ตอนที่ 757 นางตายแล้วหรือ?

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 757 นางตายแล้วหรือ?

ฟางหลิงซู่ออกมายืนรอรับอันหลิงเกออยู่ที่หน้าประตูวังหลวงนานแล้ว แต่คาดมิถึงว่าจะได้พบกับรถม้าที่ว่างเปล่า

“ทูลท่านประมุขเผ่า สตรีนางนั้น กระ.. กระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตายระหว่างทางพ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าทราบถึงความโหดเหี้ยมของฟางหลิงซู่ดีจึงทำให้เสียงสั่นแต่ก็ยังพูดจนจบ

“กระโดดน้ำฆ่าตัวตายหรือ ? ทำไม ! เจ้าทำอันใดนาง ! ” ฟางหลิงซู่แทบมิเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและมิเชื่อว่าอันหลิงเกอจะหายไปจากชีวิตเช่นนี้

“ท่านประมุขเผ่า กระ.. กระหม่อมมิได้ทำอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าเห็นฟางหลิงซู่แสดงท่าทีเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงเพราะตกใจจนทำอันใดมิถูก

“แม่น้ำตรงไหน ? แล้วเห็นศพหรือไม่ ? ” ตอนนี้ใบหน้าของฟางหลิงซู่ดูสับสนมากเพราะมิเชื่อว่าอันหลิงเกอจะตายไปแล้ว ในทางกลับกัน เขาอยากหาตัวนางให้พบโดยเร็ว

“มะ.. มิพบศพเพราะนางกระโดดตรงบริเวณชายป่าที่ติดกับเผ่าพิษหนอนกู่พ่ะย่ะค่ะ” คนบังคับรถม้าตอบด้วยเสียงสั่นเครือและมิกล้าเงยหน้ามองฟางหลิงซู่เพราะมิว่าผู้ใดก็รู้ถึงอารมณ์รุนแรงของประมุขเผ่าผู้นี้

ฟางหลิงซู่มิได้กล่าวอันใดอีก เขายังไม่เชื่อว่าอันหลิงเกอจะตายไปทั้งอย่างนี้

คนบังคับรถม้าเห็นฟางหลิงซู่มิพูดอันใดจึงรีบถอยออกมาทันที ตอนนี้ฟางหลิงซู่คิดเพียงจะหาตัวอันหลิงเกอให้พบโดยเร็วและด้วยเหตุนี้จึงมิได้สนใจเรื่องอื่น

จากนั้นเขาก็รีบพาทหารไปที่แม่น้ำสายนั้นทันที แต่มิว่าพยายามดำน้ำหรือตามหาบนบกอย่างไรก็มิพบร่องรอยของอันหลิงเกอเลย

ทว่าเป็นเช่นนี้ฟางหลิงซู่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะทำให้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ขอแค่นางยังมีชีวิตก็พอแล้ว จากนั้นฟางหลิงซู่ก็มองไปทางฝั่งเผ่าพิษหนอนกู่ที่อยู่ตรงข้าม แม้รู้ว่าอันหลิงเกอต้องหนีไปที่เผ่าพิษหนอนกู่ แต่เขาก็มิอาจไปตามหานางที่นั่นได้

ตอนนี้อันหลิงเกอเข้ามาในตัวเมืองหลวงของเผ่าพิษหนอนกู่แล้ว นางเดินเข้าประตูเมืองทั้งอย่างนี้ แต่ทหารเห็นว่าไร้พิษภัยจึงมิได้เข้ามาขวางเอาไว้

จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในตลาดแต่ไม่มีเงินติดกายแม้แต่อีแปะเดียว แม้หิวโซแต่นางก็จนปัญญาจะแลกของกินมาได้และขณะเดียวกันนางก็รู้สึกว่าร่างกายทนมิไหว ส่วนบาดแผลบนใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ

“ผี ! ”

ตอนที่อันหลิงเกอกำลังเดินอยู่บนถนนสายหลักก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรีนางหนึ่งจึงหันไปมองและได้พบว่า ‘ผี’ ที่สตรีนางนั้นเอ่ยถึงคือตนนี่เอง อันหลิงเกอจึงยกมือขึ้นลูบใบหน้า ใช่ ตอนนี้ใบหน้าที่เคยงดงามคงน่าเกลียดน่ากลัวมากกระมัง

