้าด้วยหรือ?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มแหย่
  ซือหยูรับตราคืนและถาม
  “เจ้าไม่ได้มาโดยไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่?”
  เพราะถ้าหากนางใช้วิชาเสน่ห์จนจิตใจซือหยูขุ่นมัวนางก็ต้องมีเป้าหมายอยู่แน่!
  “ข้ามาหาเจ้าเฉยๆไม่ได้เลยรึ?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มหวานแต่เมื่อนางเห็นดวงตาซือหยูที่ยังบริสุทธิ์นางก็เริ่มรำคาญ
  “เจ้าทำมาจากหินรึ?ทำไมเจ้าไม่หลงเสน่ห์ข้า? เจ้าทำข้าเจ็บเหลือเกิน!”
  “เจ้าจะคุยดีๆกับข้าได้หรือยัง?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งกลอกตานางอยากจะบีบคอเขาเสียให้ตาย
  ตามปกตินางมักจะยั่วบุรุษได้ง่ายๆ แต่มีซือหยูผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้นราวกับเขามีภูมิต้านทานต่อนาง! เขามักจะไม่แยแสนางเลย!
  จ้าวหอเพลิงคลั่งหมดความกล้าสีหน้านางจริงจังขึ้น
  “ข้ามาที่นี่แทนเว่ยเจิงเพื่อถามเจ้าอีกครั้งว่าสนใจจะเข้าร่วมสำนักซ้ายหรือไม่เขากำลังเชิญเจ้าอย่างจริงใจนะ”
  เว่ยเจิงร?ความประทับใจของซือหยูกับชายคนนั้นย่ำแย่เกินไป
  “ไม่ว่าจะจริงใจหรือไม่ข้าก็ไม่เข้าสำนักของผู้ใด”
  ซือหยูตอบตามตรง
  “ข้ามาตำหนักโลหิตเพื่อบ่มเพาะพลังอย่างสงบข้าอยากอยู่ในวิถีแห่งพลังทั้งหัวใจ ถ้าข้าเข้าสักสำนัก ข้าก็จะถูกใช้งานจนไม่มีเวลาบ่มเพาะพลัง ข้าจะไม่เข้าสักสำนัก”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งถอนหายใจ
  “ข้ารู้แล้วแต่เจ้าไม่รู้รึว่าเจ้าจะได้ทรัพยากรเท่าใดเมื่อเข้าสำนักซ้าย?”
  ซือหยูยิ้มจางๆและถามนางกลับ
  “คิดว่าข้าขาดแคลนทรัพยากรรึ?”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งตกตะลึงซือหยูเป็นนักปรุงยาและสามารถหาทรัพยากรได้เอง คะแนนจำนวนมากที่เขาหาได้ในหนึ่งเดือนพิสูจน์ความจริงนี้ เรื่องการขาดทรัพยากรนั้นเป็นธรรมดาต่อศิษย์หลายคน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับซือหยู
  “อ๊าา!ก็ได้ ถ้าเจ้าตั้งใจเช่นนี้ข้าก็จะปฏิเสธเขาให้เจ้า แต่ต่อไปข้างหน้า เจ้าควรจะเลี่ยงการมีปัญหากับทุกฝ่าย มิเช่นนั้นเจ้าจะใช้ชีวิตลำบากในตำหนักโลหิต โดยเฉพาะตอนที่ไม่มีใครปกป้องเจ้า!”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งเลิกคิดที่จะเชิญชวนเขาแล้ว
  ซือหยูพยักหน้า
  “ขอบคุณที่เตือนข้า”
  จ้าวหอเพลิงคลั่งจากไปด้วยความผิดหวังนางกลับเรือนของตัวเอง ที่นั่นมีเสวี่ยฉีและเว่ยเจิงรอนางอยู่ ทั้งสองดูดีใจเมื่อนางกลับมา
  “เป็นอย่างไรบ้างท่านอา?เขาตกลงหรือไม่?”
