ตอนที่ 843-844

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.843 – จิตตามปรารถนา
  ซือหยูเก็บทรายดาราทางช้างเผือกและพูดอย่างใจเย็น
  “เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใครข้าแค่จะบอกเจ้าว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์กระจอกๆอย่างเจ้าที่อยู่ลำดับเก้าพันไม่มีค่าในสายตาข้า และถ้าเจ้าทำให้ข้าหงุดหงิด ข้าจะฝังเจ้าในที่ที่ไม่มีใครหาเจ้าเจอ ถึงตอนนั้นเจ้าก็แค่นอนรอวันตาย!”
  หยวนเจียวโมโหมากแต่เมื่อมองดูแขนขวาซือหยูก็ได้แต่เป็นกังวล นั่นก็เพราะว่าซือหยูมีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในลำดับที่ยี่สิบเอ็ด เขาอาจจะไม่สนใจสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในระดับเก้าพันก็ได้!
  เมื่อลังเลและขัดขืนในใจไปชั่วครู่หยวนเจียวเริ่มลดขนาดตัวลงไป เขาใช้วิธีนี้เพื่อแสดงออกว่ายอมแพ้ต่อซือหยูแล้ว
  เขาไม่รู้ว่าซือหยูแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตื่นเต้นในดวงตาซือหยูจะไม่ดีใจได้อย่างไรเมื่อได้สมบัติศักดิ์สิทธิ์? เขาเพียงแค่หลอกให้จิตวิญญาณกลัวโดยไม่คิดเลยว่าจิตวิญญาณโอหังเช่นนี้จะยอมศิโรราบต่อเขา!
  “ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดอีกก็เริ่มบอกวิธีควบคุมคุกเทวะห้าธาตุกับข้าตั้งแต่ตอนนี้…”
  ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
  หยวนเจียวไม่ลังเลอย่างเคย
  “ถ้าเจ้าอยากควบคุมคุกเทวะห้าธาตุเจ้าต้องบ่มเพาะวิชาลับห้าธาตุจนจบเสียก่อน”
  เขาถาม
  “เจ้าอยากจะเรียนวิชาลับห้าธาตุรูปแบบไหน?”
  ซือหยูเลิกคิ้ว
  “วิชาลับห้าธาตุมีหลายรูปแบบงั้นหรือ?”
  “ถูกแล้ววิชาลับห้าธาตุมีทั้งแบบภาษามนุษย์กับภาษาอสูร ข้าแปลฉบับภาษามนุษย์มาเพื่อให้นายคนก่อนอ่านเข้าใจได้ง่าย”
  “แล้วมันต่างกันยังไง?”
  ซือหยูถาม
  หยวนเจียวตอบกลับ
  “มีความต่างระหว่างทั้งสองแบบวิชาลับห้าธาตุคือความเข้าใจของธาตุทั้งห้า เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ มิใช่สอนด้วยคำพูด”
  หยวนเจียวพูดต่อ
  “ฉบับแปลเป็นเพียงความเข้าใจของข้าที่ข้าเขียนเป็นภาษามนุษย์เนื้อหามิได้ถึงครึ่งของวิชาลับห้าธาตุของจริง ต่อให้มีคนเรียนรู้ฉบับของข้าไป คนผู้นั้นก็จะใช้พลังของคุกเทวะห้าธาตุได้เพียงครึ่ง”
  หยวนเจียวอธิบายต่อไป
  “ส่วนฉบับภาษาอสูรคือฉบับดั้งเดิมที่มีข้อมูลจำนวนมากถ้าเจ้าอยากจะใช้พลังทั้งหมด เจ้าก็ต้องเรียนรู้ฉบับภาษาอสูร”
  ซือหยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งตัวเขาเองนั้นรู้ภาษาอสูร เขาย่อมต้องการฉบับดั้งเดิมอยู่แล้ว
  ซือหยูรู้สึกขอบคุณหยุนย่าสีอย่างมากความรู้เรื่องภาษาของหยุนย่าสีเป็นทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดและมีประโยชน์กับเขามาก
  “ข้าอยากอ่านฉบับภาษาอสูร”
  ซือหยูตอบ
  หยวนเจียวดีใจมาก
  “ดีล่ะ!ที่เจ้ารู้ภาษาอสูรก็ประเสริฐอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าควบคุมสมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้ได้เร็วเท่าไหร่ ข้าก็จะยิ่งฟื้นตัวเร็วเท่านั้น”
  หยวนเจียวกลับเข้าไปยังคุกเทวะห้าธาตุมีสัญลักษณ์สีทองที่ดูซับซ้อนมากมายหมุนวนไปมา พวกมันดูราวกับฝูงหิ่งห้อย
  “วิชาลับห้าธาตุมีอักษรอสูรเก้าร้อยตัวแต่ละตัวมีความคิดที่ต่างกันเก้าพันเก้าร้อยความคิด หากมนุษย์จะเข้าใจสักอักษรก็ต้องใช้เวลาร้อยวัน หากจะเข้าใจทั้งเก้าร้อยตัวก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามร้อยปี! เจ้าควรจะเริ่มได้แล้ว!”