ทว่าเสียงกรีดร้องของสตรีนางนั้นดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย อันหลิงเกอจึงตกเป็นเป้าสายตา ด้วยสภาพร่างกายนี้และแผลน่ากลัวบนใบหน้าจึงโดนพวกเขารังเกียจไปด้วย

อันหลิงเกอรู้ว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อก็คงเป็นตัวก่อกวนความสงบของราษฎรและไม่ดีแน่ถ้าพวกทหารมาพาตัวนางออกไป

เมื่อคิดได้เช่นนี้อันหลิงเกอก็รีบยกมือปิดหน้าแล้ววิ่งต่อทันที ทว่าตลอดทางที่วิ่งก็ดึงดูดสายตาของผู้คนได้ดีนัก

ผู้คนเหล่านั้นชี้นิ้วพลางมองมาที่ใบหน้าของนาง เพราะบาดแผลเช่นนี้ทำให้คนที่เห็นคิดว่านางเป็นนักโทษหลบหนี

การที่สตรีมีบาดแผลขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้าทำให้ผู้คนอดคิดมิได้ว่านางเป็นสตรีไร้ยางอาย อันหลิงเกอเข้าใจเรื่องนี้ดีและด้วยเหตุนี้จึงต้องวิ่งเร็วกว่าเดิม

แต่เพราะร่างกายไม่มีแรงจึงทำให้พอวิ่งออกไปได้มิไกลอันหลิงเกอก็หมดแรงที่จะวิ่งต่อ นางได้แต่หาตรอกแห่งหนึ่งเพื่อซ่อนตัว เมื่อเดินถึงส่วนลึกของตรอกก็มิเหลือแรงจะทำอันใดอีก

ขณะอยู่ในส่วนลึกของตรอกนั้นอันหลิงเกอก็ใช้น้ำบนพื้นถนนส่องมองใบหน้าของตนและบาดแผลที่ไม่ได้รับการดูแลจึงเริ่มเน่า ผิวหนังบริเวณโดยรอบแผลเริ่มปริออกและยังมีน้ำหนองกับเลือดไหลออกมามิหยุด

ยามที่มองภาพนี้อันหลิงเกอก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดผู้คนบนท้องถนนจึงหวาดกลัวนางมากเพียงนี้ เพราะหลังเห็นใบหน้านี้แล้วแม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกว่ามันช่างน่ากลัวยิ่งนัก

จากนั้นอันหลิงเกอก็ยกยิ้มอย่างขมขื่น เดิมทีใบหน้านี้เป็นของนางแต่ปัจจุบันรักษาไว้มิได้ ส่วนหลู่เยว่เยว่ที่เป็นตัวปลอมกลับได้ใช้ตัวตนและใบหน้าของนางอย่างอิสระ

พอนึกถึงคำพูดที่มู่จวินฮานเอ่ยกับหลู่เยว่เยว่ตรงข้างห้องขังแล้ว อันหลิงเกอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที นางรักเขาสุดดวงใจ แต่เพื่อสตรีอื่นแล้ว เขาทำกับนางถึงเพียงนี้

เมื่อคิดได้เช่นนี้อันหลิงเกอก็รู้ทันทีว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปมิได้ นางจึงฉีกผ้าสีขาวออกจากกระโปรงตัวในแล้วนำมาคลุมใบหน้าไว้เพื่อเดินไปด้านนอก

แต่คราวนี้อันหลิงเกอยังมิทันได้เดินออกจากตรอกก็ทนมิไหวอีกต่อไป นางล้มลงในตรอกนั้นและหมดสติในที่สุด

อันหลิงเกอมิรู้ว่าตรอกที่มาซ่อนตัวอยู่ตอนนี้คือย่านหอนางโลมที่ใหญ่สุดของเผ่า ตอนนี้มีสตรีที่รูปร่างดีเยี่ยงนางมานอนหมดสติอยู่ในที่แห่งนี้ มิต้องเดาก็รู้ว่ากำลังมีสิ่งใดรอคอยอยู่

เป็นอย่างที่คิดว่าผ่านไปมินานก็มีสตรีนางหนึ่งเดินออกจากหอนางโลมด้วยท่วงท่าสง่างาม ราวกับว่านางมาเพื่อเทสุราที่เหลือลงในตรอกนี้

