บทที่ 615 เมืองอันว่างเปล่า

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 615 เมืองอันว่างเปล่า

บทที่ 615 เมืองอันว่างเปล่า

อวิ๋นเซวียนอี้และอู๋กั่วลาถอยไปก่อน หวาชิงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “พระชายาเย่ข้าเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าต้องการคุยกับอ๋องเย่เพียงผู้เดียวไม่รู้ว่าสะดวกหรือไม่?”

“หากข้าบอกว่าไม่สะดวกก็เกรงว่าเจ้าจะไม่เชื่อ จะบอกว่าสะดวกที่จริงนั้นไม่สะดวก และอ๋องเย่เพื่อหลีกเลี่ยงแม่ทัพน้อยจึงต้องแกล้งเจ็บป่วยอยู่บนเตียง ตอนนี้ข้าก็จนปัญญายิ่งนัก”

หวาชิงควบคุมสติไม่ได้เล็กน้อยแต่กลับกล่าวว่า: “เหตุใดอ๋องเย่ถึงไม่ชอบข้า มิทราบว่าพระชายารู้หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ เจ้าก็เข้าไปเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นก้าวออกไปด้านนอกและปล่อยหนานกงเย่ไว้

หวาชิงรีบกำหมัดแล้วขอบคุณนาง: “ขอบคุณพระชายาเย่ที่ส่งเสริม”

ส่งฉีเฟยอวิ๋นจากไปแล้วหวาชิงก็ตื่นเต้นยิ่งนัก นางมองไปยังประตูห้องของหนานกงเย่จากนั้นผลักประตูออกแล้วเดินเข้าไปโดยแทบจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

หนานกงเย่ลุกขึ้นนั่งอย่างอึดอัดใจ เห็นหวาชิงแล้วหนานกงเย่ก็กล่าวว่า: “เปิดประตูไว้”

หวาชิงตกตะลึงครู่หนึ่งจากนั้นก็หันกลับมามองยังประตูด้านหลัง นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดและเปิดประตูออก

“คุ้มครองพระชายา”

หนานกงเย่สั่ง จากนั้นร่างคนสองสามคนรีบออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปคุ้มครองฉีเฟยอวิ๋น

หวาชิงสังเกตดูหนานกงเย่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปทางหนานกงเย่ นางสวมเครื่องแบบแม่ทัพน้อยและหยุดอยู่ตรงหน้าหนานกงเย่

ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงสองเมตร ใบหน้าของหนานกงเย่นั้นเย็นชาแล้วลุกยืนขึ้นจากนั้นเดินไปยังตรงด้านหน้าโต๊ะตรงฝั่งหนึ่งแล้วนั่งบนเก้าอี้และกล่าวว่า: “มานั่งลงสิ”

หวาชิงเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของหนานกงเย่แล้วนั่งลง

“ท่านอ๋อง ข้าไม่ดีหรือ?” หวาชิงเป็นคนตรงไปตรงมาซึ่งเกี่ยวข้องกับการที่นางเติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร และสิ่งที่นางได้เรียนรู้คือความตรงไปตรงมาของเด็กผู้ชาย

หนานกงเย่ส่ายศีรษะ: “เจ้าดีนัก”

“เช่นนั้นเหตุใดท่านอ๋องถึงไม่ชอบข้าหล่ะ?”

“ไม่ได้ไม่ชอบเพียงแต่ไม่สามารถชอบได้และไม่ควรชอบ ข้าชื่นชอบผู้คนมากมาย เสด็จแม่ ฝ่าบาท อ๋องตวน แม้กระทั่งราชครูจวินแล้วก็รวมถึงพระชายาตวน

แต่นั่นไม่เหมือนกัน สำหรับข้าแล้วแม่ทัพน้อยดูราวกับเป็นดอกไม้งามที่เบ่งบานอยู่ในทะเลทรายดอกหนึ่ง

ทะเลทรายกว้างใหญ่แต่ก็รกร้าง การได้เห็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่สวยงามท่ามกลางทะเลทรายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์งดงามนักเท่าใดซึ่งช่างน่าประหลาดใจนัก

แต่ดอกไม้นี้เติบโตอยู่ท่ามกลางทะเลทรายก็ต้องมีความหมายของการดำรงอยู่และเหตุผลที่ทำให้นางมีชีวิตอยู่

ข้าสามารถมองดูได้เพียงที่ไกล ไม่สามารถมองดูใกล้ๆ ยิ่งไม่สามารถเอื้อมมือไปหยิบ

ยิ่งกว่านั้นข้ายังอุ้มกระบองเพชรทรงกลมดอกหนึ่งเอาไว้ในอกอีกด้วย? ”

หวาชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเย่ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า: “อวิ๋นอวิ๋นไม่ใช่สาวที่มีเสน่ห์ดังเช่นเจ้าแต่นางก็ไม่เลว ความสง่าสวยงามของนางและท่าทางอันงดงามเป็นทิวทัศน์ที่ข้าไม่สามารถมองได้หมดในชั่วชีวิตนี้

ความงามของนางไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกของนางเท่านั้น ข้าจำได้ว่านางเคยบอกกับข้าว่าผู้ที่ดูดีนั้นมีอยู่มากมายแต่ผู้ที่จิตใจงดงามโดยแท้จริงนั้นมีน้อย

ข้าเชื่อว่านางคือในจำนวนอันน้อยนั้น

ในขณะที่ข้าสัญญาว่าจะอยู่กับนางข้าก็เคยสัญญาว่าจะอยู่กับนางไปจนชั่วชีวิต และจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นอีก

ในโลกของนางจะไม่มีคนที่สามอยู่

สองวันมานี้ข้าไม่กลัวคำพูดตลกของแม่ทัพน้อยแต่ถูกนางทำให้หวาดผวาซะแล้ว นางนั้นต้องการให้ข้าแต่งชายารองอยู่นั่น ข้านอนไม่หลับกินไม่ลงเนื่องจากกลัวว่านางจะเข้าใจข้าผิด

วันนั้นในขณะที่ข้าเห็นแม่ทัพน้อยก็ราวกับเห็นดอกไม้แปลกสวยงามดอกหนึ่ง ท่ามกลางทะเลทรายนี้เหตุใดถึงมีหญิงงดงามเช่นนี้ได้

แต่ภายหลังข้ารู้สึกเสียใจนักเหตุใดอวิ๋นอวิ๋นจะไม่ใช่ดอกไม้แปลกสวยงามดอกหนึ่งท่ามกลางทะเลทราย ข้าเห็นนานซะจนลืมไปเสียแล้ว ”

หวาชิงลุกขึ้น: “ท่านอ๋องข้าตกหลุมรักท่านตั้งนานแล้ว ตอนนั้นข้าอายุแค่เพียงหกขวบและยังเป็นเด็กอีกด้วย จากกันครานั้นก็นานหลายปีหรือว่าท่านจำไม่ได้แล้วหรือ?”

หนานกงเย่ประหลาดใจแล้วหันไปมองหวาชิง พยายามคิดแล้วจู่ๆก็นึกขึ้นมาได้

“เจ้าคือสาวน้อยผู้นั้นหรือ?”

หวาชิงพยักหน้า: “ในตอนนั้นข้าเคยบอกกับท่านอ๋องว่านอกจากท่านอ๋องแล้ว แม้ต้องตายก็จะไม่แต่งงานกับผู้อื่น”

“แม่ทัพน้อยนี่ไม่ใช่เรื่องตลก ในตอนนี้ข้ามีภรรยาและลูกแล้วจึงไม่สามารถแต่งงานกับเจ้าได้” หนานกงเย่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

หวาชิงส่ายศีรษะแล้วเดินไปตรงหน้าประตูและกล่าวว่า: “ตระกูลหวาสามารถวอนขอต่อฝ่าบาทได้ ข้าในฐานะแม่ทัพน้อยของตระกูลหวายินดีที่จะเป็นอนุของท่านอ๋อง ที่จริงแล้วถึงแม้ว่าท่านอ๋องจะไม่ยินยอมก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้”

“……” หนานกงเย่เห็นว่าไม้อ่อนใช้ไม่ได้สีหน้าจึงได้หมองลงแล้วหัวเราะเสียงเบาโดยที่เขาหยุดกล่าว จากนั้นสะบัดแขนเสื้อแล้วก้าวเดินออกไปจากห้อง

หวาชิงร้อนรนจึงออกไปดูหนานกงเย่ที่จากไปและต้องการเปิดปากเรียกให้หนานกงเย่หยุด แต่เขาเดินเร็วยิ่งนักในชั่วพริบตาก็หายไปซะแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นออกจากที่นางอาศัยอยู่ก็ไปในเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลและเดินก็ไม่ไกลเท่าไหร่ นางสวมเสื้อผ้าที่ไม่ได้โอ่อ่านัก คราวนี้ออกมาได้เตรียมเสื้อผ้าเนื้อหยาบมาด้วยนิดหน่อย อยู่ที่ชายแดนสวมหรูหรามากนักยิ่งเป็นการไม่ดี

ฉีเฟยอวิ๋นไปถึงที่ตลาดก็เริ่มออกเที่ยวและพบว่าผู้คนที่นี่ไม่ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีนัก การสวมใส่ไม่ดี อาหารการกินไม่ดีและไม่มีแม้แต่สถานที่รักษาโรคภัย เมื่อสืบถามถึงได้รู้ว่าพอได้ยินว่าทั้งสองเมืองจะสู้รบกันแล้ว หมอและร้านค้ามากมายก็ได้หลบหนีไปแล้ว

ราษฎรไม่มีเงิน ไม่มีสถานะ ไม่มีทางไปมีเพียงแต่รายได้จากสัตว์ที่ติดกับดักที่นี่เท่านั้น

ปีนี้อากาศหนาวเหน็บปลูกพืชได้ไม่ดี เมล็ดพืชก็ใกล้ตาย กินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่น หมอก็หนีกันหมด ชาวบ้านทั้งหลายทำได้เพียงแค่ขุดผักป่า อากาศที่หนาวเย็นไม่มีที่หาอาหารก็ไปที่ถ้ำน้ำแข็งเพื่อจับปลา จับปลาน้ำเย็นซึ่งหนาวจนเจ็บป่วย เจ็บป่วยไม่มีที่รักษาต้องรอตายเพียงเท่านั้น

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังชายอายุห้าสิบกว่าปี กำลังไอและหยิบเสื้อผ้าชุดเดียวที่มีอยู่ในเรือนออกมาขายเพื่อเปลี่ยนเป็นอาหารเล็กๆน้อยๆ

แต่ว่าจะเปลี่ยนเช่นไร?

ทุกคนไม่มีเงินกันทั้งนั้น อาหารก็ไม่มีจะกิน อาหารของผู้ใดจะสามารถนำออกมาใช้ช่วยเหลือผู้อื่นได้หล่ะ?

“ที่นี่มีร้านข้าวสารหรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นถามชายที่ไอและชายคนนั้นก็พยักหน้า

“ด้านหน้ามีอยู่ร้านหนึ่ง คือร้านข้าวสารฮุ่ยเฟิง ได้ยินมาว่าคนจากเมืองหลวงเป็นคนมาเปิด พวกเขายังมีสำนักการเงิน ร้านเกลือและร้านผ้าไหม”

บุรุษกลับรู้หมด ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองย้อนกลับไปที่คนที่กำลังตามมา

“พาเขาไปยังร้านข้าวสาร” คนด้านหลังขึ้นมาและแบกไปอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นไม่มีแรงที่จะดิ้นรนและให้คนพาตัวไปตามแต่ใจ

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามตลอดทางไปจนถึงทางโน้น เดินไปถึงหน้าประตูร้านข้าวสาร ดึงป้ายบนตัวนางลงมาแล้วมอบให้ลูกจ้าง ลูกจ้างเห็นมังกรแท้ด้านบนก็ตกใจจนตัวสั่นรู้ว่าเป็นคนมาจากเมืองหลวงจึงไม่กล้าละเลยจึงได้หันหลังวิ่งกลับไปเลย

ฉีเฟยอวิ๋นสังเกตว่าฮุ่ยเฟิงนั้นเก่งจริงๆ ถึงกับเปิดร้านขายข้าวสารเอาไว้ที่นี่ได้

กล่าวตามตรงอ๋องตวนเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดและรู้จักวางแผนล่วงหน้า

ไม่นานเถ้าแก่ก็ออกมาจากประตูโดยถือป้ายไว้ในมือทั้งสองข้าง เห็นฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลงจากนั้นมือทั้งสองก็ส่งป้ายให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเก็บป้ายไว้แล้วเข้าประตูไป

เถ้าแก่วุ่นอยู่กับการต้อนรับฉีเฟยอวิ๋นและฉีเฟยอวิ๋นก็ดูอาการป่วยให้ชายผู้นั้นก่อน

อากาศหนาวเย็นเป็นไข้หวัดและปอดบวมก่อน ตามมาด้วยอาการหนาวเหน็บที่ขาและเลือดออกในกระเพาะรวมทั้งอาการบวมเป็นน้ำเหลือง

“มีร้านขายยาหรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นดูอาการเรียบร้อยแล้วถาม เถ้าแก่รีบบอกว่าสมุนไพรได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วแต่ร้านสมุนไพรไม่มีแล้ว

“เกิดอันใดขึ้น?” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มไม่พอใจขึ้นมา ที่ตรงนี้นั้นดูแลจัดการกันเช่นไร?