เครื่องรางลำดับแรก

 

รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นถึงกับผงะก่อนจะหัวเราะเจื่อนๆ “คะ-คุณพูดอะไรน่ะ? ผมเป็นแค่ของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งนักปราชญ์โบราณหรันชิวทิ้งไว้ มีหน้าที่พาผู้ที่มาเยี่ยมเยียนเข้าชมพื้นที่เท่านั้น!”

หลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินต่างก็งุนงง

รูปปั้นเด็กชายตัวนี้เดินทางมาพร้อมกับพวกเขาตั้งแต่เข้าสู่หอหรันจื่อจนมาถึงที่นี่ ทั้งคู่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่รูปปั้นที่ได้รับการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ แล้วจะกลายเป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานได้อย่างไร?

และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมชายหนุ่มทั้ง 4 ที่มาก่อนหน้าถึงไม่รู้ ทั้งๆที่พวกนั้นมีของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณมากมายอยู่กับตัว?

“ของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณ? ไม่ทราบว่าคุณเป็นของล้ำค่าชนิดไหน? รังเกียจไหมถ้าจะบอกผมสักหน่อย?” จางเซวียนตอบยิ้มๆ

“ผมเป็นของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากรูปปั้นหินตัวนี้!” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นอุทาน

“ของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากรูปปั้นหินตัวนี้?” จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะเอาสองมือไพล่หลังและเดินวนรอบตัวรูปปั้น “ตัวคุณน่ะทำจากสิ่งที่เรียกว่าหินมากิ พบได้ที่ภูเขาหลู่ชู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแห่งนี้ มันผ่านการบ่มเพาะโดยใช้ระยะเวลายาวนานนับไม่ถ้วน ต้องเผชิญกับทั้งกระแสน้ำในมหาสมุทรและความร้อนแผดเผาของลาวาใต้ดิน ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีหินแบบนี้อยู่ไม่กี่ชนิดหรอก นับอย่างไรก็ได้ไม่เกินสิบ!”

“คุณสมบัติพิเศษสุดของหินมากิก็คือความสามารถในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ได้รับอานุภาพจากหินนี้จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่ด้วยพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่อยู่ในหินมากิ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมพลังจิตวิญญาณให้ได้มากพอเพื่อก่อกำเนิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ…ต่อให้ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณผู้นั้นจะเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่มีทางร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณใส่หินมากิได้! คุณบอกว่าคุณคือของล้ำค่าที่มีจิตวิญญาณซึ่งเกิดจากรูปปั้นหินนี้ แล้วทำไมไม่บอกหน่อยล่ะว่าใครคือผู้มอบชีวิตให้คุณ?”

“ผม…” รูปปั้นเด็กชายจังงังอย่างเห็นได้ชัดกับถ้อยคำนั้น ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะแยกแยะหินที่หายากอย่างตัวมันได้ มันถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวขณะตอบว่า “ก็นักปราชญ์โบราณหรันชิวไงล่ะ…ความสามารถระดับนักปราชญ์โบราณนั้นเหนือกว่าที่คุณคิดนะ! เพียงเพราะคุณทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ได้ยินคำตอบนั้น จางเซวียนเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะรุกคืบต้อนเหยื่อให้จนมุม “นักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธ และผมก็หยั่งถึงความเก่งกาจของเขา แต่ของล้ำค่าที่ได้รับการร่ายมนต์นั้นจะมีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่มอบชีวิตให้มัน ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจึงสามารถทำให้ของล้ำค่าชิ้นนั้นยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวมอบหอหรันจื่อไว้ในมือของคุณและไว้วางใจให้คุณปฏิบัติภารกิจในการนำผู้มาเยือนเข้าเยี่ยมชมโดยรอบ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ทำให้คุณยอมจำนน อีกอย่าง…ก็มีโอกาสที่คุณอาจจะทรยศเขาด้วย ตั้งแต่พบคุณครั้งแรก ผมก็รู้สึกแล้วตั้งแต่ตอนที่คุณเรียกเขาว่า ‘นักปราชญ์โบราณหรันชิว’ แทนที่จะเรียกว่า…นายท่าน”

ของล้ำค่าที่ได้รับการร่ายมนต์จะมีความรู้สึกผูกพันล้ำลึกกับผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่ร่ายมนต์ใส่พวกมัน และนั่นก็เป็นคุณสมบัติที่ทำให้ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณสามารถควบคุมของล้ำค่าที่พวกเขาร่ายมนต์ใส่ได้อย่างง่ายดาย

เหมือนกับหุ่นอารักขาที่จางเซวียนเคยร่ายมนต์ใส่ก่อนหน้านี้ ซึ่งยินดีรับฟังเฉพาะตัวเขาเท่านั้น ไม่ฟังใครอื่น

แม้แต่ลูกเป็ดลูกไก่ที่ฟักจากไข่ออกมาก็จะถือเอาสิ่งที่มันพบเจอเป็นสิ่งแรกเป็นพ่อแม่ของมัน นับประสาอะไรกับจิตวิญญาณที่ได้รับการร่ายมนต์

ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวมอบหอหรันจื่อซึ่งเป็นสถานที่สำคัญ เป็นที่เก็บรักษาอาวุธคู่กายของเขาให้รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นตัวนี้ดูแล ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน โดยเฉพาะในเมื่อเขาสามารถทำแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่…ตั้งแต่พวกเขาเข้าสู่หอหรันชิวมา ไม่มีสักครั้งที่รูปปั้นเด็กชายจะเรียกขานนักปราชญ์หรันชิวว่า ‘นายท่าน’

อันที่จริง ท่าทีของมันที่มีต่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวนั้นเรียกได้ว่าไม่ให้ความเคารพเสียด้วยซ้ำ!

“ผม…” หุ่นรูปปั้นเด็กชายไม่รู้จะหักล้างคำพูดของจางเซวียนอย่างไร เกิดความเงียบเข้าครอบงำอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายมันก็ปฏิเสธอย่างร้อนรน “ถึงผมจะไม่ได้ยอมรับเขาเป็นเจ้านาย แต่ผมก็เป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานไม่ได้หรอก ข้อสันนิษฐานของคุณน่ะไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่หนักแน่นพอ!”

“ดูเหมือนคุณจะไม่ยอมรับจนกว่าผมจะพูดให้ชัดเจนใช่ไหม?” จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายขณะยิ้มและส่ายหน้า “ตอนที่พวกเรามาถึงหอหรันจื่อ ผมสู้กับนักรบทองคำ 2 ตัวพร้อมกันและสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวพวกมัน แล้วคุณก็พูดออกมาว่าผมเป็นผู้สืบทอดมรดกของชิวอู๋จื่อและร้องขอให้ผมแสดงความเมตตา!”

“ก็ใช่ แล้วมันมีอะไรผิดปกติหรือ?” รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นพึมพำด้วยความสงสัย

มันพูดแบบนั้นออกมาจริงๆ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร

“ถึงนักปราชญ์โบราณชิวอู๋จะเป็นเป็นบริวารของปรมาจารย์ขง แต่เขาก็แก่กว่าปรมาจารย์ขงหลายปี และปรมาจารย์ขงก็เรียกขานเขาเป็นมิตรสหายรุ่นเดียวกัน ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหรันชิวเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง ก็ควรจะเรียกขานนักปราชญ์ชิวอู๋ด้วยความเคารพเช่นกัน ไม่ควรล้ำเส้น!” จางเซวียนพูด

เรื่องนี้ก็เหมือนกับการที่แม้ว่าซุนฉางจะเป็นลูกน้องของเขา แต่เจิ้งหยางกับลูกศิษย์คนอื่นๆก็ยังคงเรียกขานอีกฝ่ายอย่างเคารพว่า ‘ลุงซุน’

เรื่องนี้ยิ่งสาหัสกว่าสำหรับนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ซึ่งแก่กว่าปรมาจารย์ขงหลายปี ขนาดปรมาจารย์ขงยังเรียกขานอีกฝ่ายด้วยความเคารพ แล้วนักปราชญ์โบราณหรันชิวซึ่งเป็นลูกศิษย์ปรมาจารย์ขงจะกล้าเรียกขานเขาอย่างไม่เคารพได้อย่างไร?

“คุณเรียกนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ว่า ‘ชิวอู๋จื่อ’ ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกขานผู้ที่ถือเป็นมิตรสหายรุ่นเดียวกัน” จางเซวียนพูดต่อ “ในฐานะของล้ำค่าที่ได้รับการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณโดยนักปราชญ์โบราณหรันชิว คุณไม่คิดบ้างหรือว่าพูดจาแบบนั้นมันไม่เหมาะสม?”

“คะ-คุณ…” รูปปั้นเด็กชายถึงกับผงะและถอยไปหลายก้าว มันจ้องหน้าจางเซวียนอย่างพรั่นพรึง

สามารถสรุปได้ว่าตัวมันเป็นเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน…เพียงแค่จากวิธีการเรียกขานผู้อื่น ชายหนุ่มช่างมีหัวสมองเฉียบแหลมเสียจริง!

เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางปกปิดตัวตนที่แท้จริงของมันอีกต่อไป รูปปั้นเด็กชายเงยหน้าขึ้นและถามว่า “คุณมองผมออกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

มันมั่นใจในการปลอมตัวของตัวเอง ต่อให้นักปราชญ์โบราณสักคนมายืนอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีทางมองทะลุการปลอมตัวของมันได้ แล้วชายหนุ่มมองทะลุมันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

“ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเข้าสู่ทางเดินน่ะ ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในวัสดุที่ใช้สร้างตัวคุณตอนที่ผมตบไหล่คุณ ตอนนั้นแหละที่ผมเริ่มสงสัย” จางเซวียนตอบ

ก่อนที่จะเข้าสู่ประตูแกรนิต เขาได้เดินไปตบไหล่รูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเพื่อใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับมัน

จากหนังสือที่ประมวลได้ จางเซวียนได้รู้ว่าวัสดุที่ใช้ทำรูปปั้นนั้นไม่เหมาะสมกับการร่ายมนต์ใส่ แต่เขาก็ยังไม่ได้คิดมาก เพราะในตอนนั้นอันตรายก็รออยู่ จึงไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนี้

แต่หลังจากที่รอดพ้นจากชายหนุ่มทั้ง 4 เขาก็หวนคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำมารวมกับการเรียกขานอย่างแปลกๆที่รูปปั้นเด็กชายใช้เรียกนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ จางเซวียนก็มั่นใจว่าเขาคิดไม่ผิด

ในเมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเป็นของล้ำค่าที่นักที่ปรมาจารย์ขงหลอมขึ้น ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่อีกฝ่ายจะเรียกขานนักปราชญ์โบราณชิวอู๋อย่างไม่เป็นทางการว่าชิวอู๋จื่อ หรือต่อให้มันแสดงความไม่เคารพต่อนักปราชญ์โบราณหรันชิว นักปราชญ์โบราณหรันชิวก็คงไม่คิดอะไร

หลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ทำให้จางเซวียนสรุปได้ก็คือเขารู้สึกได้ถึงรังสีอันคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่น

เครื่องรางชิ้นอื่นๆอีก 6 ชิ้นนั้นถูกหลอมขึ้นโดยใช้หยดเลือดของผู้ที่มีสภาวะพิเศษ แต่สำหรับเครื่องรางลำดับแรก ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด มันน่าจะหลอมขึ้นจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง! ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็คือ รังสีที่เขาคุ้นเคยนั้นคือรังสีของปรมาจารย์ฟ้าประทาน

เมื่อมีความรู้สึกนี้นำทาง ก็ไม่ยากเกินไปที่จะระบุได้ว่าแท้ที่จริงแล้วรูปปั้นเด็กชายวัยรุ่นเป็นอะไร

“ผมเข้าใจแล้ว…สมกับที่เป็นผู้สืบทอดมรดกของชิวอู๋จื่อ! ไม่เพียงแต่จะเชี่ยวชาญเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ยังทำให้หอกสวรรค์กระดูกมังกรยอมจำนนได้ด้วย ความสามารถในการเรียนรู้ของคุณก็เหนือชั้นกว่าธรรมดา…” ได้ฟังคำอธิบายของจางเซวียน รูปปั้นเด็กชายรับสารภาพ “คุณพูดถูกแล้ว ผมคือเครื่องรางลำดับแรกที่หลอมโดยปรมาจารย์ขง สิ่งที่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นนำไปเป็นเพียงของทำเลียนแบบ!”

รูปปั้นเด็กชายหัวเราะเบาๆ รังสีบางเบาแผ่ออกมาจากศีรษะของมันและสลายไปกับอากาศ เพียงครู่เดียวมันก็แปรสภาพเป็นเครื่องรางชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกับเครื่องรางฟ้าประทานที่ชายหนุ่มกลุ่มนั้นนำไปก่อนหน้านี้

“ผมคือเครื่องรางลำดับแรกที่ปรมาจารย์ขงหลอมขึ้น มีแต่ผู้ที่ถือผมไว้เท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่หอลำดับแรกของวิหารแห่งขงจื๊อได้ แต่นายท่านที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของผมคือปรมาจารย์ขง และผมก็จะไม่ก้มศีรษะให้ใครทั้งนั้น ถึงคุณจะเป็นผู้สืบทอดมรดกของชิวอู๋จื่อก็เถอะ หรือต่อให้ชิวอู๋จื่อมายืนตรงหน้าผมตอนนี้ ก็ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ผมยอมจำนนได้!” เครื่องรางประกาศอย่างอาจหาญ

จางเซวียนหัวเราะหึๆ “คุณจะไม่ยอมจำนนให้ผมหรือ?”

“ไม่อย่างแน่นอน!” เครื่องรางตอบอย่างภาคภูมิใจ

“ก็ดี งั้นผมจะให้คุณดูอะไรอย่างหนึ่ง ส่วนคุณจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ผมก็จะยอมรับ” จางเซวียนยกนิ้วขึ้นแตะเครื่องรางอย่างแผ่วเบา

“คุณจะเอาอะไรให้ผมดูก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจผมได้หรอก ผมเป็นเครื่องรางที่ปรมาจารย์ขงหลอมนะ จะให้ยอมจำนนได้ยะ-อย่าง…”

ขณะที่เครื่องรางกำลังประกาศศักดาอย่างภาคภูมิใจ มันก็พลันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง จากนั้นก็รีบมาปรากฏตรงหน้าจางเซวียนและพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง

“เครื่องรางน้อยคารวะนายท่าน!”