การปลดล๊อคขั้นพื้นฐาน

เมื่อรู้สึกได้ถึงมานาจำนวนมากที่เคลือบดาบของอัศวินที่เป็น NPC อยู่ ซือเฟิงก็ไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เขารีบชักดาบทั้งสองของเขาออกจากฝักและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที

เขาอาจไม่กังวลเลยถ้าฝ่ายตรงข้ามของเขาเป็นเพียง NPC ขั้นสามหน้าใหม่ หรือไม่ก็เป็น NPC ขั้นสามที่มีเลเวลต่ำกว่าหนึ่งร้อย อย่างไรก็ตามต่อหน้า NPC ขั้นสามทั้งสามคนนี้ที่ปลดล๊อคร่างมานาได้อย่างเต็มศักยภาพทั้งหมดแล้ว เขาจะตายทันทีแน่นอนหากพลาดเพียงเล็กน้อย

ความแตกต่างระหว่างร่างมานาที่ยังปลดล๊อคได้ไม่เต็มศักยภาพ กับร่างมานาที่ปลดล๊อคได้เต็มศักยภาพแล้ว มันก็เหมือนความแตกต่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งกับผู้เล่นทั่วไป

นี่คือเหตุผลที่ NPC ขั้นสามบางคนนั้นสามารถจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองเมืองเล็กๆในอาณาจักรหรือจักรวรรดิต่างๆได้ ในขณะที่บางคนสามารถเป็นได้แค่หัวหน้าอัศวินของเมืองเท่านั้น และ NPC ขั้นสามที่อ่อนแอบางกลุ่มก็ถูกใช้ให้เฝ้าแค่ประตูทางเข้าวังด้วยซ้ำ สถานะที่แตกต่างเหล่านี้เป็นผลมาจากสถานะร่างมานาของ NPC

NPC ขั้นสามใดๆที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาของพวกเขาได้ จะจัดว่าเป็นชนชั้นสูงในหมู่ NPC ขั้นเดียวกัน และพวกเขาก็จะไม่ถูกนับว่าเป็น NPC ทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ NPC ขั้นสามที่จะสามารถเอาชนะผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดได้อย่างสบายๆราวกับเอาชนะผู้เล่นทั่วไป

เมื่อมาถึงเป้าหมายของพวกเขา อัศวิน NPC ทั้งสามก็ได้ทำการฟันดาบของพวกเขามาที่ซือเฟิงจากทิศทางที่แตกต่างกัน

โดยอัศวินเหล่านี้นั้นมีการประสานงานกันอย่างสมบูรณ์แบบราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมรบด้วยกันมานานนับสิบปี อัศวินสองคนนั้นพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของซือเฟิง ในขณะที่อีกคนพยายามจะโจมตีจุดบอดของเขา นอกจากนี้การโจมตีของพวกเขานั้นยังมีพลังมากพอที่จะทำให้ลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ในเลเวลเดียวกันปลิวกระเด็นไปได้เลย หากผู้เล่นขั้นสามคนอื่นมายืนอยู่ในตำแหน่งของซือเฟิง มันคงจะใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะพ่ายแพ้

น่าเสียดายที่อัศวินทั้งสามนั้นไม่สามารถจะหลอกซือเฟิงได้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมน เขาสามารถรับรู้ถึงวิถีการโจมตีของอัศวินทั้งสามได้อย่างรวดเร็ว

ซือเฟิงนั้นตอบโต้อัศวินที่โจมตีมายังจุดบอดของเขาด้วยการโจมตีโต้ตอบเข้าไปยังจุดบอดของอัศวินเช่นกัน และบังคับให้อัศวินคนนี้เปลี่ยนวิถีการโจมตีไปปะทะกับดาบของอัศวินอีกสองคน

Peng! Peng! Peng!