  เสวี่ยฉีรีบถาม
  จ้าวหอเพลิงคลั่งส่ายหน้า
  “เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่เข้าร่วมฝั่งใดแล้วก็ไม่เปลี่ยนใจไม่ว่าข้าจะพยายามแค่ไหน”
  แม้เสวี่ยฉีจะคิดไว้แล้วว่าผลเป็นเช่นนี้นางก็หยุดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสลาย
  “แม้แต่ท่านอาก็ชวนเขามาไม่ได้เขาคงไม่คิดจะเข้าร่วมกับพวกเราจริงๆ”
  ขณะที่พูดเสวี่ยฉีมองเว่ยเจิงด้วยความเศร้า เพราะถ้าไม่ใช่เพราะเขาดูถูกซือหยู สถานการณ์ก็คงอาจจะไม่เป็นเช่นนี้
  เว่ยเจิงพูดอย่างทุกข์ใจ
  “เขาไม่รู้วิธีตอบรับน้ำใจผู้คน!มันยิ่งใหญ่อะไรกันนัก? เจ้าตำหนักซ้ายเคยเห็นอัจฉริยะมาหลายคนแล้ว!”
  ขณะนี้ซือหยูเพิ่งจะใช้คะแนนก้อนสุดท้ายที่มีในห้องฝึกเงามายา ซือหยูคิดจะฝึกฝนวิชาเก้ามังกรอสูรโดยเฉพาะ
  เขาเรียกเส้นขนอสูรออกมาและเริ่มบ่มเพาะพลังตามที่ตำราเขียนเอาไว้วิชาบ่มเพาะของเขาเพียงแค่ต้องการผู้ที่มีสายเลือดมังกรแต่ไม่ต้องการควมเข้าใจ นั่นทำให้เขาประหยัดเวลาและความพยายามไปได้มาก เขารีบบ่มเพาะพลังอย่างรวดเร็ว
  แต่แม้ความได้เปรียบนี้จะทำให้เขาบ่มเพาะได้รวดเร็วมันก็มีข้อเสียเพราะว่ามันค่อนข้างอันตราย! ยิ่งเขาบ่มเพาะมากขั้นเท่าใด โอกาสที่อสูรภายในจะกลืนกินก็ยิ่งมากเท่านั้น!
  แต่เคราะห์ดีที่ซือหยูยังอยู่ในขั้นแรกๆเขาจึงยังไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นมากนัก ดังนั้นทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างมั่นคง
  หลังจากบ่มเพาะพลังมาทั้งวันทั้งคืนเสียงคำรามของมังกรดังออกมาจากท้องของซือหยู แค่เสียงคำรามก็มากพอแล้วที่จะทำให้ห้องฝึกเงามายาสั่นไปทั้งห้อง!
  ยิ่งไปกว่านั้นมักกรขนาดยักษ์ที่ยาวร้อยศอกได้ออกมาจากร่างของซือหยู มันเริ่มบินวนรอบซือหยู มัันคือมังกรอสูรทั้งสองตัวที่กำลังปกป้องผู้เป็นนาย
  ซือหยูลืมตาช้าๆพร้อมกับยิ้มจางๆ เขาบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอสูรจนถึงระดับสองสำเร็จ และมันยังเร็วกว่าที่เขาคิดไว้อย่างมาก!
  แต่เมื่อมองขนอสูรตรงหน้าก็ต้องอ้าปากค้างเส้นขนนั้นหม่นหมอง มีพลังเหลืออยู่ในถึงสี่ในสิบเท่านั้น พลังนี้ควรจะมากพอให้เขาบ่มเพาะที่ระดับสามเท่านั้น
  ซือหยูเก็บเส้นขนอสูรและยืนขึ้นมองกำแพงด้านหลังเขายิ้มมุมปากและพูดเบาๆ
  “มาลองดูอีกครั้งเถอะ…”
  เขาเพ่งสมาธิไปยังกำแพงสัญลักษณ์มากมายปรากฏขึ้น ร่างเงาของสตรีปรากฏออกมาด้วย!
  “เจ้านี่เอง!”
  ดูเหมือนว่าร่างเงาของนางจะมีความทรงจำเป็นของตัวเองนั่นทำให้ซือหยูตกใจมาก
  “เจ้ามีสติเป็นของตัวเองรึ?”
  ซือหยูค่อนข้างแปลกใจ
  ร่างเขาเจี๋ยนอู๋เชิงพยักหน้า
  “ร่างเงาที่ร่างหลักของข้าทิ้งเอาไว้มีสติปัญญา…แล้วทำไมรึ?เจ้ามีปัญหาหรือไม่?”
  ซือหยูงุนงง
  “ไม่ข้าไม่มีปัญหาอะไร”
  “เจ้าอยากจะประลองกับข้าอีกครั้งสินะ?”
