ประตูทอง

อควาโรสและคนอื่นๆนั้นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เมื่อได้เห็นประตูทองปรากฎขึ้นตรงหน้าทางเข้าของคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการ

แม้ว่าประตูนี้จะมีความสูงเพียงแค่แปดเมตร แต่มันก็แผ่ออร่าที่ให้ความรู้สึกโบราณกับศักสิทธิ์มากๆออกมา แถมมันยังดึงดูดมานาจำนวนมากให้เข้าหามันด้วย ซึ่งผลของเรื่องนี้นั้นมันส่งผลต่อร่างมานาของสมาชิกสภาสิบแปดปีกทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ

แม้ว่าจะมีอักษรรูนศักสิทธิ์และภาพถูกแกะสลักไว้ที่ประตู แต่อักษรรูนและภาพเหล่านี้นั้นก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลย เมื่อผู้เล่นพยายามจะตรวจสอบมัน เพราะทั้งอักษรรูนและภาพนั้นมันเบลอมาก อย่างไรก็ตามมันก็ให้ความรู้สึกหนักอึ้ง และทำให้หลายคนอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก

“เครื่องหมายบนประตูนั่นคืออะไรกัน ? ฉันพยายามจะตรวจสอบมันมาครู่หนึ่งแล้ว แต่มันผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันไปอย่างมากยิ่งกว่าการใช้เทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงติดต่อกันซะอีก” อควาโรสอุทานออกมาเสียงดัง ซึ่งหลังจากตรวจสอบอักษรรูนและภาพทั้งหมดนี้แล้ว เธอก็ได้เลือกจะถอยห่าง และหันหลังออกจากประตูมา

เธอนั้นได้เห็นสิ่งที่น่าทึ่งมามากมายใน God domain แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เธอได้พบกับบางสิ่งที่ผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ หลังจากเธอพยายามใช้สกิลตรวจสอบมองไปแค่ไม่กี่วินาที และเธอก็ไม่สงสัยเลยว่า ถ้าเธอจ้องมองไปยังประตูนี้อีกสักครู่ ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอจะหมดลงไปเลยแน่นอน

ไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆก็ทำแบบเดียวกับอควาโรสด้วยความกลัวว่าตัวเองจะเจอกับปัญหาใหญ่ หากยังคงจ้องมองและพยายามตรวจสอบมัน

ผู้เล่นของ God domain นั้นจะหมดสติไปทันที เมื่อค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจหมดลง ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้น ผลลัพธ์ของมันจะรุนแรงยิ่งกว่าที่ค่าสตามิน่าหมดลงซะอีก

เมื่อค่าสตามิน่าของผู้เล่นหมดลง พวกเขาจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ไป แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้เล่นหมดลง พวกเขาก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่สภาวะหมดสติ และต้องใช้เวลานานมากกว่าจะฟื้นฟูตัวเองได้ ซึ่งนี่มันนับเป็นเรื่องร้ายแรงมากสำหรับผู้เล่นชั้นแนวหน้า

“นี่เป็นเรื่องปกติ ข้อมูลเกี่ยวกับประตูทองนี้นับเป็นมรดกที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นมรดกที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และซับซ้อนกว่าเทคนิคการต่อสู้ที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นจะสามารถตรวจสอบและมองเห็นได้ง่ายๆ” ซือเฟิงกล่าว เมื่อเขาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของคนของเขา เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวต่อว่า “ถ้าทุกคนพยายามมองและตรวจสอบมรดกนี้นานเกินไป มันจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเองมากกว่าห้าวันเลย”

ประตูมรดกที่ถูกทิ้งไว้ในป้อมปราการโบราณแบบนี้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ ทองแดง เงิน และทอง

ซึ่งแต่ละระดับนั้นจะแข็งแกร่งกว่าระดับก่อนหน้าอย่างมาก และมรดกที่ผู้เล่นจะได้รับจะมีความสมบูรณ์มากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับระดับของประตูนี่แหละ ในทำนองเดียวกันยิ่งระดับของประตูสูงเท่าไหร่ การทดสอบก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายคนก็ยังต้องดิ้นรนอย่างมากเลยในการจะเคลียร์การทดสอบโหมดทั่วไป ที่เป็นประตูระดับทองแดง

ขณะที่ประตูระดับทองนั้นก็จะมีแค่เฉพาะในโหมดอาชูร่า และพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งการจะเคลียร์มันให้ได้ก็ยาก และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดก็ยังต้องรู้สึกสิ้นหวังกับความท้าทายนี้ ….

ซือเฟิงนั้นได้คาดเดาไว้ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ระดับของประตูในป้อมปราการแสงดาวนั้นก็ควรจะอยู่ที่ระดับเงิน เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นประตูมรดกระดับทอง ซึ่งตอนนี้มันทำให้การเข้ายึดคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการแห่งนี้ให้ได้นั้นมันยากพอๆกับการเข้ายึดคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการขนาดใหญ่เลย ….

นี่ระบบได้ยกระดับความยากขึ้น เพราะพวกเราเป็นกลุ่มแรกที่เข้ายึดป้อมปราการโบราณได้งั้นหรอ ? คำถามนี้มันหมุนอยู่ในหัวของซือเฟิง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังประตูทองตรงหน้าเขา

โดยปกติป้อมปราการขนาดเล็กส่วนใหญ่นั้นจะมีแค่ประตูระดับเงินเท่านั้น ขณะที่ป้อมปราการขนาดกลางก็จะมีโอกาสเพียงแค่เล็กน้อยที่จะมีประตูระดับทอง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขามีใครพบประตูระดับทองในป้อมปราการขนาดเล็ก

ลืมมันไปดีกว่า มาลองทำกันไปทีละขั้น … ซือเฟิงส่ายหัว และไล่ความกังวลในใจของเขาออกไป จากนั้นเขาก็กัดฟันและพาทีมของเขามุ่งหน้าเข้าไปในประตูทอง

หากเขาปฎิเสธที่จะเข้ารับการทดสอบในตอนนี้ เขาก็จะต้องรอจนกว่าคูลดาวน์อีกรอบของโทเค่นจะสิ้นสุดลงจึงจะสามารถมาลองได้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นการปรากฎขึ้นของประตูทองก็อาจไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมด มันอาจเป็นพรสำหรับเขาก็ได้

ประตูมรดกระดับสูงแบบนี้นั้นอาจเป็นเรื่องยากที่จะเคลียร์ แต่มันก็จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เล่นอย่างมากในการเรียนรู้วิธีการควบคุมร่างมานาของตน

ประตูมรดกนั้นจัดเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของป้อมปราการโบราณ นอกจากนี้มันยังจัดเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้เล่นที่เข้าควบคุมป้อมปราการโบราณได้ มหาอำนาจต่างๆในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิงนั้นไม่ได้รับรู้ถึงความจริงข้อนี้เลย และพวกเขาก็ปฎิบัติกับประตูมรดกเป็นเหมือนกับหนทางที่จะได้ควบคุมป้อมปราการได้มากขึ้นเท่านั้น

มหาอำนาจต่างๆได้ค้นพบคุณค่าที่แท้จริงของประตูมรดกก็หลังจากนั้นไม่นานนัก และพวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่าประตูเหล่านี้นั้นเป็นวิธีที่เร็วที่สุดสำหรับผู้เล่นในการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาทั้งหมด หากผู้เล่นนั้นพยายามสำรวจ และปรับตัวให้เข้ากับร่างมานาโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆเลย การปลดศักยภาพทั้งหมดนั้นจะต้องใช้เวลานานมากๆ

ขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆเดินผ่านประตูทองเข้าไป โลกรอบตัวพวกเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว

หลังจากนั้นไม่นาน ซือเฟิงก็ได้พบว่าตัวเองนั้นมายืนอยู่ต่อหน้าภูเขาสีทองศักสิทธิ์เพียงลำพัง โดยภูเขาสีทองนี้สูงหลายพันเมตร และซือเฟิงไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่ามันสิ้นสุดลงตรงไหน และออร่าของภูเขานี้นั้นรุนแรงน้อยกว่าหอคอยสี่เทพเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในขณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าของภูเขานี้ ซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงซึ่งส่งผลให้ความคล่องตัวของเขาลดลง

นี่คือการทดสอบของประตูระดับทองงั้นหรอ ? ซือเฟิงมองไปรอบๆตัวเขาด้วยความตกตะลึง
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาเคยเข้าไปในประตูระดับทองแดงเท่านั้น และเขาก็ได้รับช่องทางในการเข้า หลังจากทำการจ่ายเงินก้อนใหญ่ไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็เต็มใจจะจ่ายด้วยความยินดี เพราะถ้าไม่มัน เขาจะต้องเสียเวลาในการสำรวจและปรับตัวให้เข้ากับร่างมานาของตัวเองเช่นเดียวกับผู้เล่นอิสระ ซึ่งมันจะเสียเวลาอย่างมากเลยทีเดียว

