บทที่ 614 แม่ทัพน้อยหวาชิง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 612 แม่ทัพน้อยหวาชิง

อ๋องตวนได้รับการช่วยชีวิตแล้ว ร่างกายไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ ภายในห้องล้วนมีแต่คราบเลือด

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กับพระมเหสีหวามาเยี่ยมดูอาการที่ในจวน พอเห็นก็ร้องร่ำไห้พรั่งพรูออกมา

อ๋องตวนลุกขึ้น อยากจะถวายบังคมองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ แต่ทว่าไม่สามารถลุกขึ้นได้

หมอประจำจวนโจวเจอองค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงรีบทำความเคารพ กราบทูลสถานการณ์ ทุกอย่างโชคดีที่มีหมอเทวดา ความสามารถอันล้ำเลิศสามารถช่วยอ๋องตวนไว้ได้ หากไม่ใช่อย่างนี้ เวลานี้ไม่รู้ว่าอ๋องตวนจะเป็นอย่างไรเสียแล้ว

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตบรางวัลมอบแก่หมอเทวดา ได้ยินว่าที่แห่งนี้มีคนชื่อเฟิงอู๋ชิงที่เก่งกาจ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้อยากจะพบเจอ แต่ทว่ากลับหาคนไม่เจอ

ที่จริงเฟิงอู๋ชิงอยู่ด้านในห้องไม่ยอมออกมาพบเจอ คนของจวนอ๋องเย่เลยจำใจต้องกล่าวว่าหาคนไม่เจอ

พระมเหสีหวาอยู่กับอ๋องตวนสักครู่หนึ่ง จากนั้นองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ต้องการกลับไป นางเลยจำใจต้องกลับไปด้วย นางสั่งกำชับว่าต้องดูแลตนเองดีๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไป

อ๋องตวนพักผ่อนดูแลสุขภาพอยู่ช่วงหนึ่ง ก็ลุกขึ้นทั้งอาการบาดเจ็บ

อ๋องตวนสามารถเข้าเฝ้าได้ เลยถวายกราบบังคมทูล ให้ตรวจสอบเครือญาติเหล่าจงชินอย่างเคร่งครัด สงสัยว่าคนที่ก่อกบฏอยู่ในกลุ่มจงชินนั่นแหละ

องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รับคำกราบบังคมทูลของอ๋องตวน อ๋องตวนลุกไม่ขึ้นเลยให้คนยกหามออกไป คนในเมืองหลวงต่างกล่าวกันว่าอ๋องตวนกลายเป็นอ๋องที่ไร้ความสามารถ ขาทั้งสองข้างพิการแล้ว

ตอนที่อ๋องตวนเตรียมตัวจะไปจวนจงชิน ก็ได้ถูกราชครูจวินปรามห้ามไว้

อ๋องตวนอยากจะไต่สวนจงชินด้วยตนเอง กลับถูกคนของจวนกั๋วกงเชื้อเชิญไป

หลังจากนั้นครึ่งเดือนระยะเวลาอันสั้น จวนของจงชินอ๋องได้ถูกราชครูจวินลงโทษกลายเป็นช่วงขาลง ตายเป็นตาย บ้าก็มี กล่าวถึงจวนจงชิน ไม่มีใครไม่นึกถึงราชครูจวินที่เด็ดขาดเลย

ในที่สุดเมืองหลวงก็สงบลงหลังจากที่หนานกงเย่ออกไปได้ครึ่งเดือน

หนานกงเย่ได้รับข่าวสารจากนกพิราบแล้วนั้น เขาก็ถึงชายแดนแล้วเช่นกัน

ฉีเฟยิวิ๋นชำเลืองมองจดหมาย จากนั้นกล่าวว่า“ราชครูจวินต้องการปกป้องชื่อเสียงของอ๋องตวนหรือเพคะ?”

หนานกงเย่เอาจดหมายไปเผาทิ้ง

“ท่านพี่รองเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถ หากว่าเขาไม่เป็นเพราะพระชายาตวน เขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเป็นคนดุร้ายเยี่ยงนี้หรอก หากผ่านช่วงนี้ไปได้ ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เขาล้วนเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนใฝ่คุณธรรม”

หนานกงเย่ยิ้มอย่างเรียบเฉย ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนหายใจ กล่าวว่า“พวกเขาเป็นนักปราชญ์ และเสนาบดีที่มีคุณธรรม แล้วท่านอ๋องล่ะเพคะ?”

หนานกงเย่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจอะไรกล่าวว่า“ข้าคือคนที่มีความผิด”

“…..”