  หยวนเจียวกล่าว
  ซือหยูปล่อยเสี้ยววิญญาณไปสัมผัสอักษรแรกพลังวิญญาณของเขาราวกับปะทะวายุหมุน มันถูกดูดเข้าไปบนท้องนภาที่มีรังสีพลังห้าพลังที่แตกต่างกัน มันปรากฏในจิตใจซือหยูในไม่นาน
  “เหล็กไม้ วารี อัคคี ธรณี!”
  ซือหยูระบุพลังทั้งห้าด้วยเสียงเขาแปลกใจ
  “พลังสงบนิ่งนัก!”
  ทั้งห้าธาตุมีสัมพันธ์อันไม่สอดคล้องต่อกันนั่นก็เพราะแต่ละพลังนั้นเป็นสิ่งที่ต่อต้านกัน นั่นทำให้พลังทั้งห้ามักจะปั่นป่วนต่อกัน แต่รังสีพลังของห้าธาตุที่นี่นั้นค่อนข้างสงบ
  ซือหยูมองรังสีทั้งห้าธาตุที่เริ่มปั่นป่วนอย่างที่เขาคาดคิดธาตุทั้งห้าเริ่มดับกันและกัน นั้นทำให้รังสีพลังของพวกมันอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
  ต้นกำเนิดของธาตุทั้งห้านั้นมีอยู่มากมายทุกขอบเขตนั้นล้วนสร้างจากธาตุทั้งห้า แม้แต่ท้องนภาที่นี่ก็สร้างจากห้าธาตุ และธาตุทั้งห้านี้เองก็ทำให้ที่นี่เริ่มล่มสลาย ในแค่พริบตาท้องนภาก็ฉีกขาดออกจากัน
  ซือหยูมองโลกมืดสนิทด้วยสายตาว่างเปล่าเขามิอาจบอกได้ว่าสิ่งใดเป็นความจริง ในตอนนี้ เกิดเสี้ยวพลังห้าธาตุในโลกอันวุ่นวาย มันอ่อนแอราวกับเพลิงที่พร้อมจะดับมอด
  แต่พลังของธาตุทั้งห้าได้เกื้อกูลพึ่งพากันจนแข็งแกร่งขึ้นจนถึงขั้นเติมเต็มโลกทั้งใบเมื่อธาตุธรณีมั่นคง มันก็ได้กลายเป็นดินและก่อร่างแผ่นทวีป
  วารีนั้นหลอมรวมกับพลังก่อนหน้ากลายเป็นหยาดฝนที่ทำให้แผ่นดินชุ่มชื้นธาตุไม้ลงมากลายเป็นพืชผักปกคลุมโลก จากนั้นธาตุเหล็กก็ได้กลายเป็นเทือกเขา ส่วนธาตุไฟนั้นปะทุไปยังภูเขาไฟทำให้สิ่งรอบข้างอบอุ่น
  “นี่มันการสร้างโลก!”