ยิ่งร่างมานาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยากที่จะปลดล๊อคศักยภาพของมันให้ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้เล่นอิสระขั้นสามจึงจะต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะมีพลังเหนือกว่าผู้เล่นขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆ

แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่เป็นสาเหตุหลักจริงๆที่ทำให้ผู้เล่นจำนวนมหาศาลพยายามจะเข้าร่วมกับมหาอำนาจต่างๆ

ภายในประตูระดับทองนั้นซือเฟิงพบว่ามันมีความแตกต่างกับประตูระดับทองแดงอย่างมาก

เมื่อเขาเข้าไปในประตูระดับทองแดงนั้น สภาพแวดล้อมโดยรอบของมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ภายในประตูระดับทอง เขากลับรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในจิตใจของเขา ซึ่งภายในความว่างเปล่านี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของมานาบางๆ ซึ่งสภาพจิตใจเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะในขณะที่ผู้เล่นปฎิบัติการในพื้นที่ที่มีมานาน้อยหรือไม่มีเลย สภาพแวดล้อมแบบนี้จะส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และเติบโต แม้จะได้รับการสนับสนุนจากร่างมานาก็ตาม

ในขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาอย่างเงียบๆ ร่างของเทพธิดาในชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขาทั้งหมด

“ฉันเป็นผู้สร้างประตูมรดกแห่งนี้ อีเลียดี้ ผู้ทดสอบ คุณมีเวลาสองวันในการปีนภูเขาศักสิทธิ์แห่งนี้ และเคลียร์การทดสอบ หากคุณล้มเหลว คุณจะถูกบังคับให้ออกจากสถานที่แห่งนี้ มีเพียงแค่เฉพาะในกรณีที่พวกคุณสามคนสามารถปีนขึ้นไปถึงศาลเจ้าแห่งแรกของภูเขาศักสิทธิ์ได้เท่านั้น คุณจึงจะได้รับเครื่องหมายระดับทองแดงเพื่อทำให้ตัวเองได้รับอำนาจเพิ่มในป้อมปราการแสงดาว จำไว้ว่านี่เป็นโอกาสเดียวของคุณ หากพลาด คุณจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่ที่นี่อีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน” อีเลียดี้อธิบายพลางมองไปยังซือเฟิง

ทันทีที่อีเลียดี้พูดจบเธอก็หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
โชคดีที่เรามีเวลาสองวัน ซือเฟิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากได้ฟังรายละเอียดของการทดสอบ

เขาได้รับเวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ในตอนที่เขาทำการทดสอบปีนภูเขาศักสิทธิ์ในประตูระดับทองแดงในชีวิตที่ผ่านมาของเขา แต่ตอนนี้เขามีเวลาสองวันในการจะเคลียร์การทดสอบ และมันก็น่าจะเป็นเวลาที่เพียงพอสำหรับอควาโรสและคนอื่นๆที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่นับเป็นการทดสอบมรดกครั้งแรกของพวกเขา

ก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้เฉลิมฉลองความโชคดีนี้ อัศวินสามคนในชุดเกราะที่สวยงามก็ปรากฎตัวขึ้นบนภูเขาศักสิทธิ์ โดยอัศวินแต่ละคนนั้นล้วนถือดาบอยู่ และที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังอยู่ในเลเวลหนึ่งร้อยสิบ ขั้นสาม ซึ่งเมื่ออัศวินเหล่านี้ปรากฎตัวขึ้น พวกเขาก็พุ่งเข้าหาซือเฟิงทันที

อัศวินเหล่านี้นั้นรวดเร็วมากๆ แม้ว่าพื้นที่นี้จะแทบไม่มีมานาเลย และพวกเขาแต่ละคนก็ยังมีมานาที่หนาแน่นล้อมรอบตัวเอง

อัศวินทั้งสามปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้เต็มรูปแบบแล้วงั้นสินะ ? ซือเฟิงตกตะลึงเมื่อเขามองไปยังอัศวินทั้งสามที่กำลังใกล้เข้ามา