  ร่างเงาเจี๋ยนอู๋เชิงถาม
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่!ข้าจะประลองกับเจ้าอีกครั้ง”
  ร่างเงาเจี๋ยนอู๋เชิงพยักหน้าช้าๆ
  “ย่อมได้ข้าอยากจะประลองอีกครั้งอยู่แล้ว ถ้าครั้งนี้เจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าจะได้รับการชี้แนะเป็นรางวัล ร่างหลักของข้ากำหนดรางวัลไว้เช่นนี้”
  “มีรางวัลด้วยรึ?ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเล่า?”
  ซือหยูตกใจ
  เขาไม่เคยได้ยินเทียนเหรินเหยาพูดเรื่องที่เขาจะได้รับการชี้แนะจากนางถ้าเขาเอาชนะร่างเงาได้!การชี้แนะนี้ล้ำค่าและหลายคนก็อยากจะเสี่ยงชี้วิตให้ได้มา!
  “เจ้าไม่ต้องตกใจหรอกข้าไม่เคยบอกใครเพราะไม่มีใครที่จะเอาชนะข้าได้มาก่อน…”
  เจี๋ยนอู๋เชิงกล่าวด้วยความมั่นใจ
  เจี๋ยนอู๋เชิงชักกระบี่และถามอย่างเย็นชา
  “เจ้าพร้อมหรือไม่?”
  ซือหยูพยักหน้าเขาขยับมือสร้างพลัง
  “กระบี่ทิศประจิม!”
  เจี์ยนอู๋เชิงแกว่งกระบี่มันคือกระบวนท่าเดิมจากคราวที่แล้ว
  แต่วิชานี้ยังคงทำให้ซือหยูทึ่งอย่างเคยเพราะกระบี่ของนางเหนือกว่าวิชากระบี่ทั้งหมดและไปถึงขอบเขตที่สูงกว่า ซือหยูลืมทุกความรู้สึกเมื่อเสียงคำรามดังออกมาจากอก พร้อมกันนั้น มังกรอสูรที่ดูดุร้ายสองตัวได้พุ่งออกมาจากอกเขา!
  มังกรทั้งสองกับกระบี่เผชิญหน้ากันในห้องฝึกเงามายาแม้กระบี่ทิศประจิมจะมีพลังจนดับร่างมังกรได้ มันก็มิอาจเผชิญหน้ากับมังกรสองตัวพร้อมกัน
  พลังกระบี่กระจายหายมังกรตัวที่เหลือทะลวงร่างเงาเจี๋ยนอู๋เชิง สัญลักษณ์บนกำแพงเริ่มขยับพร้อมกับส่องแสงสีม่วง
  “ข้าแพ้เจ้าชนะ”
  นางพูดขณะที่มองซือหยู
  ซือหยูประสานหมัดให้นาง
  “ท่านปล่อยให้ข้าชนะ!ท่านใช้แค่กระบวนท่าเดียว การต่อสู้จริงมิได้จำกัดแค่กระบวนท่าเดียวไม่!”
  ร่างเงาเจี๋ยนอู๋เชิงส่ายหน้า
  “กระบี่เดียวนี้คือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าหากเจ้าชนะได้ เจ้าก็สมควรได้รับชัย”
  นางถอนหายใจ
  “เจ้าหนูข้าจะทำตามที่บอกและชี้แนะเจ้าหนึ่งครั้ง การชี้แนะนี้จำกัดอยู่ที่วิชาบ่มเพาะ ปัญญา โอสถ สมบัติวิเศษ หรือตำนานของทวีปจิวโจว”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ถ้าเช่นนั้น…ข้าขอถามถึงเรื่องวิชาลับห้าธาตุที่เพิ่งจะได้มาได้หรือไม่?ข้าอยากรู้ว่าข้าจะบ่มเพาะมันอย่างไร และส่วนใดที่ข้าควรเริ่มบ่มเพาะ? มันเป็นเพียงแค่หอคอย โปรดชี้แนะข้าด้วย”
  ซือหยูไม่เข้าใจของสิ่งนี้เพราะมันไม่ใช่วิชาบ่มเพาะหรือสิ่งที่จะมอบการรับรู้ให้มันเป็นแค่ตัวแทนของสืบทอดจากตระกูลชางก่วน
  “ได้ข้าขอดูหน่อย ข้ามีความรู้ที่ร่างหลักมีอยู่ ตราบเท่าที่นางเคยเห็น ข้าก็ควรจะรู้วิธีใช้งาน”
  เจี๋ยนอู๋เชิงยอมรับคำถามด้วยความใจเย็น
  ซือหยูพยักหน้าเขาเรียกหอคอยออกมาวางไว้บนพื้น ร่างเงาเจี๋ยนอู๋เจิงตกใจ นางรับมันไว้ในมือและสังเกตอยู่นาน
  ทันใดนั้นเองความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้า
  “เจ้าเอามันมาจากที่ไหน?เป็นไปไม่ได้! คุกเทวะห้าธาตุหายไปตั้งแต่โบราณกาลแล้ว! …มันอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร?”
