ตอนที่ 502 ฉันจะทำให้เธอถูกไล่ออกจากตระกูลจิ้น / ตอนที่ 503 ที่เธอพูดมันเป็นเรื่องจริงเหรอ?

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 502 ฉันจะทำให้เธอถูกไล่ออกจากตระกูลจิ้น  

 

 

เธอแอบมั่นใจในสิ่งที่คิดอยู่เงียบๆ และไม่กล้าที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ 

 

 

บทสนทนาของหลินจื้อเฉิงสองคนนั้นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ ว่าในบริษัทจะยังมีใครกล้ามาแอบฟังแบบนี้ 

 

 

มู่หรงขมวดคิ้วมองเขา “แกคิดมากไปหรือเปล่า ช่วงนี้พี่ใหญ่ดูอารมณ์ดีจะตายไป แกพูดแบบนี้รนหาที่ตายหรือไง” 

 

 

หลินจื้อเฉิงมีสีหน้าคิดไม่ตก “แต่จะปกปิดต่อไปแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องนี่” 

 

 

มู่หรงยิ้มเยาะขึ้นมา “แกคิดว่าในหลายวันที่ผ่านมานี้ คนฉลาดๆ อย่างพี่ใหญ่จะไม่สังเกตเห็นอย่างนั้นเหรอ” 

 

 

“แกหมายความว่ายังไง หรือว่าพี่ใหญ่รู้ตั้งนานแล้วงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หน่า ถ้ารู้ละก็คงจัดการพวกเราไปแล้ว ไม่มีทางที่จะยังทำหน้าระรื่นแบบนี้อยู่ได้แน่ๆ!” หลินจื้อเฉิงพูดด้วยความตระหนก 

 

 

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ฉันรู้สึกได้ว่าพี่ใหญ่อาจจะรู้อยู่แล้ว แกอย่าลืมสิว่าพี่ใหญ่ฉลาดมากแค่ไหน สายที่โทรมาตอนนั้นคิดว่าพี่ใหญ่จะไม่แปลกใจเลยสักนิดงั้นเหรอ? ถ้าพี่ใหญ่โง่แบบนั้นจริงๆ พวกเราก็คงไม่ยอมให้มันมาเป็นพี่ใหญ่เราได้หรอกน่า” ภายนอกของมู่หรงนั้นดูงดงามราวกับหญิงสาว แต่กลับพูดจาได้อย่างตรงไปตรงมา  

 

 

หลินจื้อเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง พอพูดขึ้นมาทีน้ำเสียงก็ฟังดูไร้เรี่ยวแรง “งั้นถ้าเป็นอย่างที่แกพูด พี่ใหญ่ก็รู้แล้ว? แล้วทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ” 

 

 

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน คำถามนี้แกควรเอาไปถามพี่เขาต่างหาก ฉันก็แค่เอาเหตุผลทั่วๆ ไปมาคาดเดาเท่านั้น ยังไงซะจิตใจของพี่เขาก็ยากแท้หยั่งถึง ไม่ง่ายที่จะให้พวกเราไปคาดเดาหรอก” 

 

 

“ที่พูดมามันก็ใช่ ฉันคิดว่าบนโลกนี้คนที่เข้าใจพี่ใหญ่มากที่สุดคงจะเป็นเฉียวซือมู่ล่ะมั้ง หวังว่าถ้าเธอรู้เรื่องทุกอย่างแล้วจะไม่โกรธนะ ไม่อย่างนั้น…” 

 

 

“แกอยากตายหรือไง? แล้วจะไปให้เธอรู้ทำไมกัน จะให้เธอรู้ว่ารูปถ่ายที่พาเธอไปถึงเมืองนอกนั่นเป็นพวกเราเองอย่างนั้นเหรอ มันมีประโยชน์อะไรกับพวกเราหรือไง พูดไปถ้าเธอรู้เรื่องเข้าละก็ นอกจากพวกเราจะซวยก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลยสักอย่าง พี่ใหญ่เองก็คงจะมาโทษเราอีก พี่เขารักเฉียวซือมู่สุดหัวใจขนาดนั้น ถึงเห็นอยู่กับผู้ชายคนอื่นนานขนาดนั้นก็ยังทนได้ พวกเรายังไปพูดอะไรได้อีก?” 

 

 

“ทำไมแกพูดแบบนั้น? เธอกับอินรุ่ยไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย ถ้าเรื่องพวกนี้ถึงหูพี่ใหญ่ละก็…” หลินจื้อเฉิงพูด 

 

 

มู่หรงอวิ่นเจ๋อพูดแทรกขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย “สบายใจเถอะ ฉันก็แค่พูดกับแก ขอแค่แกปิดปากเงียบก็ไม่มีอะไรแล้วนี่” 

 

 

“แต่ก็ไม่ควรพูดไปเรื่อยสิ” หลินจื้อเฉิงมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง  

 

 

มุมที่เจียงจื่อเสียนแอบนั้นเป็นมุมที่ดีไม่น้อย มันเป็นมุมอับสายตาจากพวกเขาพอดี ทำให้พวกเขาไม่เห็นเธอ 

 

 

เธอแอบอยู่ในมุมนิ่งๆ ไม่ไหวติง ราวกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงแล้วหัวใจของเธอแทบจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว 

 

 

เธอได้ยินอะไรมาเนี่ย เฉียวซือมู่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอย่างนั้นเหรอ? ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนว่าจะชื่ออินรุ่ยใช่ไหม แถมพวกเขาเคยอยู่ด้วยกันทั้งคืน? 

 

 

นี่มันเยี่ยมไปเลย เฉียวซือมู่ที่ดูไม่มีจุดอ่อนอะไรเลยที่แท้กลับมีช่องโหว่ที่ใหญ่ขนาดนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย! 

 

 

นี่ถือว่าเป็นข่าวที่วิเศษที่สุด เธอจะต้องกลับไป จะต้องรีบกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้คุณนายจิ้นฟังเป็นอย่างดี จะต้องทำให้เธอเชื่อให้ได้ว่าในท้องของเฉียวซือมู่เป็นลูกไม่มีพ่อไปเลยยิ่งดี  

 

 

ถ้าเป็นแบบนี้ละก็… 

 

 

ยิ่งเธอนึกภาพถึงตอนที่เฉียวซือมู่ถูกไล่ตะเพิดออกจากตระกูลจิ้นแล้วก็รู้สึกดีใจจนตัวสั่นไปทั้งร่าง แววตาประกายโรจน์ เหมือนตกอยู่ในความบ้าคลั่ง 

 

 

หลินซือมู่ ฉันเห็นเธอหยิ่งจองหองนักนี่ อย่าได้ใจไปหน่อยเลย! เธออยากจะเห็นสีหน้าของเฉียวซือมู่ในตอนนั้นจริงๆ ว่ามันจะเป็นยังไงกันแน่ จะร้องไห้อ้อนวอนหรือเปล่า? 

 

 

หรือว่าจะโกรธแค้นสาปแช่งกันนะ? 

 

 

เธอรู้สึกว่าไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน มันก็ทำให้เธอมีความสุขทั้งนั้น 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 503 ที่เธอพูดมันเป็นเรื่องจริงเหรอ? 

 

 

แต่ว่ามีความสุขก็ส่วนมีความสุข เรื่องแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกช็อกอยู่เหมือนกัน จนถึงขั้นทำให้เธอไม่สามารถเรียกสติของตัวเองให้กลับมาได้ หลังจากที่เริ่มสงบลงได้อย่างไม่ง่ายดายนัก เธอก็เริ่มคิดถึงเรื่องหลังจากนี้ 

 

 

เรื่องแบบนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีประโยชน์มากแค่ไหน แต่จะปล่อยเรื่องนี้ให้กระจายออกไปได้อย่างไรต่างหากที่เป็นปัญหา 

 

 

เธอขบคิด แล้วก็นึกวิธีบางอย่างขึ้นมาได้ 

 

 

ฉินเพ่ยหรงไม่ได้ชอบเฉียวซือมู่นี่ อย่างนั้นเธอไปใส่ไฟเสียหน่อยก็แล้วกัน 

 

 

เธอหาข้ออ้างไม่ทำงานล่วงเวลา และขอกลับไปก่อน 

 

 

เวลานี้เองที่เธอจะได้แสดงความฉลาดออกมา ข้ออ้างครั้งก่อนที่บอกจะช่วยดูเรื่องการตกแต่งภายในบ้านแล้วต้องนอนค้างคืนถือเป็นอะไรที่ฉลาดไม่น้อย มันสามารถทำให้เธอได้อยู่ข้างฉินเพ่ยหรงอยู่ตลอดเวลา อยากจะพูดอะไรก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ  

 

 

หลังจากกลับไปแล้ว หลังจากที่รู้มาว่าฉินเพ่ยหรงกำลังหงุดหงิดโมโหและไม่ได้ไปหาเฉียวซือมู่เหมือนครั้งก่อน ในใจมันก็เต้นแรง และคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว 

 

 

หลังจากที่ทานมื้อเย็น และได้ออกไปเดินเล่นกับฉินเพ่ยหรงพอเป็นพิธีแล้ว เธอก็แสร้งพูดลอยๆขึ้นมาว่า “คุณน้าคะ ทำไมวันนี้ถึงไม่ได้ไปหาเฉียวซือมู่ล่ะคะ?” 

 

 

เธอถอนหายใจออกมา “ไปเพื่ออะไรกันล่ะ เพื่อทำให้ตัวเองหงุดหงิดน่ะเหรอ? ช่างเถอะ น้าเองก็คิดอะไรได้แล้วเหมือนกัน คิดว่าจะไม่ไปหาเธอแล้ว รอให้เธอคลอดเด็กออกมาแล้วน้าค่อยไปอุ้มมาเลี้ยงก็ได้ ไม่ไปเจอกับพวกเขาอีก พอไม่เห็นก็จะได้ไม่หงุดหงิด” 

 

 

ท่าทางน้ำเสียงที่พูดออกมานั้นดูเหมือนว่าจะกำลังโกรธจิ้นหยวนลูกชายของตนเองอยู่ด้วย 

 

 

ใครบอกให้เขาไม่ยอมเชื่อฟังตัวเองว่าให้แต่งกับหญิงสาวที่ตนถูกใจกันล่ะ? 

 

 

เจียงจื่อเซี๋ยนกลอกตาไปมา ก่อนจะคล้องแขนเธอเอาไว้ พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “อย่าโมโหไปเลยค่ะ หนูดูแล้วเธอเองก็คงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้คุณน้าไม่พอใจหรอก แถมตอนนี้ก็ยังมีเด็กอยู่ ถ้าทำให้ความสัมพันธ์มันตึงเครียด พี่จิ้นเองก็คงจะไม่สบายใจนะคะ” 

 

 

“น้าก็กลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ น้าเป็นแม่ของเขา น้าไม่ชอบภรรยาของเขาแล้วเขาจะมองน้าอย่างไรล่ะ” เธอถอนหายใจ ไม่อยากจะพูดถึงอีก 

 

 

มือที่ของเจียงจื่อเซี๋ยนที่คล้องแขนเธออยู่กระชับแน่นกว่าเดิม “ที่จริงแล้ว หนูมีความคิดบางอย่างที่อยากจะพูด คุณน้าอย่าโกรธกันนะคะ” 

 

 

“เด็กคนนี้นี่ ฉันจะไปโกรธเธอได้อย่างไรกัน พูดมาเถอะ” ฉินเพ่ยหรงตบลงบนหลังมือของเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู 

 

 

“อย่างนั้นถ้าหนูพูดว่า หนูรู้สึกว่าถ้าคุณน้าไปเอาเด็กมาเลี้ยงเองเธออาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้นะคะ” เธอลังเลไปเล็กน้อย ทำท่าเหมือนไม่อยากจะพูด 

 

 

ฉินเพ่ยหรงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “เธอจะกล้าเหรอ แค่เธอแต่งเข้าตระกูลจิ้นมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังจะกล้ามาบอกว่าไม่ยอมงั้นเหรอ?” 

 

 

“แต่ว่าหนูเองก็รู้สึกได้ว่าพี่ใหญ่จิ้นก็อาจจะไม่เห็นด้วยนะคะ” 

 

 

“เขาน่ะหรือ? เขาเป็นลูกของน้านะ น้าพูดอะไรเขาก็ยังต้องฟัง” 

 

 

“แต่ว่า…” เธอจะพูดแต่ก็ไม่พูด ขบริมฝีปากตัวเองแน่น ราวกับว่าอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่พูด 

 

 

“เป็นอะไรไปหรือ?” ฉินเพ่ยหรงสังเกตเห็นอาการแปลกๆ ได้ในทันที จึงถามออกไป 

 

 

“ที่บริษัท หนูได้ยินเรื่องบางอย่างมาน่ะค่ะ เกี่ยวกับเฉียวซือมู่ ไม่รู้ว่าควรที่จะพูดกับคุณน้าหรือเปล่า” เธอค่อยๆ พูดออกไป 

 

 

“เรื่องอะไรกัน?” ฉินเพ่ยหรงเห็นท่าทางแบบนั้นของเธอแล้วมีหรือจะไม่เข้าใจ ดูท่าว่าสิ่งที่ได้ยินมาจะเป็นข่าวลือแย่ๆแน่  

 

 

“ที่จริงคือแบบนี้ค่ะ…” 

 

 

เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบบอกเล่าสิ่งที่ตนเองได้ยินออกไป แน่นอนว่าจะต้องมีการดัดแปลงจากต้นเรื่องด้วย เอาเรื่องที่ตัวเองได้ยินมาเรียบเรียงใหม่ เน้นไปที่เรื่องของสิ่งที่เฉียวซือมู่ไปเจอมาหน่อย 

 

 

แค่เธอทำแบบนี้ผลลัพธ์มันก็เกิดแล้ว 

 

 

เธอเผลอสูดหายใจเข้า แล้วจับหมับเข้าที่ข้อมือของเจียงจื่อเซี๋ยน “ที่เธอพูดมันคือเรื่องจริงหรือ?” 

 

 

“แน่นอนค่ะ เป็นเรื่องจริงแน่นอน” เธอพยักหน้าอย่างมั่นใจ จากนั้นก็พูดต่อ “ที่จริงตอนแรกหนูก็สงสัยว่ามันจะใช่เรื่องจริงหรือเปล่า แต่ว่าฟังจากที่พวกเขาคุยกันแล้วก็ดูจริงจังไม่น้อย แถมยังบอกว่าเธอกับคนที่ลักพาตัวเธอไปรู้จักกันเป็นอย่างดีด้วย หลังจากนั้นหนูยังได้ลองไปสืบเรื่องการเดินทางของเธอด้วย เจอว่าช่วงนั้นเธอหายตัวไปจริงๆ ด้วยนะคะ”