ตอนที่ 582 ช่วงนี้คุณสบายดีไหม
ตอนนี้กลับสลับมาเป็นไป๋จิ่งทำอาหารให้เขาแล้ว
ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำ เขาอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง ไม่ถูกปากเหรอ”
มั่วไป๋ส่ายหัว หยิบตะเกียบขึ้นมา
“คุณลองชิมดูนะ ของชอบคุณทั้งนั้นเลย” เหมือนไป๋จิ่งจะกระอักกระอ่วนใจอยู่นิดหน่อย “ผมไม่ได้ทำอาหารนานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือจะถอถอยบ้างหรือเปล่า”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเขา มือมั่วไป๋ที่จับตะเกียบอยู่กระชับแน่นขึ้น เขาไม่พูดสักประโยค เริ่มลงมือกินข้าว
ไป๋จิ่งทำอาหาร ที่จริงอร่อยมาก
เพียงแต่น่าเสียดาย มั่วไป๋ในเวลานี้ เรื่องที่ติดอยู่ในใจหนักหน่วงเกินไป ต่อให้เป็นของที่อร่อยกว่านี้ เขาก็กินแล้วไม่รับรู้รสชาติใดๆ ทั้งสิ้น
เขากินอาหารมื้อนี้อย่างไร้รสชาติ
แต่กลับเป็นไป๋จิ่งที่อารมณ์ชื่นมื่นมาก พูดคุยกับมั่วไป๋อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้มั่วไป๋จะพูดน้อยมากก็ไม่เป็นไร
มั่วไป๋ตอบรับไปบ้างคำสองคำเป็นบางครั้งบางคราว เวลาส่วนใหญ่กลับยังคงไม่พูดจาแม้สักคำ
เขากินแบบลวกๆ เพียงไม่กี่คำแล้วก็เดินออกไป
เวลานี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับใบหน้านั้นของไป๋จิ่งได้อย่างไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ไม่เผชิญหน้ากันตอนนี้ยังจะดีกว่า
มั่วไป๋ขึ้นชั้นบนไป ไป๋จิ่งไม่ได้กระทำการใดๆ มองตาปริบๆ ปล่อยให้เขาขึ้นชั้นบนไป
เขากำมือแน่นเป็นเวลานานกว่าจะผ่อนคลายลง
มั่วไป๋กลับห้องไปแล้ว เขาก็นอนไม่ค่อยจะหลับเท่าไหร่ เขายืนอยู่ตรงระเบียงมองไปยังข้างนอก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ไป๋จิ่งจะเล่นจนพอที่จะปล่อยเขาไปได้
เดิมทีกลางภูเขาท้องฟ้าจะค่ำลงเร็วอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งมืดสนิทยิ่งขึ้นไปอีก
สีดำขลับรายล้อมไปหมด มีเพียงแค่คฤหาสน์หลังนี้เท่านั้นที่สว่างโชติช่วง ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งสร้างคฤหาสน์แบบนี้ในภูเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง จิตใต้สำนึกมั่วไป๋สั่งให้เขาหันหน้าไปมอง เขาก็เห็นไป๋จิ่งออกมาจากด้านข้างพอดี
‘ที่แท้เขาพักอยู่ข้างๆ ไป๋จิ่งนี่เอง’
เห็นเงาร่างของมั่วไป๋ ไป๋จิ่งเองก็ชะงักงันไปพักหนึ่ง เดิมเขาอยากออกมาสูบบุหรี่ คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋เองก็อยู่ที่นี่ด้วย
มือเขาที่ดึงประตูไว้หยุดชะงักไป แต่ยังคงเดินออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
นาทีนั้นที่เห็นไป๋จิ่งเดินออกมา อีกนิดมั่วไป๋เกือบจะหมุนตัวหันกลับเข้าห้องไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาค่อนข้างจะหวาดกลัวที่จะเจอไป๋จิ่ง
แต่ว่าถ้าออกไปเวลานี้ จะดูเหมือนตัวเองพยายามมากเกินไป มั่วไป๋ลังเลใจอยู่สักพัก เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหน
ไป๋จิ่งเห็นเงาร่างที่อยู่ข้างตัว เขาก็โล่งใจไปที ดีใจขึ้นมาทันทียังดีที่มั่วไป๋ไม่ได้ออกไปตอนนี้
ไป๋จิ่งเดินมาถึงหน้าระเบียงทีละก้าวๆ มายืนข้างๆ มั่วไป๋พอดี ทั้งสองคนห่างกันนิดเดียว แค่เพียงเอื้อมมือก็แตะกันได้