  คุกเทวะห้าธาตุรึ?มันมิใช่วิชาลับห้าธาตุหรอกหรือ? ซือหยูสับสนในคำพูดนาง
  แต่เขาปิดปากเงียบและไม่บอกอะไรกับนาง
  “ท่านไม่ต้องรู้ที่มาของมันหรอกท่านแค่สอนว่าข้าจะบ่มเพาะมันยังไงก็พอแล้ว”
  แม้หลังจากที่นางจะกลับมาได้สติสายตาของนางก็ยังคงจับจ้องไปที่หอคอย ผ่านไปนานกว่านางจะมองซือหยู
  “ถ้าข้าเป็นเจ้าข้าจะไม่นำสิ่งนี้ออกมา!”
  ซือหยูตัวสั่น
  “ท่านบอกข้าทีว่ามันคืออะไรกันแน่?”
  ร่างเงาเจี๋ยนอู๋เชิงพูดอย่างเคร่งเครียด
  “มันคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์…”
DND.842 – จิตวิญญาณสมบัติศักดิ์สิทธิ์
  ซือหยูตกใจมากเขาต้องรู้แน่นอนว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งใด เพราะมันคือสมบัติที่อสูรเนรมิตรทุกคนแม้แต่ราชาเก้าเขตเองก็ต้องต่อสู้แย่งชิง
  ซือหยูสงสัย…ชางก่วนหยุนซื่อเพียงแค่ส่งวิชาบ่มเพาะให้กับข้าใยมันกลายเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ไปได้เล่า? เขากำลังคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงและสงสัยว่าร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงพูดจริงหรือไม่
  “เจ้าไม่ต้องสงสัยสิ่งที่ข้าบอก”
  นางพูดราวกับอ่านใจซือหยูได้
  “คุกเทวะห้าธาตุเป็นหนึ่งในรายการหมื่นอาวุธเทพโบราณมันเคยถูกครอบครองโดยสำนักโบราณ แต่สำนักนั้นเสื่อมโทรมลงจนทำให้มันหายไปด้วย”
  ซือหยูตกใจนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องอาวุธเทพโบราณทั้งหมื่นชิ้น ตอนที่เทียนจี่จื้อส่งต่อทรายดาราทางช้างเผือกกับซือหยู เขาบอกว่ามันคืออาวุธเทพในยี่สิบลำดับแรก
  ซือหยูมิอาจเก็บซ่อนความตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้อีกครั้งอาวุธเทพทั้งหมดหากมีลำดับก็นับว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้คุกเทวะห้าธาตุมีลำดับเก้าพัน มันก็นับว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์
  “ท่านผู้อาวุโสแล้วสิ่งนี้มีอันดับที่เท่าใดรึ?”