  ซือหยูอ้าปากค้าง
  จากนั้นเมื่อธาตุทั้งห้าไปถึงจุดสุดยอดอีกครั้ง มันก็เริ่มปั่นป่วนและทำลายกันเอง จากนั้นโลกก็ตกอยู่ในความวุ่นวายตามเดิม งั้นตอนต่างๆเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  ซือหยูผู้มองสิ่งที่เกิดขึ้นรู้สึกว่าเขาผ่านระยะเวลามาหลายปีและเหม่อลอย
  ที่โลกภายนอกหยวนเจียนโผล่หน้ามามองซือหยูที่กำลังอยู่ในความคิด หยวนเจียวพูดอย่างใจเย็น
  “ข้าต้องรออย่างน้อยก็ร้อยวันเพื่อให้เขาเข้าใจอักษรอสูรสักตัว อ๊ากก! ทำไมข้าต้องมาเป็นของมนุษย์อีก? ข้าจะไม่มีเวลาเหลืออยู่แล้วนะ”
  มันยังคงรู้สึกเหนือกว่าเมื่อต้องเจอมนุษย์มันถอนหายใจ
  “ถ้าเป็นอสูรมีพรสวรรค์ล่ะก็…เขาคงใช้เวลาเข้าใจอักษรเดียวแค่สามวันเท่านั้น”
  หยวนเจียวถอนหายใจอีกครั้ง
  “อีกร้อยวันข้าค่อยกลับมาดูใหม่ถ้าเขาเข้าใจหนึ่งอักษรได้ในร้อยวัน เขาก็นับว่าเป็นคนที่มีปัญญาเหลือล้ำในเผ่ามนุษย์ด้วยกันเอง แต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ข้าก็แค่หาทางหนีไปหานายใหม่”
  แต่มันก็ตกตะลึงขณะที่จะกลับหอคอยเมื่อมองอักษรทั้งเก้าร้อยตัวก็พบวง่าแสงของหนึ่งอักษรหายไปแล้ว
  หยวนเจียวเบิกตากว้าง
  “เขาเข้าใจอักษรตัวนั้นแล้วเรอะ?เป็นไปไม่ได้! นี่มันนานเท่าไหร่กัน? ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ ต่อให้อัจฉริยะไร้เทียมทานของเผ่าอสูรข้าก็เข้าใจหนึ่งอักษรในชั่วยามเดียวไม่ได้!”
  ในสายตาหยวนเจียวสิ่งที่ต่ำต้อยอย่างมนุษย์นั้นมิอาจเทียบอสูรได้ แต่ซือหยูกลับเหนือกว่าทุกสิ่งที่มันเคยรับรู้! ตอนนั้นเอง ซือหยูเบิกตาโพลง หากสังเกตให้ดีจะพบว่ารังสีพลังห้าธาตุรอบตัวเขาหนาแน่นขึ้น แต่มันก็อ่อนลงไปเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
  “ห้าธาตุคือต้นกำเนิดของโลกทุกสิ่งล้วนเกิดจากธาตุทั้งห้า ส่วนตัวข้านั้น ข้าจะควบคุมธาตุทั้งห้า…”
  ซือหยูพูดเบาๆเขายื่นมือคว้าอากาศข้างหน้า ในตอนนั้นเอง สสารจางๆของทั้งห้าธาตุได้หมุนวนรอบหมัดของเขา
  หยวนเจียวเบิกตากว้างและอ้าปากค้าง
  “ขอบเขตห้าธาตุตามปรารถนา!เขาเข้าใกล้มาก!”
  “เขาเป็นใครกันแน่?”
  หยวนเจียวคิดด้วยความตื่นเต้น
  “เขาเป็นมนุษย์จริงๆรึ?มีแค่คนจากเผ่าในตำนานอย่างเผ่าเทวะเท่านั้นที่มีระดับปัญญาระดับนี้ แต่เผ่าเทวะล้วนเป็นสตรี เขาอยู่ในเผ่าใดกัน?”
  เขาไม่คิดว่าซือหยูเป็นมนุษย์และคิดว่าเป็นเผ่าใดเผ่าหนึ่งที่มีความลึกลับ
  ห้าธาตุตามปรารถนารึ?นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซือหยูได้ยินสิ่งนี้ เพราะปิงหวูชิงเองก็มาถึงขอบเขตนี้เช่นกัน ซือหยูไม่รู้ว่าขอบเขตนี้คือสิ่งใด แต่เมื่อเข้าไปในอักษรอสูร เขาก็เข้าใจมันได้
  ทุกอย่างมีขีดจำกัดไม่ว่าจะสูงส่งหรือตระการตาเพียงใดไม่ว่ากระบี่จะคมเพียงไหนก็ย่อมมีขีดจำกัด
  ทุกวิชากระบี่ของคนทั่วไปจะหยุดลงเมื่อบ่มเพาะจนถึงคอขวดขณะที่อัจฉริยะจะก้าวข้ามไปยังวิถีกระบี่ใหม่ ซึ่งขอบเขตนั้นก็คือกระบี่ตามปรารถนา
  หยวนเจียวนั้นเห็นว่าซือหยูใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามแต่ซือหยูรู้ตัวว่าเขามีพลังเร่งเวลา เขาได้ผ่านเวลาหนึ่งพันชั่วโมงไปและพบกับการทำลายล้างโลกและเกิดใหม่ราวห้าสิบครั้ง!