ไป๋จิ่งยืนอยู่บนระเบียง ลูบกล่องบุหรี่ที่อยู่ในมือ คิดดูแล้วก็ยัดเก็บเข้าไป
มั่วไป๋เพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยหนักมา ดมกลิ่นบุหรี่ไม่ดี
“ถ้านายอยากสูบก็สูบได้”
มั่วไป๋เห็นการกระทำของไป๋จิ่ง เห็นเขาเอาบุหรี่ยัดกลับเข้าไป เสียงต่ำก็อดจะเอ่ยขึ้นไม่ได้
ไป๋จิ่งยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่หรอก ไม่ได้อยากสูบขนาดนั้น”
“อืม” มั่วไป๋ขานรับ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ไป๋จิ่งมองดูใบหน้าด้านข้างของมั่วไป๋ ใบหน้างามละเอียดได้รูปของมั่วไป๋ภายใต้แสงจันทร์มีแสงแห่งความอ่อนโยนจางๆ
ไป๋จิ่งกะพริบตา “ช่วงนี้คุณสบายดีไหม”
เขาเองก็รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ดูเชยมาก แต่ว่าในใจกลับเป็นประโยคที่เขาอยากถามมากที่สุด
การผ่าตัดในวันนั้น เขารออยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลาสามชั่วโมงเต็มๆ กว่ามั่วไป๋จะถูกเข็นออกมา
เขาเดินตามอยู่ช้างหลัง ถือโอกาสที่ยาชายังไม่หมดฤทธิ์ อยู่เป็นเพื่อนเขาอีกไม่กี่ชั่วโมง
เขาออกไปก่อนที่มั่วไป๋จะฟื้นขึ้นมา เพื่อไม่ทำให้มั่วไป๋ไม่สบายใจ ไป๋จิ่งไม่ได้มาเจอหน้ามั่วไป๋เป็นเวลาเกือบยี่สิบวัน แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้เขาไปแม้สักครั้ง
เขาใช้เวลากว่ายี่สิบวันในการตกแต่งคฤหาสน์หลังนี้ใหม่โดยยึดตามความชอบของมั่วไป๋
ในเวลายี่สิบวันนี้ เขาคิดถึงมั่วไป๋ทุกวัน แต่นอกจากเหยียนอวี้จะส่งรูปมั่วไป๋ให้เขาดูในบางครั้ง เขาก็ไม่มีหนทางอื่นที่จะติดต่อกับมั่วไป๋ได้
ตอนที่ 583 แต่ก่อนผมค่อนข้างจน
การตกแต่งคฤหาสน์เสร็จไปเมื่อสองวันก่อน เขารีบติดต่อกับเหยียนอวี้ทันที เหยียนอวี้ให้เขารออีกสองวัน
ด้วยเหตุนี้ไป๋จิ่งจึงกดเก็บความปรารถนาในใจไว้ รอต่ออีกสองวัน สองวันนี้เขาถือโอกาสจัดการธุระอย่างอื่นไปด้วย
จนกระทั่งถึงวันนี้ ภายใต้การประสานงานทั้งนอกและในของเหยียนอวี้ ก็ได้พาตัวมั่วไป๋ส่งมาถึงที่คฤหาสน์
สถานที่นี้เงียบสงบ บรรยากาศก็ดี เหมาะกับการพักฟื้นของมั่วไป๋ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่นี่นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ก็ติดต่อถึงโลกภายนอกไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เขาควบคุมทุกอย่างทั้งหมดนี้ เพราะว่าการพลัดพรากจากกันมานานขนาดนี้ใกล้ถึงขีดอันตรายแล้ว เขาไม่อยากยืนอยู่เพียงแค่ข้างๆ เป็นผู้เฝ้ามองดูมั่วไป๋ตลอดไป
นับวันเขายิ่งถูกผลักให้ห่างออกไปไกลเรื่อยๆ สุดท้ายแม้แต่ความเป็นไปได้ของการมีตัวตนก็จะไม่มีทั้งนั้น
ไป๋จิ่งรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนดีอะไร ยิ่งไม่อาจจะเสียสละตัวเองไปช่วยให้คนอื่นได้ในสิ่งที่ต้องการได้
ในใจของเขา เขาขอบมั่วไป๋ มั่วไป๋เองก็ชอบเขา ในเมื่อต่างฝ่ายต่างชอบกัน แล้วทำไมจะต้องแยกจากกันไปด้วย
ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ต่อให้ตอนนี้มั่วไป๋จะขับไล่เขาไป เขาก็จะพยายามทำให้มั่วไป๋ตกหลุมรักตัวเองให้ได้อีกครั้ง
ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะดูเลวทรามไปบ้าง แต่เขาก็ยอมแล้ว
มั่วไป๋เอียงหน้ามองเขา “ก็ดี”
ไป๋จิ่งพยักหน้า “งั้นก็ดี”