  ซือหยูถาม
  เขามีทรายดาราทางช้างเผือกอยู่แล้วเขาประเมินได้ว่ามันควรจะมีพลังที่ขัดต่อสวรรค์
  เจี๋ยนอู๋เชิงมองซืหยูและตอบ
  “อาวุธเทพโบราณมิใช่ความลับกับเหล่าอสูรเนรมิตรข้าบอกเจ้าไปก็คงไม่มีอันตราย”
  นางพูดต่อ
  “คุกเทวะห้าธาตุมีชื่อตั้งแต่ครั้งโบราณมันสามารถผนึกใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมนุษย์หรือจักรพรรดิอสูรโบราณ แม้แต่เทพปีศาจที่ปกครองทั้งโลกก็เคยติดอยู่ในคุกเทวะห้าธาตุ เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีออกมาเว้นเสียแต่ว่าผู้ถือครองจะปล่อยออกมาเอง”
  “ในจิวโจวต่อให้ผู้ที่เป็นผู้สืบบัลลังก์และจะเป็นจักรพรรดิจิวโจว คนผู้นั้นก็ไม่มีโอกาสหนีเมื่อเจอสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้”
  แววตาของเจี๋ยนอู๋เชิงร้อนผ่าวนางมองซือหยู
  “เจ้าหนูสมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้หาใช่พรแต่เห็นภัยพิบัติ! ใยเจ้าไม่มอบให้ข้าเล่า? ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องเสียเปล่า ตราบเท่าที่เจ้ายินยอม ข้าจะทำให้เจ้าเป็นราชาเขต เจ้าจะได้เป็นศิษย์คนสุดท้ายของข้า ในอนาคตข้างหน้า เจ้าจะได้ปกครองเขตกระบี่ไร้ใจและเป็นหนึ่งในเก้าราชาของโลกนี้”
  เจี๋ยนอู๋เชิงอย่างได้มันจนออกนอกหน้า!เพราะถ้าหากนางได้มันไป จะไม่มีใครในจิวโจวที่เทียบกับนางได้!
  ในอดีตเมื่อราชาเขตกลางพบว่าซือหยูมีหม้อเก้ามังกร เขาไม่ลังเลที่จะส่งอสูรเนรมิตรทั้งห้าไล่ล่าเขา ด้วยการกระทำแค่นี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่เพียงใด
  เงื่อนไขที่เจี๋ยนอู๋เชิงเสนอเขาค่อนข้างน่าสนใจเพราะการเป็นศิษย์คนสุดท้ายของราชินีเขตย่อมเป็นการได้เป็นราชาเขตในอนาคต ราชาเขตกลางคงต้องวางแผนให้ดีหากจะจู่โจมซือหยู
  ถ้าหากคนธรรมดาอยู่ที่นี่คนผู้นั้นก็คงตอบรับข้อเสนอไปแล้ว แต่ซือหยูมีหม้อเก้ามังกรกับทรายดาราทางช้างเผือกอยู่แล้ว เขาจึงไม่สนใจกับข้อเสนอนี้นัก
  การให้สมบัติกับนางจะทำให้เขาได้รับสิ่งตอบแทนที่มิอาจจินตนาการได้ก็จริงแต่ซือหยูมิได้ไล่ตามอำนาจ และพลังของเขาเองเท่านั้นที่จะทำให้เขามีอำนาจที่แท้จริง
  ดังนั้นการเสียสมบัติศักดิ์สิทธิ์ให้ใครไปจึงมิสมเหตุสมผลสำหรับซือหยู
  “ข้าขอถามก่อนจะตอบได้หรือไม่?”
  ซือหยูตาลุกวาวอีกครั้ง
  “ข้าอยากจะรู้ว่าเจี๋ยนอู๋เชิงตัวจริงจะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่หรือไม่?”
  ถ้าหากนางรู้นางจะได้รู้เรื่องคุกเทวะห้าธาตุ จากนั้นเขาก็จะเก็บซ่อนมันไม่ได้แม้จะพยายามเท่าใด ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็ควรจะยอมรับข้อเสนอ แต่ถ้าหากนางไม่รู้ล่ะก็…
  แววตาของเจี๋ยนอู๋เชิงเปลี่ยนไปหลายครั้งนางลังเล ผ่านไปนานกว่าที่นางจะถอนหายใจเบาๆ
  “น่าเสียดายนักตัวจริงของข้าถูกทิ้งเอาไว้และไม่มีทางติดต่อกลับได้ ส่วนตัวข้าก็จะหายไปในไม่นานเพราะเจ้าเอาชนะข้า ตัวจริงของข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนี้”
  ความขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของนาง
  “ตัวจริงข้าทำพลาดครั้งใหญ่เสียแล้วที่ผ่านสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่นี่นี่อาจเป็นชะตาของนาง…”
  ร่างเงานั้นมีนิสัยจริงๆของเจี๋ยนอู๋เชิงนางค่อนข้างมีคุณธรรม นางมิได้โกรธหรือโศกเศร้า
  ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก
  “ขออภัยจริงๆแต่ข้าให้กับตัวจริงของท่านไม่ได้ในตอนนี้ แทนที่จะหวังพึ่งผู้อื่น ข้าอยากจะไปถึงจุดสูงสุดด้วยตัวเอง”
  เจี๋ยนอู๋เชิงเงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจ
  “คงดีไม่น้อยหากข้าได้มันและก็น่าเสียใจนักที่ชะตาข้าไม่ต้องกันมัน ย่อมได้ ตัวจริงข้าไม่รู้ก็เป็นผลดีกับเจ้า และถ้านางได้ตั้งใจกับวิชากระบี่เพียงอย่างเดียว นางก็อาจจะก้าวถัดไปได้ ถ้าหากนางได้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ วิถีแห่งกระบี่ของนางจะไปได้ไม่ไกลนัก”
  ร่างเงาของนางดูเหมือนจะพูดกับตัวเองจากนั้นนางทำสีหน้าตามเดิม
  “มาเถอะข้าจะตอบคำถามแรกกับเจ้าว่าเจ้าจะบ่มเพาะวิชาภายในนั้นได้อย่างไร”
  “วิชาลับห้าธาตุที่เจ้าพูดถึงเป็นแค่วิชาหนึ่งในการควบคุมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้แล้วเจ้าก็เข้าใจผิดว่ามันเป็นวิชาบ่มเพาะทั่วไป”
  ซือหยูสับสนแสดงว่าตระกูลชางก่วนที่มีมันก็ไม่รู้ว่ามันคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ พวกเขายังคิดว่าวิชาควบคุมสมบัติเป็นวิชาบ่มเพาะ!
  เจี๋ยนอู๋เชิงกล่าว
  “ก่อนที่จะบ่มเพาะวิชาควบคุมเจ้าต้องสื่อสารกับจิตวิญญาณของมันเสียก่อน มันจะชี้แนะให้เจ้าควบคุมมันได้อย่างดี”
  ซือหยูตื่นเต้น
  “ข้าจะสื่อสารกับมันยังไงรึ?”
  ซือหยูมองหอคอยและพยายามใช้เนตรวิญญาณแต่เขาก็มองทะลวงผ่านหอคอยไม่ได้ ดวงวิญญาณของเขามิอาจเข้าไปและถูกสะท้อนกลับมา
  “เจ้าต้องใช้พลังดวงวิญญาณในขั้นอสูรเนรมิตรจึงจะสื่อสารกับจิตวิญญาณมันได้ถึงพลังวิญญาณเจ้าจะดี มันก็ยังห่างชั้น…”
  เจี๋ยนอู๋เชิงกล่าว
  ซือหยูรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาด
  “แต่รางวัลที่เอาชนะข้าหาใช่เพียงการชี้แนะเจ้ามันยังรวมถึงการช่วยให้เจ้าสื่อสารกับมันด้วย”
  เมื่อเจี๋ยนอู๋เชิงมองคุกเทวะห้าธาตุระหว่างคิ้วของนางแยกออก ลำแสงบริสุทธิ์พุ่งออกมาและหายไปอย่างรวดเร็วในคุกเทวะ
  ร่างเงาของนางปิดตาแน่นกล้ามเนื้อบนใบหน้าหดเกร็ง ความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้า มันแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารกับจิตวิญญาณในสมบัติไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนาง
  ซือหยูเห็นว่ามีบางอย่างแปลกไปและก่อนที่เขากำลังจะหยุดนาง นางก็เบิกตาโพลง นางอุทานด้วยความตกตะลึง
  “พื้นที่ภายในกว้างมากการหาจิตวิญญาณของมันยากกว่าที่ข้าคิด”
  ซือหยูสับสน…แล้วทำไมนางถึงแสดงความเจ็บปวดบนใบหน้าออกมาเล่า?แล้วก็ดูเหมือนนางไม่รู้ตัวเลย
  “ท่านเจอจิตวิญญาณมันหรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  เจี๋ยนอู๋เชิงพลักหน้า