  การเกิดใหม่และการทำลายได้สื่อถึงตัวตนที่จริงแท้ของธาตุทั้งห้าซือหยูรู้สึกว่าเขากำลังก้าวข้ามอะไรบางอย่าง
  ในอดีตเขานั้นเชี่ยวชาญวิชาน้ำแข็ง ไฟ และสายฟ้า แต่วิชาเหล่านั้นจบลงเมื่อเขาเป็นภูติเพราะมิอาจไปต่อได้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาจึงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น
  เมื่อได้เห็นวงโคจรของธาตุทั้งห้าซือหยูมองโลกทั้งใบใหม่ เมื่อถึงขอบเขตห้าธาตุตามปรารถนา เขารู้สึกว่าตัวเขาเองกลายเป็นธาตุทั้งห้า ซึ่งทำให้เขาควบคุมพวกมันได้อย่างง่ายดาย
  แต่เขาต้องเดินไปอีกไกลกว่าจะถึงขอบเขตสุดยอดลำแสงในแววตาซือหยูสลายไปมากแล้ว ดวงตาของเขากลับมาเป็นอย่างเดิม
  ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงประตูที่เปิดออกเวลาในห้องฝึกเงามายาของเขาหมดลงแล้ว
  ซือหยูรีบเก็บคุกเทวะห้าธาตุลงในแหวนมิติจากนั้นซึ่งซ่อนรังสีพลังห้าธาตุของตัวเองและทำสีหน้าตามเดิม เขาเดินออกจากห้องฝึกเงามายา
  เขาบ่มเพาะพลังจบลงแล้วนี่เป็นเวลาที่เขาจะต้องรับภารกิจไปเมืองเทียนหยา แต่เมื่อซือหยูก้าวออกมาจากห้องฝึกก้าวเดียว สัญลักษณ์บนกำแพงของเขาก็ปะทุออกมา ลำแสงสว่างจ้าพุ่งทะยานไปยังท้องนภา!
  ลำแสงนี้เปล่งประกายไปหมื่นลี้มิเพียงแต่ตำหนักนอกที่สว่างเพราะแสง แต่ป่าขังภูติยังเปล่งประกาย!
  ดวงตาของม่อเทียนฉวนที่อยู่ตำหนักในเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง
  “ร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงพ่ายแล้ว…”
  ที่ห้องหนึ่งสตรีผู้หยิ่งยโสและงดงามเป็นอย่างมากมองท้องฟ้าพร้อมยืนขึ้น นางกำหมัดจนแน่น
  “ใครกันที่เอาชนะร่างเงา?ฝีมือผู้ใดกัน?”novel-lucky
  ที่ตำหนักนอกเจ้าตำหนักลืมตาขึ้นในทันทีด้วยความตกใจ
  “ห้องฝึกเงามายา…ร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงแพ้แล้ว…ใครกัน?”
  รองเจ้าตำหนักทั้งสองทะยานขึ้นฟ้าและมองลำแสงสว่างจ้าหนึ่งในนั้นถามด้วยความตกใจ
  “ร่างเงาร้อยปีถูกทำลายในกระบวนท่าเดียว!ฝีมือศิษย์นอกงั้นเรอะ?”
  ทุกคนเงยหน้ามองภาพอันตระการตาพาแสงหายไป พวกเขาก็พบว่าต้นกำเนิดแสงมาจากห้องฝึกเงามายา
DND.844 – ความวุ่นวายในตำหนัก
  ที่ห้องฝึกซือหยูขนลุกเพราะความวุ่นวาย เขาสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวจากสี่ทิศทางจนเขาไม่กล้าที่จะอยู่นานไปกว่านี้ เขาจึงรีบใช้โอกาสตอนที่ยังไม่มีใครมาถึงหนีไปอย่างรวดเร็ว
  แต่แม้ว่าเขาจะรีบหนีไปก็ยังมีศิษย์นอกหลายคนที่บ่มเพาะพลังในห้องฝึกด้านนอกห้องฝึกเงามายาเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะซ่อนตัวจากทุกคน
  “นั่นมันซือหยูเซี่ยนอสูรเรือนกลาง! เขาออกจากห้องฝึกเงามายา!”