หนานกงเย่ทำฉีเฟยอวิ๋นโมโหมาก

“แล้วแต่ท่านอ๋องเลยเพคะ”

ฉีเฟยอวิ่นมองไปทางประตูเมือง แม่ทัพฉีและท่านอ๋องหย่งจวิ้นได้ออกมาต้อนรับ ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่เดินเข้าไปหา

ไม่รอให้แม่ทัพหวาและท่านอ๋องหย่งจวิ้นกล่าวอะไร หนานกงเย่ก็กล่าวพูดขึ้นก่อนแล้วว่า“ข้ามาช้าเสียแล้ว ขอให้ท่านแม่ทัพทั้งสองท่านอภัยด้วย”

ด้านหลังแม่ทัพหวาและท่านอ๋องหย่งจวิ้นคืออวิ๋นเซียนอี้กับอู๋กั่วสองสามีภรรยา ด้านหลังไปอีกคือบุตรชายทั้งสองของจวินเจิ้งตง ที่เวลานี้เป็นรองแม่ทัพ

“ท่านอ๋องเย่สามารถเดินทางมาได้ ทั้งสามเหล่าทัพฮึกเหิมเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องเย่มิต้องโทษตนเองพ่ะย่ะค่ะ”แม่ทัพหวารีบกล่าวขึ้นทันที

เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้พบว่า ด้านหลังของแม่ทัพหวายังมีหญิงผู้หนึ่งที่สวมใส่ชุดเรียบๆ หญิงสาวสวมใส่ชุดเกราะป้องกัน ใบหน้าสวยสดงดงาม ผมมวยขึ้นสูง ผูกด้วยหางม้า ในมือถือหมวกสีเงิน โดยพื้นฐานภาพรวมแล้วเป็นแม่ทัพหญิงที่สง่างามมาก

เวลานี้นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย กำลังมองที่พื้นอยู่ และท่าทางของนางที่สวยงามพริ้งพราย ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นสะเทือนอารมณ์เล็กน้อย ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าแม่ทัพหวานำบุตรสาวคนเล็กมาด้วย เพื่อที่จะปกป้องสถานการณ์ทางชายแดน อายุยังน้อยนับว่าได้เป็นเสี้ยนจู่แล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นนึกได้ น่าจะเป็นคนนี้แหละ

นางชื่อ…….

คิดไม่ถึงเลยว่าในหัวสมองของฉีเฟยอวิ๋นจะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมปะทุผุดขึ้นมา หญิงอายุน้อยผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดเกราะสีเงิน ในมือถือหอกชี้ที่เธอ อยากจะทำอย่างไรกับเธอย่อมได้

เธอตกใจจนถอยไปด้านหลังสองก้าว แทบอยากจะวิ่งหลบหนีออกไปเสีย

โชคดีที่ถูกหนานกงเย่เจอเข้า ได้ขวางทางไว้ และได้สั่งให้เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ถือหอกยาวเก็บหอกไว้

เวลานั้น เจ้าของร้างเดิมกับเด็กผู้หญิงอายุราวหกขวบ และหนานกงเย่ยังไม่ถึงสิบขวบเต็ม

และนั่นคือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกัน เป็นครั้งแรกที่เจ้าของร่างเดิมและหนานกงเย่ได้พบเจอกันด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ใส่ใจ ที่แท้ที่เจ้าของร่างเดิมชอบหนานกงเย่ก็เป็นเพราะเคยได้รับการปกป้องนี่เอง

คาดว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้สินะ

น่าสงสารมาก!

ทั้งสองคนล้วนน่าสงสาร!

คิดไม่ถึงว่าตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นคิดอย่างนี้ จะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย เธอรู้สึกว่าในดวงตาเปียกชื้น เธอยกมือขึ้นลูบสัมผัส แปลกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก

ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึกๆ มองน้ำตาที่เท่าปลายนิ้ว อีกทั้งมองหนานกงเย่ด้วย

หนานกงเย่ไม่ได้สัมผัสได้ถึงอะไรเลย รู้แค่ว่าฉีเฟยอวิ๋นมองเขาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เข้าใจชัดเจนว่าฉีเฟยอวิ๋นหมายความว่ายังไง

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหญิงสาวที่มีชื่อเสียงผู้นั้น พวกเธออายุเท่ากัน นางชื่อหวาชิง

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ครั้งแรกที่หวาชิงเจอหนานกงเย่ก็ได้กล่าวไว้แล้วว่าต้องการแต่งงานกับหนานกงเย่

หวาชิง?

เป็นชื่อที่หลายความรู้สึกเสียจริง เหตุใดเธอถึงได้โชคร้าย เจอคู่แข่งแกร่งเช่นนี้นะ สวยก็ช่างเถิด ยังจะเป็นแม่ทัพน้อยอีก ฐานะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่พระเจ้าจงใจกลั่นแกล้งหยอกล้อใช่หรือไม่?