  “ข้าเจอมันแล้วแต่น่าเสียดายที่คุกเทวะห้าธาตุเก่าแก่เกินไป พลังของจิตวิญญาณอ่อนแอเกินไปมากแล้ว อีกไม่นานมันจะหายไปจากโลกใบนี้”
  ซือหยูเตรียมใจเอาไว้แล้วเพราะหม้อเก้ามังกรของเขาเองก็ไม่มีจิตวิญญาณเช่นกัน
  “ข้าจะช่วยเจ้าเรียกมันออกมาแต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันจะยอมรับเจ้าหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าคนเดียวเท่านั้น…”
  ร่างเงาเจี๋ยนอู๋เชิงกล่าว
  จากนั้นนางจึงกลายเป็นสัญลักษณ์นับไม่ถ้วนที่จะหายไปเมื่อลอยออกจากห้องฝึกเงามายาสายตานางยังคงจ้องมองซือหยู นางยิ้มจางๆ
  “หวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เจอกันในจิวโจวขอให้โชคดี…เจ้าเด็กดวงดี”
  หลังนางพูดจบก็หายไปโดยสมบูรณ์แต่ก่อนที่นางจะหายไปนั้นเอง ซือหยูยืนขึ้นประสานหมัดให้นาง
  “ขอบคุณท่านที่ชี้แนะข้าข้ามิอาจขอบคุณได้เพียงพอเลย”
  ในตอนนั้นเองแสงไร้สีได้แผ่ออกมาจากคุกเทวะห้าธาตุ เสียงดังมาจากหอคอย เสียงนี้ดูแปลกและไม่ใช่เสียงมนุษย์
  เสียงนั้นถามด้วยความสงสัย
  “คนที่ได้คุกเทวะห้าธาตุมาครองเป็นแค่มนุษย์งั้นเรอะ?อสูรอย่างข้าต้องมาเสียเวลาสอนภาษาอสูรกับมันอีก!”
  ซือหยูตาลุกวาว
  “ภาษาอสูรรึ?”
  แม้ว่าจะมีการค้นคว้าจากหยุนย่าสีเขาก็มิได้เชี่ยวชาญทุกภาษษ เขาเพียงแต่เข้าใจอย่างหยาบๆและสนทนาได้บ้าง แม้กระนั้น ซือหยูก็บอกได้ว่าภาษาที่เสียงนั้นพูดก็คือภาษาเผ่าอสูร!
  “ว้าว!มนุษย์คนนี้พูดภาษาอสูรได้!”
  เสียงตกใจดังมาจากคุกเทวะห้าธาตุผู้พูดนั้นค่อนข้างตกใจ
  คุกเทวะห้าธาตุสั่นเบาๆมังกรวารีสีเขียวเข้มพวยพุ่งออกมา มันมีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือ หลังจากบินออกจากคุกเทวะห้าธาตุ มันก็ไปยืนที่ด้านบนหอคอย
  มันดูอ่อนแออย่างมากมันอ่อนแอเสียยิ่งกว่าวิญญาณของภูติระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้าหากซือหยูอยากจะกำจัดมัน เขาจะทำเมื่อใดก็ได้
  “เจ้าคือจิตวิญญาณสมบัติรึ?”
  ซือหยูถามเขาพยายามสื่อสารกับมันด้วยภาษาอสูร
  แม้มังกรวารีนี้จะตัวเล็กมันก็ยังคงตกใจเมื่อพยักหน้าช้าๆ
  “ไม่คิดเลยว่าข้าจะโชคดีจนมาเจอมนุษย์ที่เข้าใจภาษาอสูรได้!คุกเทวะห้าธาตุมีผู้สืบทอดที่ผ่านคุณสมบัติ!”
  หลังพูดจบมังกรวารียืนขึ้น ร่างของมันเริ่มขยาย ในพริบตาเดียวมันก็เพิ่มขนาดตัวจนดวงตาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับซือหยู
  “เจ้ามนุษย์ข้าคือจิตวิญญาณคุกเทวะห้าธาตุ จะเรียกข้าว่าหยวนเจียวก็ได้”
  “ข้าอยู่มาเป็นหมื่นปีรับใช้มนุษย์มาเก้าคน เจ้าคือคนที่สิบ!”
  ซือหยูเลิกคิ้ว
  “เจ้าเป็นจิตวิญญาณจริงๆงั้นรึ?ทำไมสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ถึงมีจิตวิญญาณเป็นอสูรได้?”
  หยวนเจียวหัวเราะออกมา
  “ฮ่าๆๆๆ!คนโง่ย่อมไม่กลัว สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์เรอะ? เผ่ามนุษย์ของเจ้าอยู่ลำดับท้ายสุดในหมื่นเผ่าโบราณเพราะพวกเจ้ามันต่ำต้อยและอ่อนแอ! เจ้ายังตัดสินแม้แต่ชะตาตนไม่ได้ พวกเจ้าจะครอบครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?”