อัศวินทั้งสามนั้นถูกบังคับให้ต้องถอยหลังกลับไปจากการปะทะกันเอง แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงเองก็ถูกบังคับให้ต้องถอยไปครึ่งก้าวเช่นกัน และแขนของเขาก็รู้สึกชามากในตอนที่ส่งอาวุธของเขาไปปะทะกับอัศวินคนหนึ่งเพื่อบังคับให้เปลี่ยนวีถีการโจมตี

นี่คือการทดสอบของประตูระดับทองงั้นหรอ ? ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับเรื่องนี้ และตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลแทนอควาโรสและคนอื่นๆ

มันแทบจะไม่มีมานาอยู่เลยในโลกแห่งนี้ และด้วยเหตุนี้อควาโรสและคนอื่นๆจะจัดว่าโชคดีมากแล้ว หากพวกเขาแสดงพลังในการต่อสู้ตามปกติออกมาได้สักครึ่งหนึ่ง แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากร่างมานาก็ตาม

การปะทะกันครั้งแรกของซือเฟิงกับอัศวินทั้งสามนั้นเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เขาก็สามารถบอกได้เลยว่ามาตราฐานการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามของเขานั้นเทียบเท่ากับอยู่ในชั้นห้าของหอคอยทดสอบ มาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาอาจไม่สูงมากนัก แต่ซือเฟิงก็มั่นใจว่าพวกเขามีร่างมานาอย่างน้อยที่ระดับเงินที่ปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดได้แล้ว ไม่งั้นการปะทะกันแค่เพียงครั้งเดียวก็คงจะไม่ทำให้แขนของเขาชา และถูกบังคับให้ต้องถอยกลับมาครึ่งก้าวแบบนี้

แม้แต่ตัวเขาก็ยังจะต้องดิ้นรนอย่างหนักสำหรับเรื่องนี้ ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะจินตนาการว่าคนอื่นๆจะต้องรู้สึกและเจอกับอะไรบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอยู่ที่เชิงเขาเท่านั้น และยังไม่ได้เริ่มปีนด้วยซ้ำ ….

การปีนขึ้นไปบนภูเขาให้ได้นั้นนับเป็นเป้าหมายของการทดสอบของมรดกนี้ และเมื่อผู้เล่นปีนขึ้นไปสูงขึ้นได้ พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โชคดีที่พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องฆ่าคู่ต่อสู้ ตราบใดที่ผู้เล่นเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของผู้ที่อยู่อาศัยบนภูเขานี้ได้เป็นเวลาสามสิบนาที พวกเขาก็จะได้รับอนุญาติให้ผ่านไปได้ แต่นั่นมันก็ยังคงจัดว่าเป็นงานที่ท้าทายอยู่ดี การต่อสู้ PvP ตามปกตินั้นใช้เวลาไม่เกินสิบนาที ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับ NPC เลย เพราะมันจะผลาญค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขาไปอย่างมหาศาลมากๆ

อย่างไรก็ตามในการปะทะกับอัศวินเหล่านี้เป็นครั้งแรก ซือเฟิงก็สัมผัสได้ถึงวงจรมานาของ NPC และวิธีที่พวกเขาใช้มานาจากภายในร่างของตัวเอง

โดยปกติแล้วการรับรู้ถึงสิ่งต่างๆในโลกภายนอกนั้นจะค่อนข้างยากมากๆ เนื่องจากมีมานามากมายในพื้นที่ แต่พื้นที่ในประตูมรดกนี้แทบจะไม่มีมานาเลย เป็นผลให้การไหลของมานาภายในร่างของ NPC ทั้งสามนั้นสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ใช่ผู้เล่นสายเวทย์มนต์ก็ตาม แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการไหลของมานาในร่างของอัศวินทั้งสาม

แถมเนื่องจากอัศวินเหล่านี้นั้นมีร่างมานาอยู่แค่ระดับเงินเท่านั้น ดังนั้นร่างมานาของพวกเขาจึงง่ายต่อการจัดการมากกว่าร่างมานาของซือเฟิงอย่างมาก เขาจะไม่ได้รับข้อมูลเชิงลึกมากนักจากการต่อสู้กับอัศวินเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นหากให้เปรียบเทียบ เขาก็จะยังได้รับข้อมูลมากกว่าตอนที่เขาเข้าสู่ประตูระดับทองแดงในชีวิตที่ผ่านมาของเขา

หลังจากซือเฟิงผลักดันให้อัศวินทั้งสามต้องถอยกลับไป พวกเขาก็เริ่มตั้งตัวกันใหม่ และเริ่มโจมตีซือเฟิงอีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้ซือเฟิงได้หยุดพัก

