หลบหนี

ข้อสันนิษฐานของจางเซวียนเริ่มสั่นคลอนเมื่อเห็นอีกฝ่ายนำของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า จางเซวียนนึกสงสัยว่าเขาอาจคิดผิด แต่เมื่อชายร่างสูงกลายสภาพกลับสู่ร่างเดิม ก็ชัดเจนว่าชายหนุ่มทั้งกลุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ!

พูดตามตรง ถึงเขาจะอยากไว้ใจหลัวลั่วชิง แต่ก็ยังมีเสี้ยวของความสงสัยอยู่ในหัวใจที่สลัดไม่หลุด ทำให้เขาพยายามตรวจสอบหวู่เฉินด้วย

จางเซวียนหน้าแดงก่ำด้วยความละอายใจ

หลัวลั่วชิงไว้ใจเขาโดยปราศจากเงื่อนไข บอกทุกเรื่องที่เธอรู้ให้เขาฟังโดยไม่ลังเล ถึงกับมอบของล้ำค่าอย่างลายมือปรมาจารย์ขงให้เขาราวกับมันไม่ได้มีค่าอะไรเลย แต่เขากลับสงสัยในตัวเธอ…

ยิ่งคิด จางเซวียนก็ยิ่งละอายใจ

ในเวลาเดียวกัน หลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าชายหนุ่มคนสุดท้ายกลายสภาพกลับสู่สภาพของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นแล้ว ทั้งคู่ถึงกับจังงังไปชั่วขณะ

“ในเมื่อแกเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ ฉันก็จะไม่รั้งรอละนะ!”

เมื่อแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่าย จางเซวียนไม่อยากเสียเวลาพูดอะไรอีก เขาตวาดก้อง จากนั้นก็เงื้อหอกเข้าใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง

เมื่อกลับคืนสู่ร่างเดิม ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่าที่เคย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่างไกลกับการเทียบชั้นกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่เป็นอาวุธของจางเซวียน

ฉึกกก!

ไม่ช้า เขาก็ถูกแทงเข้าที่หัวไหล่ เลือดสดๆทะลักออกมาจากบาดแผลที่เปิดอ้า

ในเวลาเดียวกันนั้น ทั้งชายหนุ่มท่าทางบอบบางและชายหนุ่มผิวคล้ำต่างก็ง่วนอยู่กับการรับมือกับการโจมตีอันทรงพลังของจางเซวียนที่โถมเข้าใส่ระลอกแล้วระลอกเล่า แม้แต่จะหาเวลาหายใจก็ยังยาก นับประสาอะไรกับจะช่วยเหลือชายหนุ่มคนสุดท้าย!

รู้ดีว่าจะต้องพ่ายแพ้แน่หากปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ชายหนุ่มท่าทางบอบบางตะโกนอย่างร้อนรนเร็ว “เร็วเข้า คว้าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมาให้ได้!”

“ได้สิ!” ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดที่อยู่ตรงหน้าเครื่องรางรีบตอบรับ

เขากำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้กับหลัวลั่วชิง

การโจมตีของสาวน้อยไม่ได้รวดเร็วหรือทรงพลังมากนัก แต่ทุกกระบวนท่าก่อให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึงซึ่งสามารถสังหารเขาได้ทุกวินาทีหากเขาไม่ระวังตัว หลังจากแลกเปลี่ยนกันไปได้สองสามกระบวนท่า ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดก็พบว่าแขนของเขาเริ่มชา ใบหน้าซีดเผือดจากความบอบช้ำที่สะสมไว้

พวกเขาล้วนเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง อีกฝ่ายซึ่งมีสมาชิกเพียง 3 คนต่างมีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่น่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ!

ทิศทางของการต่อสู้ไม่ได้เข้าข้างพวกเขาเลย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้แน่ ดังนั้น ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดจึงกัดฟันและโยนหนังสือเล่มหนึ่งออกไป

ฟึ่บ!

ทันทีที่หนังสือเล่มนั้นปรากฏ มันก็แปรสภาพเป็นผืนผ้าที่สามารถปกปิดได้แม้แต่สวรรค์ มันร่วงลงบนร่างของหลัวลั่วชิง บดบังเธอไว้จากโลกภายนอก

“ลายมือของนักปราชญ์โบราณหรือนี่?” หลัวลั่วชิงหน้าดำคร่ำเครียดขณะรีบยกมือขึ้นเพื่อต้านทานผืนผ้าที่คลุมตัวเธอไว้

 

แต่พละกำลังทั้งหมดที่เธอสำแดงออกมาก็ถูกผืนผ้าซึมซับไป ไม่อาจฝ่าด่านป้องกันนั้นออกมาได้

ลายมือของนักปราชญ์โบราณมีพละกำลังมหาศาล ต่อให้นักรบขั้นกึ่งนักปราชญ์โบราณก็ไม่อาจเป็นอิสระจากมัน นับประสาอะไรกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน!

“เฮ่อออ!” ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะหันไปที่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน

ด้วยการสะบัดข้อมือเพียงครั้งเดียว เขาก็นำตราสัญลักษณ์อันหนึ่งออกมาและกดตรานั้นเข้ากับฉนวนที่ปิดกั้นเครื่องรางไว้

วิ้ง!

ทันทีที่ตราสัญลักษณ์สัมผัสกับฉนวน ฉนวนก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ฟึ่บ!

จากนั้นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็มาอยู่ในมือของเขา

“ไปกันเถอะ!” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มท่าทางเฉลียวฉลาดรีบร้องเรียกเพื่อนร่วมทีมขณะนำตราหยกอีกอันหนึ่งออกมา

เขาหักตราหยกนั้นอย่างแรง แล้วรอยแยกของมิติก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา กลืนกินเขาลงไป

“ไปกันเถอะ!”

เมื่อเห็นว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการในอาณาจักรโบร่ำโบราณแล้ว ชายหนุ่มท่าทางบอบบางและชายหนุ่มผิวคล้ำรีบคว้าตัวเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก่อนจะนำสิ่งที่ดูเหมือนกับตราหยกอีกอันหนึ่งออกมาและหักมัน

“พวกแกคิดจะไปไหนน่ะ?”

นึกไม่ถึงว่าทั้งกลุ่มจะมีอุปกรณ์หลบหนี จางเซวียนรีบเคาะนิ้วไปยังพื้นที่ตรงหน้า

วิ้ง!

มิติที่อยู่ล้อมรอบชายหนุ่มทั้ง 3 แข็งทื่อไปในทันที

ความเข้าใจเรื่องแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิตินั้นทำให้จางเซวียนสามารถสกัดกั้นคลื่นรบกวนภายในมิติได้ ตราหยกที่ชายหนุ่มนำออกมาใช้มีลักษณะเหมือนกับค่ายกลทะลุมิติ ดังนั้น เมื่อมิติถูกสกัดกั้น ก็ไม่อาจหลบหนีได้

เป็นไปตามคาด ชายหนุ่มทั้ง 3 ที่กำลังจะหลบหนีผ่านทางรอยแยกของมิติต่างตัวแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือหลบหนี

“บอกมา! แกเอาจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของฉันไปไว้ที่ไหน?” จางเซวียนคำรามพร้อมกับแผ่เจตนาสังหารเยือกเย็นออกมา

“จ้าวหย่า? แกหมายถึงคนที่มีสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์หรือ?” ชายหนุ่มท่าทางบอบบางถามกลับ

“ใช่!” จางเซวียนหรี่ตามองทั้ง 3 ด้วยสายตาข่มขู่

“ถ้าแกอยากเจอพวกนั้นล่ะก็ ไปพบกับพวกเราที่วิหารแห่งขงจื๊อ!”

ชายหนุ่มท่าทางบอบบางหักเครื่องรางอีกอันหนึ่งที่อยู่ในมือของเขาพร้อมกับคำรามเยาะ

บึ้มมมม!

กระแสดาบฉีอันเกรี้ยวกราดระเบิดออกมาจากเครื่องรางที่ถูกหัก ทำลายมิติที่ถูกสกัดกั้นในชั่วพริบตา

เมื่อมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ถูกทำลาย ร่างของทั้งสามก็พร่าเลือน บ่งบอกว่าการทะลุมิติของพวกมันกำลังจะประสบความสำเร็จในอีกเสี้ยววินาที

“ในเมื่อแกไม่เต็มใจพูด ก็ตายซะเถอะ!” จางเซวียนนัยน์ตาแดงก่ำและชี้หอกเข้าใส่ชายทั้ง 3

เขาออมมือให้พวกมันเพื่อจะหาข้อมูลเรื่องจ้าวหย่า แต่ในเมื่อชัดเจนแล้วว่าเจ้าพวกนี้ลักพาตัวเธอไปและพร้อมจะหลบหนีได้ทุกวินาที เขาก็ไม่อาจยับยั้งเจตนาสังหารไว้ได้อีก

ทั้งสามอาจทรงพลัง แต่หากต้องปะทะกับจางเซวียนในสภาวะนี้ ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับเขาได้

ฟิ้วววว!

หอกพุ่งออกไปอย่างเกรี้ยวกราด

“ฮึ่มมม!”

ชายหนุ่มท่าทางบอบบางคำราม เขากระดิกนิ้ว แล้วกระแสดาบฉีอีกสายหนึ่งก็ระเบิดเข้าใส่จางเซวียนอีกครั้ง

จางเซวียนกำลังจะใช้หอกทำลายกระแสดาบฉี แต่พละกำลังบางอย่างที่อยู่ด้านหลังเขาก็ฉุดตัวเขาออกมา

ฟึ่บ!

พื้นที่ที่กระแสดาบฉีพุ่งผ่านพังพินาศอย่างสิ้นเชิง เกิดรอยดำมืดเป็นทางยาว

เมื่อเห็นภาพนั้น จางเซวียนถึงกับเหงื่อตก

ถ้าใครสักคนไม่ดึงเขากลับไป เขาคงถูกตัดขาดเป็นสองท่อนแน่

แต่ในขณะเดียวกันกับที่เขาหลบการโจมตี ชายหนุ่มทั้งสามก็ผ่านรอยแยกของมิติไปได้สำเร็จและหายวับไป

อารมณ์หลากหลายพรุ่งพล่านในหัวใจของจางเซวียน ทั้งความอับจน ความท้อแท้ และความโกรธเกรี้ยว…มันหลอมรวมกันกลายเป็นการถอนหายใจยาว เมื่อเขาหันกลับไป ก็เห็นหลัวลั่วชิงยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับย่นหน้าผาก

“คุณอยากตายหรือไง? นั่นเป็นเครื่องรางที่นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งทิ้งไว้ มีพละกำลังของนักปราชญ์โบราณคนนั้นถึง 1 ใน 10 ไม่มีทางที่คุณจะต้านทานพละกำลังระดับนั้นได้หรอก!”

“พละกำลัง 1 ใน 10 ของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหน้าถอดสีเมื่อรู้ตัวว่าเพิ่งเผชิญหน้ากับอะไร

ไม่น่าแปลกใจแล้วที่กระแสดาบฉีจะทรงพลังถึงขนาดนั้น แม้จะเป็นเพียง 1 ใน 10 ของพละกำลังที่นักปราชญ์โบราณผู้นั้นมี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะต้านทานได้

“ฮึ่มมม! นึกไม่ถึงเลยว่าพวกนั้นจะมีเครื่องรางที่มีอักษรจารึกของนักปราชญ์โบราณ มีแม้กระทั่งเครื่องรางทะลุมิติ!” หวู่เฉินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูสับสน ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักในเรื่องอะไรสักอย่าง

“เครื่องรางทะลุมิติ?”

“มันเป็นเครื่องรางชนิดพิเศษที่มีอักษรจารึกของนักปราชญ์โบราณที่เชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งมิติ มันทำงานเหมือนกับค่ายกลทะลุมิติ เมื่อถูกหัก จะสามารถนำพาผู้ใช้ทะลุมิติไปได้ไกลถึง 1 ล้านลี้…มีของล้ำค่าระดับนั้นอยู่ในครอบครอง ดูเหมือนพวกมันจะใช้เวลาเตรียมตัวสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้นานทีเดียว” หลัวลั่วชิงอธิบายอย่างเคร่งขรึม

“สามารถพาผู้ใช้ทะลุมิติไปได้ถึง 1 ล้านลี้?” จางเซวียนกำหมัดแน่น

หากเขารู้ว่าเจ้าพวกนั้นมีของล้ำค่าระดับนี้อยู่ในครอบครอง คงจะสังหารพวกมันเสียตั้งแต่แรกแล้ว

หรือหากเขาเพียงแค่ทำลายวรยุทธของมัน พวกมันก็คงไม่มีทางใช้เครื่องรางทะลุมิติได้!

เพราะถึงเครื่องรางทะลุมิติจะทำให้ผู้ใช้เดินทางข้ามมิติได้ แต่หากระดับวรยุทธของผู้นั้นต่ำเกินไป ก็คงไม่มีทางรอดชีวิตจากคลื่นรบกวนของมิติระหว่างการเดินทาง

“พวกเราทุ่มเทกันมากมาย แต่ลงท้าย…เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานก็ตกไปอยู่ในมือของพวกมัน…” หวู่เฉินส่ายหน้าอย่างขมขื่นใจ

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าใครจะได้เครื่องรางไป ก็จะต้องถอดรหัสฉนวนที่วิหารแห่งขงจื๊ออยู่ดี ถ้าเราเดินทางไปที่นั่น ก็คงจะเข้าไปได้”

มันเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างมากที่เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานต้องหลุดมือของพวกเขาไป จึงทำได้แค่ปลอบใจตัวเอง

“ไม่หรอกน่ะ พวกมันอาจหนีไปได้ก็จริง แต่ไม่ได้นำเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานไปด้วยหรอก” จางเซวียนพูด

“พวกนั้นไม่ได้นำเครื่องรางไปด้วย?” หลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มพูดอะไร

“ฮ่าฮ่า!”

แทนที่จะอธิบายข้อสงสัยของทั้งคู่ จางเซวียนหันไปมองรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนักและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าผมพูดถูกไหม…เครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน?”