  หมื่นเผ่าโบราณรึ?นี่มันเรื่องอะไรกัน? มีสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกมนุษย์อีกหรือ? นี่เป็นความรู้ใหม่ของซือหยู
  มังกรวารีกล่าว
  “ถ้าข้าเลือกได้ก็คงไม่เลือกมนุษย์เป็นนายนั่นก็เพราะฐานพลังมนุษย์ต่ำ อายุขัยยังน้อย มนุษย์ใช้เวลาตลอดชีวิตเพียงแค่เรียนรู้วิธีควบคุมคุกเทวะห้าธาตุ ถึงตอนนั้นอายุขัยก็หมดลง ถึงตอนนั้นข้าก็ต้องไปรับใช้นายคนใหม่!”
  มังกรวารีส่ายหน้า
  “ถ้าเป็นอัจฉริยะเผ่าอสูรอสูรตนนั้นก็ใช้เวลาแค่สามร้อยปีในการควบคุมจนสมบูรณ์ อายุขัยอสูรเองก็ยืดยาวหลายพันปี คนผู้นั้นใช้คุกเทวะห้าธาตุได้ยาวนานกว่า”
  ซือหยูหรี่ตา
  “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรับใช้มนุษย์หรอก”
  หยวนเจียวที่ยืนอย่างโอหังตัวแข็งทื่อ
  “ข้าน่ะเป็นจิตวิญญาณสมบัติหน้าที่ข้าคือชี้แนะผู้เป็นนายให้ควบคุมสมบัติให้ได้”
  เมื่อได้ฟังคำโต้แย้งซือหยูถามอย่างใจเย็น
  “อย่างนั้นรึ?ถ้าเช่นนั้น…ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ายอมก็เพราะว่าเจ้ากลัวตายล่ะ?”
  แม้ซือหยูจะไม่เคยเจอจิตวิญญาณสมบัติมาก่อนซือหยูก็ยังเข้าใจว่ามันต้องการการฟื้นฟู ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าจิตวิญญาณสมบัติจะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆหากไร้เจ้าของ
  ตอนนี้หยวนเจียวอ่อนแอจนอยู่ในระดับเดียวกับภูติระดับหนึ่ง ถ้าหากไม่ถูกคนมาฟื้นฟูโดยเร็ว มันก็จะหายไปโดยสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็กล้าโอหังต่อหน้าซือหยู!
  หยวนเจียวจ้องเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
  “เจ้าเด็กมนุษย์นี่เจ้า…”
  ซือหยูพูดแทรกโดยไม่รอให้จิตวิญญาณพูดจบ
  “เจ้าควรจะฟังที่ข้าพูดถ้าเจ้าอยากจะเป็นจิตวิญญาณต่อไป จงหยุดโอหังต่อหน้าข้าเพียงเพราะเจ้าเป็นอสูร”
  ซือหยูพูดต่อ
  “ข้าไม่สนใจสมบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าข้าได้มาอีกชิ้น ถ้าเจ้าไม่เต็มใจช่วยข้าให้ควบคุมมันได้ ข้าจะผนึกเจ้าไปตลอดกาล!”
  หยวนเจียวหาได้โกรธไม่เขากลับหัวเราะ
  “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรอะ?เจ้าก็แค่เด็กโง่เขลา น้ำเสียงเจ้ายังอวดดี สมบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะได้…”
  เขาหยุดพูดทันทีเมื่อแสงอันตระการตาของทรายดาราทางช้างเผือกเปล่งประกายจากแขนขวาของซือหยู
  “ทรายดาราทางช้างเผือกอับดับยี่สิบเอ็ด!”
  หยวนเจียวตกตะลึง
  เขาคิดว่าเด็กมนุษย์โชคดีมากแล้วที่ได้คุกเทวะห้าธาตุที่อยู่ในลำดับเก้าพันแต่ซือหยูกลับมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นโดยที่เขาไม่คาดคิดและยังเป็นระดับสูงสุดในอันดับยี่สิบเอ็ด!
  “เจ้าเป็นใครกัน?มนุษย์ครอบครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้!”
  หยวนเจียวตะโกนร้องด้วยความตกใจ