อย่างไรก็ตามในครั้งนีอัศวินเหล่านี้เลือกจะใช้วิธีการอื่นในการโจมตี หนึ่งในอัศวินเหล่านี้ได้มุ่งเน้นการโจมตีมาที่ซือเฟิง ในขณะที่อีกสองคนทำการรวบรวมมานาของพวกเขาและรอโอกาส ตอนนี้เหล่าอัศวินนั้นรู้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถจะวัดกันกับซือเฟิงได้ในด้านของเทคนิค และพวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะจัดการกับซือเฟิงด้วยพลังดิบที่เหนือกว่า ซึ่งมันทำให้ซือเฟิงอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบากมากๆ

ค่าสถานะพื้นฐานของเขานั้นสูงกว่าอัศวินขั้นสามทั้งสามแน่นอน แต่ด้วยมานาของพวกเขาที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับดาบของพวกเขา ซือเฟิงจึงไม่สามารถจะป้องกันการโจมตีจากอาวุธของพวกเขาได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้เขานั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบและถอยหนี โชคดีที่มานานั้นเพิ่มเพียงแค่พลังดิบจากการโจมตีของอัศวินเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเพิ่มความเสียหาย
สิบนาที…สิบห้านาที…ยี่สิบนาที…

เมื่อการต่อสู้ดำนเนินไปยาวนานขึ้น ความตื่นเต้นของซือเฟิงนั้นก็เพิ่มขึ้นมาก เขาได้เรียนรู้และเลียนแบบวิธีการที่อัศวินเหล่านี้ใช้มานาจากภายในร่างกาย และการประสานงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่มันเหมือนกับการที่เขาได้เรียนรู้การวาดวงเวทย์ใหม่เลย

และแล้วในที่สุดเมื่อเหล่าอัศวินพุ่งเข้าโจมตีเขาอีกครั้ง ซือเฟิงก็ได้นำมานาออกมาจากร่างของเขาอย่างเงียบๆ และเคลือบไว้ที่ดาบศักสิทธิ์ของเขา

เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

จากนั้นเขาก็เหวี่ยงคิลลิงเรย์ที่เคลือบมานาเข้าใส่อัศวินขั้นสาม

ตู้ม !!

เสียงระเบิดดังก้องที่บริเวณเชิงเขา

ผลกระทบจากการปะทะกันครั้งนี้ทำให้อัศวินขั้นสามทั้งสามนั้นถูกบังคับให้ต้องถอยไปหนึ่งก้าว ในทางตรงกันข้ามซือเฟิงยังคงยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเดิมของเขาได้ และแขนของเขาก็ไม่ได้รู้สึกสั่นอีกต่อไป

ทันใดนั้นเสียงการแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิง

ระบบ : คุณปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงของร่างมานาระดับอีปิคได้ห้าเปอเซ็นต์แล้ว

ในที่สุดฉันก็ได้เข้าใจถึงวิธีการปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงของร่างมานาแล้ว !!! ซือเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความสุข ขณะที่เขาจ้องมองไปยังอาวุธของเขา

ในที่สุดเขาก็สามารถเลียนแบบวิธีการที่อัศวินเหล่านี้ใช้มานาเคลือบดาบของตัวเองได้แล้ว

แน่นอนว่าเขาก็ยังไม่สามารถจะเลียนแบบวิธีการของอัศวินเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากร่างมานาของเขาอยู่คนละระดับกับอัศวินทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจำต้องปรับเปลี่ยนมันให้เป็นแนวทางของเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วร่างมานาของเขานั้นอยู่ในระดับอีปิคและมันมีความซันซ้อนมากกว่าร่างมานาระดับเงินอย่างมาก เขาจึง
สามารถปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงได้แค่ห้าเปอเซ็นต์เท่านั้น หลังจากสามารถนำมานามาเคลือบกับดาบได้

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงล้วนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสิทเข้าสู่ประตูระดับทองแบบนี้ ฉันมีความคืบหน้าในแบบที่ต้องฝึกฝนหนึ่งสัปดาห์ได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อเห็น NPC ทั้งสามจ้องมองมายังเขาอย่างเป็นปรปักษ์ ซือเฟิงก็ตระหนักได้เลยว่าการได้ฝึกฝนในประตูระดับทองนี้มันมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน

หากผู้เชี่ยวชาญที่มีร่างมานาระดับเงินมายืนอยู่ในตำแหน่งของเขา พวกเขาน่าจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงของร่างมานาระดับเงินได้ทั้งหมดในการเดินทางมาที่นี่เที่ยวเดียว อัศวินเหล่านี้นั้นนับเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สามารถใช้ฝึกฝนได้ และสภาพแวดล้อมที่แทบไม่มีมานาเลยของสถานที่แห่งนี้นั้นก็เหมาะสำหรับสังเกตร่างมานาของผู้อื่นอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถจะทำได้เลยในโลกภายนอก

หลังจากผ่านตรงนี้ไปได้ ซือเฟิงก็ได้เลือกจะท้าทายกลุ่มอัศวิน NPC กลุ่มต่อไปทันที เขาต้องการจะทำความคุ้นเคย และปรับตัวให้เข้ากับความรู้สึกใหม่โดยเร็วที่สุด

กลุ่มที่สองนี้ประกอบไปด้วยอัศวิน NPC ทั้งหมดหกคน และพวกเขาก็มีวิธีการใช้ร่างมานาของพวกเขาที่แตกต่างออกไปจากอัศวิน NPC กลุ่มแรกอย่างสิ้นเชิง โดยในหมู่พวกเขานั้นแต่ละคนแข็งแกร่งพอๆกับอัศวิน NPC สามคนแรก แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหนูทดลองสำหรับซือเฟิง ในขณะที่เขาทำการปรับแต่งร่างมานาระดับอีปิคของเขาให้ดีขึ้น

ซือเฟิงนั้นไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญหน้ากับอัศวินแบบนี้จำนวนมากขึ้น ในทุกครั้งที่เขาปีนขึ้นไปบนภูเขาศักสิทธิ์สูงขึ้น แต่เขายังเริ่มเผชิญหน้ากับอัศวินที่มีร่างมานาระดับสูงแล้ว อัศวินกลุ่มแรกที่เขาต้องเผชิญนั้นมีเพียงแค่ร่างมานาระดับเงิน ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ซือเฟิงเริ่มจะเผชิญหน้ากับอัศวินที่มีร่างมานาระดับเงิน ขั้นกลาง และขั้นสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว เป็นผลให้ซือเฟิงสามารถปรับแต่งร่างมานาระดับอีปิคของเขาให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ

10%… 15%… 20%…

หลังจากผ่านการต่อสู้มานานกว่าเจ็ดชั่วโมง และผ่านความท้าทายกับอัศวินขั้นสามหกคนที่มีร่างมานาระดับเงิน ขั้นสูงสุดมาได้ ซือเฟิงก็ได้มาถึงศาลเจ้าแห่งแรกของภูเขาศักสิทธิ์

หลังจากซือเฟิงเข้ามาในศาลเจ้าแห่งแรก ร่างของอีเลี้ยดี้ก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของเขาอีกครั้ง โดยออร่าที่อีเลียดี้แผ่ออกมานั้นมันก็ชัดเจนเลยว่าเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตขั้นห้า

“ผู้ทดสอบ คุณได้พิสูจน์แล้วว่าคุณมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก คุณได้มาถึงศาลเจ้าแห่งแรกภายในเก้าชั่วโมง เพื่อเป็นรางวัลสำหรับความพยายามของคุณ ฉันจะนำเสนอสองทางเลือกให้กับคุณ โดยทางเลือกแรกคือเอาตัวรอดจากการโจมตีของฉันให้ได้สามครั้ง ซึ่งไม่เพียงแต่คุณจะสามารถเคลียร์การทดสอบนี้ และสามารถเข้าสู่ระดับที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ได้ แต่คุณยังจะได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกด้วย หากคุณเลือกตัวเลือกที่สอง คุณก็จะต้องเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ของศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งหากคุณเอาชนะมันได้ คุณก็จะสามารถไปถึงระดับที่สองได้ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้รับรางวัลเพิ่มเติม”อีเลียดี้กล่าวข้อเสนอให้ซือเฟิงฟัง “คุณมีเวลาในการตัดสินใจสามนาที โปรดคิดอย่างรอบคอบ !!!”