  “ข้าก็เห็น!ข้าจำได้แม่นนัก เขาคือซือหยูเซี่ยนที่เอาชนะเฉาเฉิงเฟิงในการทดสอบประจำฤดู”
  “นั่นแหละเขา!ก่อนทดสอบเขาเสมอกับเจี๋ยนอู๋เชิง แล้วตอนนี้เขาก็เอาชนะนางได้ เขายังซ่อนพลังเอาไว้ในตอนทดสอบประจำฤดู!”
  ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วผ่านการบอกเล่าปากต่อปากคนตำหนักนอกทุกคนรู้ข่าวในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม ที่เรือนจ้าวหอเพลิงคลั่ง เว่ยเจิงกับเสวี่ยฉีเพิ่งจะกล่าวลาจ้าวหอเพลิงคลั่ง
  การทดสอบของตำหนักนอกจบลงแล้วพวกเขารู้แล้วว่าจะต้องผูกมิตรกับศิษย์คนใด ตอนนี้พวกเขาเพียงแค่ต้องส่งวัตถุดิบที่ยังไม่เจียระไนให้กับเจ้าตำหนักซ้าย เหล่าสมาชิกระดับสูงจะเลือกว่าใครเหมาะสมที่จะได้เป็นคนสำนักซ้าย
  “ถ้าท่านอาต้องการสิ่งใดบอกได้เลยข้าจะรีบกลับมาช่วยท่านที่ตำหนักนอก!”
  เสวี่ยฉีบอกจ้าวหอเพลิงคลั่งอีกครั้งก่อนจะกลับตำหนักนอกแต่ก็น่าเสียดายที่นางถูกปฏิเสธตามเคย
  เว่ยเจิงพูดตาม
  “เสวี่ยเหลียนขออภัยที่รบกวนเจ้าในหลายวันที่ผ่านมา ข้าจะกลับแล้ว ถ้าวันหนึ่งซือหยูเซี่ยนเปลี่ยนใจ โปรดบอกให้เขามาพบข้าที่ตำหนักใน ข้าจะประเมินเขาอีกครั้ง”
  ในสายตาของเขาเขาคิดว่าซือหยูจะต้องเปลี่ยนใจแน่นอน เพราะผู้ที่อยู่ในตำหนักนอกมานานนั้นจะเข้าใจว่าเขาต้องการสำนักหนุนหลังอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น ถ้าซือหยูอยากเข้าสำนักซ้าย เขาก็จะหาทางเพื่อทดสอบซือหยูอีกครั้ง
  จ้าวหอเพลิงคลั่งถอนหายใจเมื่อเว่ยเจิงพูดถึงซือหยูนางเสียดายที่ซือหยูตัดสินใจเช่นนั้น
  แต่ทันใดนั้นเองแสงตระการตาพุ่งสูงสุดฟ้า โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว
  “แสงจากห้องฝึกเงามายา!”
  จ้าวเทวะคนหนึ่งตะโกนจ้าวเทวะทุกคนที่มองดูอยู่รู้ตำแหน่งที่มาของแสงในทันที
  จ้าวหอเพลิงคลั่งตกใจ
  “ร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงถูกทำลายแล้วข้าได้ยินว่านางจะทำลายตัวเองถ้ามีคนชนะนาง!”
  เว่ยเจิงเบิกตากว้าง
  “เจี๋ยนอู๋เชิงแพ้!”
  เขารู้อยู่แล้วว่าร่างเงาที่เจี๋ยนอู๋เชิงทิ้งเอาไว้จะปรับฐานพลังให้ตรงตามผู้ที่ประลองด้วยแต่ถึงอย่างนั้น แม้แต่ภูติระดับหนึ่ง จ้าวเทวะ หรืออสูรเนรมิตรก็มิอาจเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงได้เลย! เพราะนางคือตำนานไร้พ่าย!
  ถ้ามีคนเอาชนะนางได้คนผู้นั้นก็คือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจี๋ยนอู๋เชิงในระดับเดียวกัน และถ้าเขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในความเร็วเดิม เขาก็อาจจะเทียบได้กับเจี๋ยนอู๋เชิงตัวจริง!
  เว่ยเจิงหยุดหายใจเขาถามด้วยความตกตะลึง
  “ผู้มีพรสวรรค์นี่คือใครกัน?ผู้ใดที่เอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงได้?”
  และจู่ๆภาพของชายคนหนึ่งก็ปรากฏในหัวของจ้าวหอเพลิงคลั่งเสวี่ยฉี และเว่ยเจิง นั่นก็คือซือหยูเซี่ยน!
  “อย่าบอกนะว่าเป็นเขา?”