มั่วไป๋มองไป๋จิ่ง ในที่สุดก็ทนไม่ได้ “นายอยากจะพูดแค่นี้กับฉันเหรอ”
ความว้าวุ่นใจฉายสะท้อนในแววตาของไป๋จิ่ง เขามีอะไรมากมายอยากจะพูดกับมั่วไป๋ แต่พอคำพูดมาถึงปาก กลับไม่กล้าจะพูดอะไรสักอย่าง
เพราะเอาใจใส่เกินไป จึงปรากฏความระมัดระวังให้เห็น
มั่วไป๋เชิดมุมปากล่างขึ้น เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ไป๋จิ่ง นายคิดใช่ไหมว่านายกักตัวฉันที่นี่ แล้วฉันจะคบกับนายได้ใหม่อีกครั้ง”
“ผมก็แค่อยากจะอยู่ใกล้คุณขึ้นอีกนิด”
“แล้วถ้าฉันไม่อยากจะใกล้นายมากเกินไปล่ะ” จู่ๆ มั่วไป๋ก็เชิดตาขึ้นมองเขา “ที่จริงจนถึงตอนนี้แล้วนายก็ไม่รู้เลย ว่าทำไมฉันถึงเลิกกับนายไปสักที เพราะเรื่องของเซียวเย่ว์”
บางทีไป๋จิ่งอาจจะคิดมาเสมอ ว่าเป็นเพราะเขาไม่อยากจะเห็นหน้าเซียวเย่ว์ ดังนั้นเมื่อไป๋จิ่งติดต่อเซียวเย่ว์ลับหลัง ถึงได้โกรธจนเลิกกับไป๋จิ่งได้
มั่วไป๋ถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร ในเมื่อเลิกกันแล้ว มันก็ไม่มีอะไรให้น่าพูดแล้ว
ไป๋จิ่งหมุนตัวมุ่งหน้าเดินไปทางมั่วไป๋ ระหว่างทั้งสองคนกั้นกลางแค่เพียงกระจกสูงหนึ่งเมตรเท่านั้น
“เรื่องบางเรื่อง ผมก็ไม่อยากจะเอ่ยอีก แล้วก็ไม่อยากแก้ต่างให้ตัวเองด้วย”
ไป๋จิ่งหยุดสักพัก “คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนอยู่ที่เดิม ครั้งนี้สลับมาเป็นผมเดินเอง โอเคไหม”
……
เช้าวันต่อมา มั่วไป๋ได้ยินเสียงจอแจลางๆ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้สนใจอะไร หลับตาแล้วนอนต่อไปทั้งอย่างนี้
หลับไปอีกรอบ กว่ามั่วไป๋จะตื่นเวลาก็ใกล้จะถึงเก้าโมงครึ่งแล้ว
เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วกำลังคิดจะออกจากห้องไป เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูขึ้นมา
ไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างนอก เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “ตื่นหรือยัง”
“อืม” มั่วไป๋ขานรับ
“ลงมากินอาหารเช้ากัน”
มั่วไป๋เดินเข้าไปดึงประตูเปิด ไป๋จิ่งยังไม่เดินออกไป เขาอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋พอดี
มั่วไป๋กะพริบตาปริบๆ เบนสายตาหนีอย่างเงียบๆ กระแอมไอเบาๆ “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินลงมาชั้นล่าง ไป๋จิ่งทำอาหารเรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้ว วางบนโต๊ะเสร็จสรรพ ถึงค่อยไปเรียกมั่วไป๋
ฝีมือของไป๋จิ่งไม่ต้องพูดถึงจริงๆ แม้แต่อาหารเช้าก็ยังทำอร่อยมาก
มั่วไป๋เอ่ยถามอย่างไม่ได้ระวังอะไร “นายไปเรียนกับใครมาโดยเฉพาะหรือเปล่า”
ไป๋จิ่งยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความติดตลก “เมื่อก่อนตอนที่ผมเรียนอยู่ข้างนอกคนเดียว ฐานะค่อนข้างยากจน ค่าใช้จ่ายในการกินข้างนอกสูงเกินไป ดังนั้นผมเลยซื้อกลับมาทำกินเอง”
มั่วไป๋แปลกใจอยู่ไม่น้อย ไป๋จิ่งยังมีช่วงเวลาที่ยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวจะกินด้วยเหรอ
“คุณอย่ามองผมแบบนี้สิ แต่ก่อนเมื่อตอนที่ผมยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวจะกิน สองวันกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ซองเดียว เวลาอื่นหิวก็ดื่มน้ำอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง”