ผมอยากแวะตระกูลหลัว
“ต้องแบบนี้สิ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจขณะใช้ปลายนิ้วคีบเครื่องรางไว้
ในเมื่ออีกฝ่ายถูกหลอมขึ้นจากหยดเลือดของปรมาจารย์ขง เขาก็มั่นใจว่าปรมาจารย์ฟ้าประทานอย่างตัวเขาจะทำให้มันยอมจำนนได้ด้วยการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาดไว้
“….” หวู่เฉินนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาเป็นผู้โชกโชนในวงการ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้รอบรู้ที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์เลยทีเดียว แต่ความตกตะลึงที่เขาได้รับตลอดทั้งวันนั้นมากเกินกว่าที่เขาพบมาทั้งชีวิตเสียอีก ถึงตอนนี้ เขาต้องโค้งคำนับให้กับชายหนุ่ม
เครื่องรางที่หลอมโดยปรมาจารย์ขงนั้นไม่ยอมจำนนให้แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณชิวอู๋หรือนักปราชญ์โบราณหรันชิว แต่ด้วยการแตะต้องอย่างแผ่วเบา มันก็ยอมจำนนให้ชายหนุ่มแต่โดยดี!
มีอะไรบ้างที่คุณทำให้มันยอมจำนนไม่ได้ด้วยปลายนิ้วของคุณ*?*
แต่สิ่งที่ทำให้หวู่เฉินตกตะลึงอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ หลังจากที่ทำให้เครื่องรางลำดับแรกซึ่งผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนพร้อมจะฆ่าฟันกันเพื่อให้ได้มันมายอมจำนนได้แล้ว จางเซวียนก็ยื่นมันให้หลัวลั่วชิง!
“ลั่วชิง ผมฝากเครื่องรางลำดับแรกไว้กับคุณนะ ตอนนี้อยู่กับผมก็ไม่มีประโยชน์มากนักหรอก”
หวู่เฉินตัวแข็งทื่อด้วยความไม่อยากเชื่อ
ชายหนุ่มทั้ง 4 ที่มาก่อนหน้าพวกเขาต้องนำของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าเพื่อให้ได้เครื่องรางลำดับแรกไป ซึ่งนั่นก็เกินพอที่จะบ่งบอกแล้วว่าเครื่องรางลำดับแรกมีค่าแค่ไหน แต่ชายหนุ่มกลับมอบมันให้หลัวลั่วชิงโดยไม่ลังเล…
แต่เรื่องที่น่าตกตะลึงกว่านั้นยังมีอีก…
“ในเมื่อเครื่องรางลำดับแรกยอมรับคุณเป็นเจ้านายแล้ว คุณก็เก็บมันไว้เถอะ อยู่กับฉันก็ยิ่งไม่มีประโยชน์” หลัวลั่วชิงส่ายหน้าก่อนจะยื่นเครื่องรางกลับให้จางเซวียน “แค่คุณพาฉันไปวิหารแห่งขงจื๊อตอนที่มันเปิดก็พอแล้ว”
จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับเครื่องรางลำดับแรกกลับมาแล้วพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้”
ต่อให้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะมีอานุภาพไร้เทียมทานสักแค่ไหน ในฐานะผู้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ นับประสาอะไรกับเครื่องรางลำดับแรก
เหตุผลที่เขามาที่อาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้ก็เพราะหลัวลั่วชิงชวนมา และเขาก็ตั้งใจจะเปิดโปงโฉมหน้าของเจ้าพวกที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับลูกศิษย์คนอื่นๆของเขาไป รวมทั้งแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานหมั้นให้เธอได้รับรู้
ตราบใดที่เธอไม่ใช้เครื่องรางเพื่อทำร้ายมวลมนุษย์ เขาก็ไม่รู้สึกอะไรที่จะมอบเครื่องรางอันล้ำค่าให้เธอ
เห็นตัวเองถูกผลักไสไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า เครื่องรางแทบปล่อยโฮ
ในฐานะของล้ำค่าที่ปรมาจารย์ขงเป็นผู้หลอม แม้แต่นักปราชญ์โบราณหรันชิวก็ยังทำให้มันยอมจำนนไม่ได้ แต่ตอนนี้มันถูกโยนกลับไปกลับมาราวกับเป็นขยะไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการ…
อย่าห้ามผมให้ผมเอาหัวโขกเสาตายไปเถอะ!
อ้อใช่…เราเป็นเครื่องรางต่อให้เอาหัวโขกกำแพงก็คงไม่ตาย*…*
ขณะที่มันคับอกคับใจจนบอกไม่ถูก เจ้านายคนใหม่ก็หันมามองมันด้วยแววตาที่บ่งบอกความกระหาย
“เครื่องรางน้อย ในเมื่อแกรับฉันเป็นเจ้านายแล้ว แกช่วยแสดงความจริงใจกับฉันหน่อยได้ไหม? ในอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้จะต้องมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่อีกแน่ๆ พาฉันไปดูที!”
“….” เครื่องรางถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น “ที่นี่ไม่มีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอื่นอีกแล้ว…”
“จะไม่มีได้ไง? มีประตูตั้ง 99 บานไม่ใช่หรือ? ในเมื่อประตูบานที่ฉันเลือกมีหอกสวรรค์กระดูกมังกร ก็แน่นอนว่าประตูบานอื่นจะต้องมีของล้ำค่าบางอย่างเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะ?” จางเซวียนอุทานด้วยความตื่นเต้น
“ทางเดินอื่นน่ะเป็นแค่การทดสอบที่มีค่ายกลสังหารหรือค่ายกลภาพลวงตา ไม่มีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่ที่ปลายทางหรอก” เครื่องรางตอบ
“จริงหรือ?” จางเซวียนหันไปมองหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉินด้วยความสงสัย ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ารับ
“ใช่ ทางเดินที่พวกเราเข้าไปน่ะเป็นแค่การทดสอบ ไม่มีทรัพย์สมบัติอยู่ที่ปลายทาง”
“เป็นอย่างนั้นจริงๆน่ะ?” จางเซวียนอดก้มหน้าด้วยความผิดหวังไม่ได้
เขาคิดว่าด้านหลังประตูแกรนิตทั้ง 99 บานจะต้องมีของล้ำค่าชั้นยอดที่เทียบเท่ากับหอกสวรรค์กระดูกมังกร แต่ดูเหมือนจะคาดหวังสูงเกินไป
ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมจำนน
“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นแกช่วยฉันเอาตัวอักษรสามตัวนั้นลงมา ‘หอหรันจื่อ’ ที่อยู่บนป้ายชื่อตรงทางเข้าน่ะ ได้สามตัวนั้นมาก็ดีแล้ว!”
“….” เครื่องราง
มันเคยพบเจอคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก็มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอคนแบบนี้
นั่นคือป้ายชื่อที่อยู่บริเวณทางเข้าหอหรันจื่อนะ หมอนี่ยังไม่ยอมละเว้น…
คนอื่นๆเขาเสาะแสวงหาดาบ หอก และทรัพย์สมบัติล้ำค่าในตำนานจากอาณาจักรโบร่ำโบราณ แต่จางเซวียนคว้าเอาทุกอย่างที่พอจะหาได้จากหอหรันจื่อ
…..
จางเซวียนไม่ใส่ใจเครื่องรางที่กำลังจะปล่อยโฮ เขาทำตามที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจ
ก็อย่างที่สำนวนเก่าแก่ว่าไว้ มีแต่ผู้หาเลี้ยงครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าข้าวทุกเม็ดมีค่าแค่ไหน
ไม่ง่ายเลยกว่าจางเซวียนจะได้ทรัพย์สมบัติอะไรมา ดังนั้นเขาจึงต้องเติมกระเป๋าของตัวเองให้เต็มไว้เสมอ เผื่อไว้ในวันเวลาที่ต้องยากลำบาก!
“พาพวกเราทะลุมิติออกไป!” จางเซวียนสั่งการกับเครื่องราง
เครื่องรางจัดการทำตามคำสั่ง พริบตาต่อมา ทุกคนก็มายืนอยู่ท่ามกลางภูเขาห้วยขาวอีกครั้ง
ทันทีที่หวู่เฉินทรงตัวได้ เขาก็ประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม “นายหญิง, ปรมาจารย์จาง ผมมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ตอนนี้ต้องขอตัวก่อน ผมจะมาพบคุณทั้งคู่อีกครั้งหลังจากจัดการธุระเสร็จลุล่วงแล้ว!”
เขามีสีหน้าวิตกกังวลอย่างล้ำลึก
“เกิดอะไรขึ้น? คุณต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“มันเป็นแค่เรื่องจุกจิก 2-3 เรื่องน่ะ ผมขอบคุณปรมาจารย์จางมากที่เสนอความช่วยเหลือ แต่ผมต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง” หวู่เฉินพยักหน้า
“ตามนั้นเถอะ” จางเซวียนพยักหน้าตอบ
“ไปเถอะ เสร็จธุระแล้วก็มาหาฉันนะ” หลัวลั่วชิงพูด
“ขอบคุณนายหญิง!”