  เสวี่ยฉีไม่อยากจะเชื่อเพราะการเสมอกับการเอาชนะนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก
  จ้าวหอเพลิงคลั่งดีใจ
  “ถ้าเป็นคนจากตำหนักนอกก็ไม่มีใครนอกจากซือหยูเซี่ยนแล้วล่ะ”
  เว่ยเจิงตัวสั่นแววตาของเขาว่างเปล่า
  “เป็นเขา…”
  ถ้าหากเขาเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงได้จริงข่าวเรื่องความไร้เทียมทานของเขาจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนพรสวรรค์ มันอาจจะไปถึงทั้งทวีปจิวโจว! ทุกสำนักจะยอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ได้คนมีพรสวรรค์ผู้นี้!
  ถ้าเจ้าตำหนักซ้ายรู้เรื่องนี้เขาจะพยายามซื้อใจซือหยูให้ได้เช่นกัน แต่ถ้ารู้ว่าชายคนนี้หลุดมือไปล่ะก็…
  เว่ยเจิงหน้าซีดเมื่อคิดเรื่องนี้หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาอยากจะร้องไห้ออกมาให้น้ำตาหมดเบ้า แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมา
  เขาไม่รู้จะทำสิ่งใดนอกจากโทษซือหยู…หากมีคุณสมบัติเช่นนี้ใยไม่แสดงออกมาให้เร็วกว่านี้เล่า?ถ้าแค่แสดงพลังออกมา ข้าก็คงไม่ทำเช่นนั้นตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งแรก!
  แต่แม้ว่าเขาจะก่นด่าซือหยูในใจเว่ยเจิงก็ยังต้องตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบบินพุ่งไปยังห้องฝึกโดยไม่รอสองคนที่เหลือ
  ณตำหนักใน ร่างเงาทมิฬหลายคนบินผ่านฟ้า เห็นเป็นราวสามคนที่กำลังออกไล่ตามอะไรบางอย่าง
  “ศิษย์พี่ลู่ร่างเงาของเจี๋ยนอู๋เชิงพ่ายแพ้หลังจากเรากลับตำหนักใน คนผู้นั้นจงใจต่อต้านเรางั้นรึ?”
  ศิษย์น้องเหือสีหน้าหม่นหมองนางไม่มีพอใจจนออกทางสีหน้า
  ลำแสงทะยานขึ้นฟ้าหลังจากที่พวกเขากลับมาถึงตำหนักในพวกเขาจึงถูกศิษย์น้องปิงสั่งให้ไปยังตำหนักนอกอีกครั้งเพื่อหาข้อมูล ส่วนความจริงนั้นพวกเขารู้อยู่แล้ว เพราะคนเดียวในตำหนักนอกที่จะทำสิ่งนี้ได้ก็คือซือหยูเซี่ยน!
  ศิษย์พี่ลู่ตกใจมาก
  “ศิษย์น้องเหือมันไม่สำคัญอีกแล้ว เราต้องรีบไปก่อนที่คนอื่นจะเจอตัวซือหยูเซี่ยน”
  เมื่อศิษย์น้องเหือตามไปนางก็พบกลุ่มศิษย์ในอีกสองกลุ่มที่ตามหลังพวกเขามาศิษย์น้องเหือดวงตาสั่นระริก
  “นั่นมันคนระดับสูงของสำนักซ้ายขวาพวกมันปรากฏตัวออกมาด้วย”
  ศิษย์พี่ลู่พยักหน้า
  “ใช่แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่เจ้าตำหนักม่อก็อาจจะสนใจเรื่องนี้ เราต้องรีบไปดูว่าใครอยู่เบื้องหลัง คงวิเศษนักหากเราเชิญเขาเข้าตำหนักในและส่งเขาให้ศิษย์น้องปิงได้”
  ศิษย์น้องเหือสีหน้าย้ำแย่ยิ่งกว่าเมื่อได้ฟังนางพยักหน้าและพุ่งออกไปยังตำหนักนอกด้วยความเร็วสูงสุด
  พร้อมกันนั้นในตำหนักนอก เจ้าตำหนักทั้งสาม อสูรทั้งสี่ และเว่ยเจิงกับหลานอาเสวี่ยพุ่งไปยังห้องฝึก
  …
  เจ้าตำหนักยืนอยู่หน้าห้องฝึกเงามายาที่เกิดเรื่องด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเขามองดูซากที่ถูกทำลายบนกำแพง
  “มีใครเห็นศิษย์ที่ออกมาจากห้องนี้บ้าง?”