“อ้อ!”แม่ทัพหวานึกอะไรได้ทักทายขึ้นมา แล้วหันไปมองสาวน้อยที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นกล่าวว่า“นี่คือบุตรสาวของกระหม่อมหวาชิง หวาชิงเจ้ามาเคารพท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่เสียสิ”

หวาชิงเดินมาด้านหน้าของหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋น ก้มศีรษะลงกล่าวว่า“หม่อมฉันหวาชิง ถวายบังคมพระชายาเย่และท่านอ๋องเย้เพคะ”

“แม่ทัพหวารีบลุกเถิด”ฉีเฟยอวิ๋นรีบประคอง หนานกงเย่พินิจพิเคราะห์อย่างเรียบเฉย ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่ คาดว่าลืมแล้ว

หวาชิงถอยหลัง เงยหน้ามองหนานกงเย่ พอมองหนานกงเย่ก็ชะงักงัน เป็นเวลานานถึงได้สติกลับมา ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นอึมครึมลง ผู้ชายนะ เป็นคนที่เรื่องมากมักสร้างความวุ่นวายอย่างแท้จริง ยังจะกล่าวพูดอีกว่าหญิงสาวที่สวยเขาก็ไม่ชอบ เขาชอบเธอ นี่เพิ่งจะเท่าไหร่เอง ก็คล้ายดั่งตดที่เลือนราง ลืมจนหัวสมองเลอะเลือนหมดแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแล้วโมโห อยากจะถีบหนานกงเย่ไปจนสุดขอบฟ้า ไม่ให้เขาได้กลับมาตลอดชีวิตเลย

ฉีเฟยอวิ๋นก้าวเดินไปทางหนานกงเย่ไม่กี่ก้าว จากนั้นกล่าวอย่างราบเรียบว่า“แม่ทัพหวางดงามดั่งดอกไม้ ทำให้คนชอบได้เสียจริง ไม่รู้ว่ามีคนรับหมั้นกับนางแล้วหรือยัง?”

หนานกงเย่ใจสั่นหวั่นไหว กลับมาสู่ความเป็นจริง มองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความมึนงง ตกใจจนหัวใจเต้นตุบๆ

“เรื่องแต่งงานของหญิงไม่ควรที่จะพูดไปเรื่อย เรื่องนี้พระชายามิต้องกังวลใจหรอก”หนานกงเย่รีบกล่าวปรามไว้

ฉีเฟยอวิ๋นผลักมือหนานกงเย่ออกกล่าวว่า“ท่านอ๋องของข้ามีความสนใจรับพระสนม เพียงแต่……”

“แม่ทัพหวา พวกเราคุยเรื่องเป็นทางการก่อน ไปกันเถอะ”

หนานกงเย่ตกใจจนเหงื่อแตก เมื่อครู่ถูกความงดงามดึงดูดจนหลงใหล ตกใจแทบแย่

หนานกงเย่ดึงมือฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ตกใจจนจิตวิญญาณเลื่อนลอย เดิมคิดว่าจะกล่าวพิธีรีตองสักหน่อย ก็จูงฉีเฟยอวิ๋นเดินโดยไม่สนใจอะไรแล้ว

ในใจของฉีเฟยอวิ๋นทั้งโกรธทั้งโมโห ไม่รู้จักอายใช่หรือไม่?

คนอื่นเดินตามทั้งสองคนเข้าเมือง

วันนั้นได้จัดวางโต๊ะอาหาร เพื่อที่จะต้อนรับทั้งสองที่มาจากแดนไกล

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างพิธีรีตองกับทุกคนโดยตลอด หนานกงเย่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน รอตอนเย็นช่วงพักผ่อน เขาบอกกับทุกคนว่าอยากพักผ่อนจากนั้นได้กลับไปหาฉีเฟยอวิ๋น

พอเขามาก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นกำลังมองกระจกอยู่ หนานกงเย่เข้าไปสวมกอดทางด้านหลัง ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดดีแล้ว ท่านอ๋องนอนอยู่กับหม่อมฉันเพียงคนเดียวไม่ใช่หนทางที่ดี นานแล้วก็จืดจางเบื่อ เอาอย่างนี้เถิด รับอนุภรรยาให้ท่านอ๋องเลย

หม่อมฉันว่าบุตรสาวคนเล็กของท่านแม่ทัพหวานั้นเหมาะสม”

หนานกงเย่ยิ้มแข็งทื่อ กลางฝ่ามือเหงื่อท่วมกล่าวว่า“อวิ๋นอวิ๋นเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ชอบรับอนุภรรยา ชอบนอนกับอวิ๋นอวิ๋นคนเดียว อวิ๋นอวิ๋นอย่าทำข้าตกใจเลย!”

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะแต่ไม่กล่าวพูด แต่ทว่าแววตาคู่นั้นของเธอกลับพิฆาตมาก มองจนหนานกงเย่เจ็บปวดเนื้อตัวทีเดียวเชียว