หวู่เฉินเคาะนิ้ว แล้วหลุมแห่งมิติก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขากระโจนเข้าไป เพียงชั่วพริบตาก็หายวับไปจากสายตา
เมื่อหวู่เฉินจากไปแล้ว จางเซวียนมองสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าและยิ้มให้ “ลั่วชิง ตอนนี้คุณคิดจะทำอะไรต่อ?”
เมื่อได้เครื่องรางลำดับแรกมาแล้ว ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปว่าทั้งคู่จะหาเครื่องรางบริวารชิ้นอื่นๆพบหรือไม่ สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือรอให้วิหารแห่งขงจื๊อเปิด
“ตอนนี้ฉันไม่มีภารกิจอะไร” หลัวลั่วชิงตอบพร้อมกับส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณไม่กลับไปตระกูลจางกับผมล่ะ?” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “คราวก่อนเรารีบร้อนออกมา ผมยังไม่ได้แนะนำคุณให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของผมรู้จักเลย!”
พูดตามตรง เขาก็ยังออกจะรู้สึกแปลกๆกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาอยู่ เพราะเพิ่งจะได้กลับมาพบหน้ากันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไร ทั้งสามก็มีสายเลือดเดียวกัน และก็เป็นเรื่องสมควรที่เขาจะแนะนำคนรักของตัวเองให้ทั้งคู่รู้จัก อีกอย่าง สิ่งนี้จะได้แสดงให้หลัวลั่วชิงเห็นด้วยว่าเขาจริงจังกับเธอแค่ไหน
“เอ่อ…” หลัวลั่วชิงหน้าแดงเรื่อก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงความปั่นป่วนใจเล็กน้อย “ฉันชิงตัวคุณมาจากตระกูลหลัว สร้างความแตกแยกระหว่างตระกูลจางกับตระกูลหลัว…นี่มันใช่เวลาที่ฉันควรจะไปเยี่ยมเยียนพวกเขาหรือ?”
“จะเป็นเวลาไหนก็ไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก ไม่ต้องห่วง ท่านพ่อท่านแม่ของผมน่ะเป็นคนใจกว้าง” จางเซวียนยืนยันพร้อมกับยิ้ม
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก จางเซวียนยังไม่ได้เรียกเซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงว่าท่านพ่อและท่านแม่ด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่ดูแลและตามใจเขามาก
สิ่งที่เขาทำลงไปที่ตระกูลหลัวนั้นไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลัว แต่ยังทำลายชื่อเสียงของตระกูลจางด้วย ถ้าเป็นพ่อแม่คู่อื่น คงจะสังหารเจ้าลูกชายเนรคุณเสียแล้ว แต่ท่านพ่อท่านแม่ของเขากลับสนับสนุนเขาทุกวิถีทาง!
ลำพังสิ่งนี้ ก็ทำให้เขาก็อยากเปิดใจยอมรับทั้งคู่เป็นท่านพ่อและท่านแม่แล้ว
“คือ…” หลัวลั่วชิงลังเลเล็กน้อยและกังวลใจที่จะต้องพบท่านพ่อกับท่านแม่ของจางเซวียน
เธอทำตัวเย็นชาและวางเฉยกับทุกสิ่งในโลกได้ แม้แต่เครื่องรางลำดับแรกอันล้ำค่าก็ยังไม่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย แต่เรื่องเล็กๆแบบนี้กลับทำให้เธอจนปัญญา
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก ผมก็อยู่ด้วย มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องไปพบพวกเขาเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของเรา” รู้ดีว่าหลัวลั่วชิงกังวลเรื่องอะไร จางเซวียนบีบมือของเธอแน่นและปลอบใจ “ไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ของผมนะ ตกลงไหม?”
“ฉัน…” หลัวลั่วชิงมองตาจางเซวียน เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็ได้ ฉันจะไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณ”
“อือ!” เห็นหลัวลั่วชิงตกลง จางเซวียนยิ้มแป้น แต่ในตอนนั้นก็พลันนึกอะไรบางอย่างได้ จึงพูดเสริม “แต่ก่อนที่เราจะกลับไปตระกูลจาง ผมอยากแวะตระกูลหลัวก่อน!”
“คุณอยากแวะตระกูลหลัว?” หลัวลั่วชิงขมวดคิ้ว