  ผู้คนมองหน้ากันด้วยสายตาว่างเปล่าห้องฝึกในตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คน แต่ส่วนมากก็มาถึงเมื่อไม่นาน
  ในตอนนั้นเองเสียงสั่นอันตื่นเต้นได้ดังขึ้นมา
  “ข้าเห็น!”
  สายตาทุกคู่หันไปมองผู้ที่พูดโดยพลันพวกเขาพบคนตระกูลชางก่วนท่ามกลางผู้คนในไม่นาน เจ้าตำหนักโบกมือใช้พลังไร้ลักษณ์ดึงคนตระกูลชางก่วนผู้นั้นเข้าหาเขา
  “เจ้าชื่ออะไร?”
  เจ้าตระกูลมองดูเขาอย่างละเอียด
  คนตระกูลชางก่วนแทบจะไม่กล้าหายใจเสียงดังต่อหน้าเขาเขาเพียงแต่ก้มหน้าตอบ
  “ข้าชางก่วนเฟยข้าเป็นคนตระกูลชางก่วนจากทางใต้”
  เขามิใช่ใครอื่นเขาคือชางก่วนเฟย!
  “เอาล่ะชางก่วนเฟย เจ้าพูดว่าเจ้าเจอเขา เจ้าเห็นกับตาใช่หรือไม่?”
  เจ้าตำหนักถามขณะที่จ้องมอง
  ชางก่วนเฟยคุกเข่าตอบเขากระวนกระวายเพราะอยู่ต่อหน้าเจ้าตำหนัก
  “ใช่แล้ว!ข้าเห็นเขากับตา”
  “ผู้ใดกัน?”
  เจ้าตำหนักตาเป็นประกายเขาถามด้วยความตื่นเต้น
  ชางก่วนเฟยตัวสั่นเขาเกือบจะล้มลงกับพื้นก่อนจะรีบตอบ
  “ซือหยูเซี่ยน!ข้ามั่นใจ!”
  ทุกคนส่งเสียงแตกตื่นทุกคนเริ่มพูดคุยกันทันที…
  “เป็นเขาจริงๆด้วยอสูรเรือนกลาง! ข้าบอกแล้วว่าต้องเป็นเขา!”
  “จริงเรอะ!เขาเสมอกับเจี๋ยนอู๋เชิงมาก่อน แล้วตอนนี้ก็เอาชนะนางได้ ในตำหนักนอกไม่มีใครนอกจากเขาที่จะทำได้อีกแล้ว”
  “อ๊ากกก!ปีศาจตัวประหลาดปรากฏในตำหนักนอก ตอนนี้เขาเป็นแค่ภูติระดับสาม ถ้าฐานพลังเพิ่มขึ้นไปอีก…มิใช่ว่าเขาจะเทียบได้กับจ้าวเทวะเลยหรือ?”
  จ้าวตำหนักเบิกตากว้างแม้เขาจะยังตกใจ เขาก็คิดว่าเป็นไปได้ เพราะพวกเขากำลังพูดถึงซือหยูเซี่ยนผู้ที่มีโอกาสสูงที่สุดในการทำเรื่องนี้ของตำหนักนอก!
  รองเจ้าตำหนักทั้งสองตกใจไม่ต่างกันพวกเขาพูดไม่ออกเป็นเวลานาน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กมีพรสวรรค์ที่พวกเขาได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจจะมีคุณสมบัติอันน่ากลัวถึงเพียงนี้!
  เขาเป็นแค่ภูติระดับสามแต่กลับเอาชนะเจี๋ยนอู๋เชิงที่เป็นภูติระดับสามได้!ถ้าเขาเดินในวิถีแห่งพลังไกลขึ้น เขาจะกลายเป็นอีกตำนานของตำหนักโลหิต!
  อสูรทั้งสี่แสดงสีหน้าแตกต่างกันไป่ชานเหลียงยิ้มจางๆ เขาไม่แปลกใจเลย ส่วนเทียนเหรินเหยานั้นตาเป็นประกาย
  อสูรน้อยกลอกตานางพูดเบาๆ
  “เจ้าคนน่าเกลียดนั้นทำได้ขนาดนี้เลยรึ?ก็ดี…อย่างน้องข้าก็ไม่ได้ขอให้ลุงหลานช่วยโดยเปล่าประโยชน์”
  ปิงหวูชิงจับกระบี่ในมือแน่นนางอยากจะต่อสู้ยิ่งขึ้นไปอีก
  “ดีจริงๆ!ข้าไม่เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรมานานแล้ว ซือหยูเซี่ยน ข้าจะต้องสู้กับเจ้าให้ได้!”