สตรีนางนั้นจึงเห็นอันหลิงเกอที่หมดสติอยู่พอดี ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังนอนอยู่บนพื้นก็ทำให้เห็นรูปร่างอันยอดเยี่ยมได้ อีกฝ่ายจึงมิรอช้าแล้วรีบกลับเข้าไปเพื่อเรียกคนมาอุ้มตัวอันหลิงเกอเข้าไปทันที

ตอนนี้อันหลิงเกอยังหมดสติเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป อีกทั้งบาดแผลทำให้นางมีไข้สูง ส่วนความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าทั่วร่างกายก็ทำให้นางมิสามารถรับไหว

หลังจากที่อันหลิงเกอถูกยกเข้ามาในหอนางโลมและถูกส่งตัวให้แม่เล้า ตอนที่แม่เล้าเห็นรูปร่างอันหลิงเกอครั้งแรกดวงตาก็เป็นประกายทันทีเพราะรูปร่างของนางน่าหลงใหลเหลือเกิน

“กรี๊ด ! นี่มันตัวอันใด ! ” แต่หลังจากที่แม่เล้าเปิดผ้าคลุมหน้าของอันหลิงเกอออกและเห็นบาดแผลที่เน่าเฟะก็ร้องออกมา พลันความคิดเมื่อครู่จางหายไปจนสิ้น

“ยกนางออกไป ยกออกไป ! ต่อไปจงดูให้ดีเสียก่อน เจ้าทำข้าตกใจหมด” แม่เล้ามิได้กล่าวอันใดมากเพียงบอกให้คนที่ยกตัวอันหลิงเกอเข้ามารีบยกไปไว้ข้างนอกตามเดิม

เมื่อครู่คนพวกนั้นก็เห็นใบหน้าของอันหลิงเกอ ตอนนี้จึงมิอยากจับตัวนางสักเท่าไร แต่พอเห็นแม่เล้าถลึงตาใส่ พวกเขาก็ได้แต่ยกตัวอันหลิงเกอออกไป

พวกเขานำตัวอันหลิงเกอกลับมาไว้ที่ตรอกนั้นและไม่มีผู้ใดสนใจความเป็นตายของสตรีที่น่าสงสารคนนี้อีกเลย เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียงสตรีที่งดงามเท่านั้น

ทว่าหลังจากที่พวกเขานำตัวอันหลิงเกอไปโยนไว้ในตรอกนั้นก็มีบุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากส่วนลึกของตรอกหรือก็คือเดินออกจากประตูหลังของหอนางโลมเพราะวันนี้ไม่สะดวกออกทางประตูหน้า

เมื่อเดินออกจากประตูแล้วเขาก็เห็นอันหลิงเกอที่กำลังนอนหมดสติอยู่ เดิมทีเขามิคิดสนใจเรื่องชาวบ้าน แต่ในเวลานั้นเองอันหลิงเกอก็มีสติขึ้นมาและจับเท้าของเขาเอาไว้

“ชะ ช่วยด้วย…” ความปรารถนาในการมีชีวิตรอดทำให้นางลืมตาขึ้นมาพร้อมจับเท้าของบุรุษตรงหน้าไว้ ในเสี้ยวอึดใจที่บุรุษคนนั้นหันมามองก็เห็นบาดแผลน่ากลัวและเห็นดวงตาของอันหลิงเกอ

“นี่เจ้า…” บ่าวรับใช้ด้านข้างกำลังจะดึงมืออันหลิงเกอออก แต่ถูกบุรุษผู้นั้นห้ามไว้ก่อน เพราะดวงตาของนางทำให้เขามิอาจละสายตาไปได้

“พาตัวนางกลับจวน” น้ำเสียงของบุรุษคนนั้นอบอุ่นยิ่งนัก แม้บ่าวรับใช้จะมิเข้าใจความคิดของเจ้านายแต่ก็ยังพาตัวอันหลิงเกอขึ้นรถม้าและกลับไปที่จวนอยู่ดี

ตอนนี้อันหลิงเกอยังมิรู้ว่าจะไปที่ใด หลังการดิ้นรนเอาชีวิตรอดเมื่อครู่ นางก็หมดสติไปอีกครั้ง ส่วนบุรุษบนรถม้ายังจ้องมองอยู่ แต่นางก็ไม่รู้ตัว