บทที่ 104 จะทรงทอดทิ้งหม่อมฉันไหมเพคะ

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

“แย่จริงเชียว” น้ำเสียงของเขาฟังดูเศร้าซึมเล็กน้อย “เราแสดงออกไม่ชัดเจนพอหรือ”

“…”

เขาแสดงให้เห็นแล้ว เพียงแต่นางไม่เชื่อความจริงที่อยู่ในสิ่งที่เขาแสดงออกเท่านั้น

“ข้ารักเจ้า”

“…”

“รักเจ้าด้วยใจจริง แม้ว่าเจ้า…อาจจะยังไม่เชื่อก็ตาม” เสียงของลูซิโอเบาลงเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็พูดต่ออย่างหนักแน่นราวกับไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “ข้าจะรอ ข้ารอได้ แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น…”

“…”

“ขอเพียงเจ้าไม่จากข้าไปไหน ขอเพียงเจ้ารับฟังคำขอนี้ของข้า ไม่ว่าอะไรข้าล้วนทำเพื่อเจ้าได้”

การหนีเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพราะนางรักเขา แต่เพราะแพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่าการออกจากวังไม่ใช่เรื่องง่าย นางได้แต่งอแงเซ้าซี้เหมือนเด็กเท่านั้น ฝ่ายที่โง่เขลาอาจเป็นตัวนางเอง แพทริเซียก่นด่าตัวเองในใจ

“หม่อมฉันไม่ไปไหนหรอกเพคะ”

“…จริงหรือ”

“เพคะ”

และนางก็รู้ว่าเขากำลังไม่สบายใจ เขาเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวกับการจากลาอย่างมาก บางทีอาจมีสาเหตุมาจากการต้องบอกลามารดาแท้ๆ อย่างน่าเศร้าเช่นนั้น แพทริเซียรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด

“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ…”

เขากุมมือแพทริเซียไว้แน่นด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง การกระทำปุบปับของเขาทำให้แพทริเซียตกใจเล็กน้อย แต่นางก็คงยังคงรักษาสีหน้าเรียบนิ่งไว้ได้โดยไม่แสดงอาการ

“เราจะ…ทำให้ดีที่สุด”

น้ำเสียงของลูซิโอปนสะอื้นเล็กน้อย เขาไม่อยากให้ข้าจากไปถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แพทริเซียพึมพำในใจ ข้ามีความหมายอย่างไรกับเขากันนะ

“หากเราอยู่แล้วเจ้าไม่สบายใจ…เราออกไปดีหรือไม่”

ลูซิโอถามอย่างลังเล แพทริเซียเองก็ลังเลเช่นกัน หากเป็นเมื่อก่อนนางคงไล่เขาออกไปอย่างเย็นชา ทว่า…อาจเป็นเพราะการกอดก่ายกันเมื่อวาน นางจึงไม่รู้สึกอยากเอ่ยคำนั้น น่าแปลกนัก แพทริเซียหยิบยกการแสดงความรักต่อกันเมื่อวานมาเป็นเหตุผลและคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตกใจเล็กน้อย

“อย่าไปเลยเพคะ” นางพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ

“…ได้สิ”

เสียงตอบรับของลูซิโอฟังดูล่องลอย แพทริเซียจ้องมองเขาก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง การมีใครสักคนอยู่เคียงข้างช่วยปลอบประโลมนางได้มากที่สุด

***

“คราวนี้ฝ่าบาทพระราชทานทาร์ตแอปเปิ้ลกับคุกกี้เมอแรงมาให้เพคะ”

มีร์ยาพูดด้วยน้ำเสียงขบขันระคนยินดี ด้วยการดูแลประคบประหงมอย่างสุดกำลังของลูซิโอ ร่างกายของแพทริเซียจึงฟื้นตัวได้ประมาณหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ได้รับขนมที่บรรจุไว้ด้วยความเอาใจใส่ของลูซิโอจนล้นปรี่ทุกวัน

“นี่ก็เข้าสัปดาห์ที่สามแล้ว หรือพระจักรพรรดิทรงคิดที่จะพระราชทานขนมหวานเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ในสัปดาห์หน้า? ทำขนมหลากชนิดมาให้ทุกวันเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย” มีร์ยากล่าว

“…”

อย่างที่มีร์ยาพูด หลังจากวันนั้นลูซิโอก็ส่งขนมที่ทำเองมาให้ทุกวันไม่ขาด และขนมในแต่ละวันก็ไม่ซ้ำกัน

แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาที่มีร์ยาดูตื่นเต้นดีใจมากกว่านาง

“ให้ทิ้งหรือไม่เพคะ”

และมีร์ยาก็จะถามเช่นนี้ทุกครั้งราวกับเป็นธรรมเนียม มีร์ยารู้อยู่แล้วว่าแพทริเซียไม่มีทางทิ้งขนมที่ลูซิโอส่งมาให้ แต่ราฟาเอลากับมีร์ยาคิดว่า…หากไม่ถือโอกาสนี้กระเซ้าเย้าแหย่จักรพรรดินีผู้ประเสริฐเสียหน่อย ก็ไม่รู้ว่าพวกนางจะมีโอกาสอีกเมื่อใด แน่นอนว่าเปโตรนิยาเองก็เห็นด้วยเป็นครั้งคราว

“…ส่งมา”

แพทริเซียแสร้งพูดอย่างไม่ยินดี มีร์ยายิ้มน้อยๆ พลางถาม

“ฝ่าบาทไม่โปรดสิ่งที่องค์จักรพรรดิทรงทำให้มิใช่หรือเพคะ”

“จะให้ข้าถูกจับฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไร ขืนทิ้งไปแล้วถูกฝ่าบาทโกรธจะทำอย่างไร”

ได้ฟังคำตอบแล้วมีร์ยาก็หัวเราะคิกคักในใจ จักรพรรดิรักจักรพรรดินีมาก ต่อให้จักรพรรดินีโยนขนมทิ้งไปจริงๆ จักรพรรดิก็มิอาจลงโทษนางได้ และมีร์ยารู้ดีว่าแพทริเซียเองก็รู้เรื่องนี้ มีร์ยายื่นกล่องสีชมพูที่บรรจุทาร์ตและคุกกี้ไว้ภายในให้แพทริเซียเงียบๆ

“นี่เพคะ ฝ่าบาท”

“…ออกไปได้”

แพทริเซียจะกินขนมตอนอยู่คนเดียวเท่านั้น ราฟาเอลาและมีร์ยาพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้จึงแอบไปหัวเราะกันลับหลัง ไม่แสดงอาการต่อหน้าแพทริเซียเด็ดขาด ถ้าแพทริเซียรู้ว่าทั้งสองคนคุยเรื่องพวกนี้กันอยู่ แทนที่โมโหใหญ่โต คนสุขุมอย่างแพทริเซียคงประท้วงด้วยการทำอะไรที่ตรงข้ามกับใจเสียมากกว่า ดังนั้น จะให้แพทริเซียรู้ไม่ได้ อย่างน้อยก็เพื่อความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่สมบูรณ์แบบ

“เฮ้อ”

หลังจากให้ข้ารับใช้ออกไปหมดแล้ว แพทริเซียก็เปิดกล่องเงียบๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนห่อ แต่กล่องมักจะถูกผูกไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพูหรือไม่ก็สีแดงทุกครั้ง กลิ่นแป้งสาลีหอมหวานลอยขึ้นมาเตะจมูก

“ท่าทางน่าอร่อย”

แพทริเซียพึมพำเบาๆ ก่อนจะหยิบคุกกี้เมอแรงขึ้นมากัดคำหนึ่ง อร่อยจัง แพทริเซียยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่การกินขนมหวานจากลูซิโอกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่นางเฝ้ารอมากที่สุดในบรรดากิจวัตรอันแสนน่าเบื่อของตน

***

“คิดว่าเป็นเจ้าแล้วจะมีอะไรแตกต่างรึ?”

สตรีชุดขาวปล่อยผมสีชมพูยาวสยายหัวเราะเสียงเย็น เมื่อเห็นอีกฝ่าย แพทริเซียก็ถอยหลังทีละก้าวยังไม่มั่นคง

“จะไปไหนก็ไป”

“เจ้าเองก็ไม่ต่างกันหรอก จักรพรรดินีผู้สูงส่ง หากเขามีผู้หญิงคนใหม่เจ้าก็จะถูกทิ้ง”

“…ข้าไม่เคยเปิดใจให้ผู้ชายคนนั้น”

แพทริเซียฝืนปฏิเสธออกไป แต่โรสมอนด์กลับหัวเราะคิกคักราวกับมองออกทุกอย่าง

“โง่เง่า เจ้าเปิดใจให้เขาแล้ว”

“…”

“เจ้าเป็นฝ่ายกอดเขาก่อนมิใช่รึ คนที่จูบเขาก่อนก็คือเจ้าเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเพียงแต่ดื้อดึงเพราะไม่อยากยอมรับหัวใจตัวเองเท่านั้น หรือมิใช่?”

“ต่อให้ข้าเป็นเช่นนั้น แล้วมันเกี่ยวอันใด…”

กับเจ้า แพทริเซียสั่นสะท้านไปทั้งร่างพร้อมทั้งเขม้นมองโรสมอนด์ นางตายไปแล้ว ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงภาพหลอน ตายก็ตายไปแล้ว เหตุใด…เจ้ายังมารังควานข้า

“ข้าตื่นเต้นอยากเห็นเจ้าเป็นเหมือนข้าในเร็ววันจนอยู่ไม่สุขแล้ว”โรสมอนด์กระซิบข้างหูอย่างนึกสนุก“สักวันเมื่อผู้ชายคนนั้นมีผู้หญิงคนใหม่ เจ้าก็จะถูกกิโยตีนบั่นคอเช่นเดียวกับข้า”

“เจ้า…”

“ทำไม? เจ้าจะปฏิเสธรึ?” โรสมอนด์หัวเราะร่าราวกับจะเย้ยหยันความโง่เขลาของแพทริเซีย “โง่งม! ตอนแรกผู้ชายคนนั้นก็ทำกับข้าเช่นเดียวกับที่ทำกับเจ้า ทำราวกับมอบกายถวายชีวิตให้ข้าได้”

“นั่นเพราะระหว่างเจ้าเขากับมิใช่รักแท้”

แพทริเซียยิ้มออกเป็นครั้งแรก ทว่า มิใช่รอยยิ้มที่งดงาม กลับเป็นรอยยิ้มที่น่าสลดใจเพราะมันทั้งน่ากลัว พิลึกพิลั่น และเย็นชา

“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขามันผิดมาตั้งแต่แรก เจ้าเองก็รู้มิใช่รึ” แพทริเซียกล่าวย้ำ

“…”

“เจ้าไม่ได้รักฝ่าบาทด้วยใจจริง ส่วนฝ่าบาทก็แค่ถูกหลอกด้วยอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น เช่นเดียวกับหัวใจที่สั่นไหวเพราะความกลัวกลับถูกเข้าใจว่าสั่นไหวเพราะความหวั่นไหว”

“เจ้ามันอวดฉลาดจนถึงที่สุดจริงๆ! เจ้ามั่นใจหรือว่าจะไม่เป็นเช่นข้า?”

“…”

“นั่นปะไร เจ้าไม่มั่นใจล่ะสิ”

โรสมอนด์ยิ้มอย่างงดงามและพูดทิ้งท้าย

“สักวันเจ้าจะตกอยู่ในสภาพเดียวกับข้า”

ทันใดนั้น สภาพของโรสมอนด์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเหมือนตอนที่นางตายต่อหน้าแพทริเซีย ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของผู้คนและเสียงอันน่าสะพรึงของใบมีดที่ตัดผ่านลำคอ… แพทริเซียกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว

“กรี๊ด!”

นางผุดลุกขึ้น หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ มีร์ยาและราฟาเอลาได้ยินเสียงร้องก็รีบเปิดประตูเข้ามาในห้อง

“ฝ่าบาท!”

“ริซซี่!”

ทั้งสองกวาดตามองรอบๆ เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่เห็นวี่แววอะไรพวกนางจึงถอนหายใจออกมา

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ” มีร์ยาถามอย่างห่วงใย

“ตายจริง มีร์ยา ดูเหงื่อพวกนี้สิคะ”

“แฮ่ก…”

แพทริเซียหอบหายใจอย่างต่อเนื่อง นางพยายามสงบสติอารมณ์แต่กลับปรับลมหายใจให้เป็นปกติไม่ได้โดยง่าย นางกำนัลคนหนึ่งรีบนำน้ำอุ่นมาให้ แพทริเซียรับมาดื่มอย่างเนิบช้า ก่อนจะหอบหายใจด้วยสีหน้าซีดเผือด

“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ราฟาเอลาถาม

“แฮ่ก…ให้ตาย”

แพทริเซียพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกอย่างประหลาด

“ข้าต้องไปตำหนักกลาง”

อีกด้านหนึ่ง ลูซิโอเข้านอนเร็วกว่าปกติ ตอนที่แพทริเซียตื่นขึ้นมาเพราะฝันร้ายตัวเขาก็หลับไปนานแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนแห่งความฝันโดยที่ไม่รู้ว่าแพทริเซียต้องเจอกับอะไร

“ฝ่าบาท? มีเรื่องอันใด…”

“พระจักรพรรดิประทับอยู่ด้านใน…”

“ฝ่าบาทบรรทม…”

ปกติแล้วลูซิโอเป็นคนนอนหลับไม่ลึก เมื่อได้ยินเสียงรบกวนรางๆ ไม่ปะติดปะต่อ เขาจึงตื่นขึ้นและลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเหม่อลอยพร้อมกับเอ่ยถาม

“มีเรื่องอันใด”

สิ้นเสียงนั้น ความเคลื่อนไหวด้านนอกก็สงบนิ่งในทันใด ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเสียงของหัวหน้านางกำนัลก็ดังขึ้น

“ฝ่าบาท พระจักรพรรดินี…”

“รีบให้นางเข้ามาสิ มัวทำอะไรอยู่”

“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท เชิญเสด็จเพคะ พระจักรพรรดินี”

ประตูเปิดพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ในตอนนั้นตาของลูซิโอยังคงพร่ามัว เขาตบแก้มตัวเองอย่างแรงสองสามทีเพื่อให้ตื่นเต็มตาโดยเร็ว นางมาหาเขากลางดึกเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน ลูซิโอลุกขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวังและหวั่นไหวระคนหวาดกลัว

“…”

แพทริเซียเข้ามาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง มิได้เกล้าขึ้นให้เรียบร้อยเหมือนยามปกติ แน่นอนว่าในสายตาของลูซิโอความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีความหมายอันใด เพราะแพทริเซียที่อยู่ในสภาพนี้ดูน่ารักน่าเอ็นดูหาใดเปรียบและให้ความรู้สึกไร้เดียงสา แพทริเซียในชุดนอนสีขาวเดินโซเซเข้ามาหาลูซิโอ ไม่รู้ว่าสภาพของนางดูน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หรือเพราะลูซิโออยากเข้าใกล้แพทริเซียให้เร็วขึ้น เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างอดรนทนไม่ไหว

“จักรพรรดินี มีเรื่องอันใด…”

“ฝ่าบาท”

น้ำเสียงที่แพทริเซียใช้เรียกเขาฟังดูไม่ปกติ ลูซิโอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลงโดยสัญชาตญาณ

“ริซซี่? เกิดอะไรขึ้น”

“ฝ่าบาท”

นางเอาแต่เรียกเขา เขาเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสุขุม

“ชู่ว ไม่เป็นไร เกิดอะไรขึ้น”

“…”

แพทริเซียเอาแต่มองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไร สายตาของนางดูสั่นไหวอย่างประหลาด ลูซิโอจึงนึกกลัวขึ้นมา เขารู้จักสายตานี้ มันเป็นสายตาที่เขาขยาดด้วยรู้สึกชินชากับมันเหลือเกิน มันเป็นสีหน้าที่เขาเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจนับตั้งแต่วันนั้น

“ริซซี่ เป็นอะไร…” เขาถามเสียงสั่น

ทว่า ยังไม่ทันได้ถามให้รู้ความ แพทริเซียก็กอดเขาไว้แน่น เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ลูซิโอย่อมทำตัวไม่ถูก ได้แต่ละล่ำละลักถามหาต้นสายปลายเหตุโดยไม่มีเวลาให้ดีใจเรื่องที่แพทริเซียเป็นฝ่ายกอดเขาก่อน ดูเหมือนนางจะมีบางอย่างแปลกไป

“เกิดอะไรขึ้นหรือ หากเจ้าไม่อยากบอกก็…”

“ฝ่าบาท”

แพทริเซียเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทรมาน

“จะทรงทอดทิ้งหม่อมฉันไหมเพคะ”