  ผู้คนพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติกับความกระหายการต่อสู้ของปิงหวูชิงพวกเขาล้วนตกตะลึงและตื่นเต้น นาม ‘ซือหยูเซี่ยน’ ได้สลักอยู่ในใจศิษย์นอกทุกคนในทันที
  เจ้าตำหนักหันไปถามต่อ
  “พอออกจากห้องแล้วเขาไปไหน?”
  ชางก่วนเฟยยิ้มอย่างขมขื่น
  “ข้าไม่เห็นเลยพอเขาออกมา ร่างของเขาก็สลายหายไป!”
  เขาหนีไปเรอะ?ผู้คนคิดแบบเดียวกัน พวกเขารีบแยกกันไปตามหาซือหยู
  ต่อให้พวกเขาไม่เป็นสหายกับซือหยูพวกเขาก็จะได้ประโยชน์หากแค่รู้จักกัน และศิษย์ชายหลายคนก็พาสาวสวยติดตัวไปด้วยโดยจงใจ
  …
  ขณะที่ทุกคนตามหาซือหยูซือหยูก็มาถึงจุดรับภารกิจ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามา
  ครั้งแรกนั้นคือการรับภารกิจไปเขาวิญญาณจรัสและตอนนี้เขาจะใช้ตรามัจฉามังกรในการรับสิทธิ์พิเศษในการทำภารกิจเป็นเจ้าของร้านเมืองเทียนหยา เมื่อมาจุดรับภารกิจอีกครั้งเขาก็พบว่ามันมีคนน้อยยิ่งกว่าเดิม ความจริงแล้วไม่มีศิษย์สักคนนอกจากคนทำหน้าที่ดูแลที่นี่!
  มันเป็นเพราะศิษญ์ทุกคนต่างพุ่งออกไปหาซือหยู
  “เรื่องมันจะไม่ใหญ่ไปหน่อยหรือนี่?”
  ซือหยูรีบมาที่นี่เพื่อจะไม่ให้ถูกสงสัย!เขาคิดว่าเป็นการดีที่จะออกจากตำหนักไปสักพัก และมันก็พอดีกับตอนที่เขาต้องการทำภารกิจที่ต้องออกจากตำหนัก
  รายการภารกิจนั้งแบกเป็นรายการมนุษย์และรายการผีรายการมนุษย์เป็นภารกิจธทั่วไปที่จะพาคนไปด้วยได้ ตามปกติจะมีคนมารอที่นี่หนึ่งพันคนทุกวัน พวกเขาต่างแยกชิงภารกิจที่ดีที่สุด
  ส่วนภารกิจผีนั้นเป็นภารกิจพิเศษและทุกภารกิจนั้นอันตรายมาก ยากมาก และต้องการเงื่อนไขพิเศษ
  ซือหยูจำได้ว่ามีภารกิจหนึ่งในรายการผีที่ยังคงไม่สำเร็จแม้จะผ่านไปสิบปีหลังจากการออกภารกิจรางวัลของมันไปถึงสามล้านคะแนนแล้ว!
  ซือหยูมายืนหน้ารายการเขามองชายแก่ตัวผอมที่นั่งอยู่ด้านหน้า เขาหยิบตรามัจฉามังกรออกมา
  “ข้าจะทำภารกิจเมืองเทียนหยาและเป็นเจ้าของร้านที่นั่น”
  ชายแก่ลืมตามองซือหยูเขารับตรามัจฉามังกรไปดูอย่างละเอียด เมื่อลูบตราเบาๆก็พบหมายเลขห้าสิบปรากฏขึ้น
  “สิทธิ์พิเศษขั้นห้าสิบ!เจ้าไปเป็นเจ้าของร้านเมืองเทียนหยาได้ แต่จำนวนขั้นของเจ้ายังน้อย เจ้าทำได้แค่ทำงานในร้านระดับต่ำ…”
  ชายแก่กล่าว
  เขาพูดต่อ
  “มีร้านระดับต่ำร้อยร้านมีแค่สามร้านที่ว่างอยู่ เจ้าจะเลือกร้านไหน?”
  ชายแก่ให้สิ่งที่เขียนรายละเอียดของร้านทั้งสามซือหยูรับไปอ่าน