ตอนที่ 210 ฝ่าบาทแจกลูกอม

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

” พี่รอง ท่านป่วยแล้ว ถูกขังในห้องใต้ดินมาตั้งนาน ป่วยไม่น้อยเลย ” ตู๋กูซิงหลันจับหัวไหล่ของเขาเอาไว้

 

 

พูดเสร็จก็หันไปพยักหน้ากับชือหลี ” พี่ชายของข้าสติไม่ดี เจ้าอย่าไปใส่ใจเขาเลย ไว้วันหน้าเจอกันใหม่ในยุทธภพนะ ข้าจะพาเขาไปแล้ว “

 

 

ชือหลี ” ในสายตาของเราเขาเป็นแค่ลมตดเท่านั้น ” เด็กขนอ่อนหน้าเหม็น

 

 

” แม่นางเทพธิดา เจ้าจะมาบอกว่าข้าเป็นตดได้อย่างไรกัน ตดคือลมที่ออกจากร่างกาย ข้าคือคนเป็นๆ ทั้งแท่ง เอามาผสมกันไม่ได้ นอกเสียจากว่าข้าตายแล้ว ร่างกายมีกลิ่นเน่าออกมา ตอนนั้นถึงจะผสมกับตดเป็นหนึ่งเดียวกัน “

 

 

ชือหลี “…….” ปวดกระโหลกจริงโว้ย!

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ต้องนวดขมับเหมือนกัน เอาจริงนะ ในโลกนี้คนที่พล่ามมากกว่านางนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก

 

 

เพราะกลัวว่าเขาจะยังเพ้อเจ้อต่อไป นางจึงคว้าชายเสื้อของเขาแล้วลากออกไปจากอารามเทพธิดาในทันที

 

 

” แม่นางเทพธิดา หากว่ามีเวลาข้าจะต้องมาหาเจ้าแน่นอน โปรดอย่าได้ลืมนัดหมายของพวกเราล่ะ~” แม้จะเดินไปไกลแล้วตู๋กูเจวี๋ยก็ยังไม่ลืมหันกลับมาตะโกนบอกชือหลี

 

 

ชือหลีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า อย่าได้ไปจดจำว่าระหว่างพวกเขามีนัดหมายกันจะดีกว่า

 

 

พอตู๋กูเจวี๋ยจากไป นางก็รู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าโลกเปลี่ยนเป็นงดงามน่าอยู่อย่างยิ่ง

 

 

อ้า ไม่ได้รู้สึกสงบ สบายหูมานานแล้ว ดีจริงๆ!

 

 

……………………………………

 

 

 

 

พอจีหรานและงูยักษ์ตายไป ลี่โจวก็กลับสู่ความสงบสุข ฮ่องเต้ทรงใช้เงินบรรเทาทุกข์ซ่อมบำรุงเขื่อนขึ้นมาใหม่ ให้แม่น้ำไหลผ่านอย่างสงบอีกครั้ง

 

 

หลังจากชักนำชาวบ้านที่แตกซ่านเซ็นไป กลับมาได้เรียบร้อยจึงค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง

 

 

ข่าวที่ฝ่าบาททรงสวดขอพรด้วยพระองค์เอง วอนขอให้เทพธิดาประจำสายน้ำ กลับมาปกปักษ์รักษาประชาชนอีกครั้งกระจายจากเมืองลี่โจวออกไปโดยรอบ

 

 

ในเวลาเพียงสั้นๆ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ได้รับการสรรเสริญดุจดั่งเป็นเทพบ้าง เป็นโอรสที่สวรรค์เลือกมาบ้าง ในอนาคตย่อมสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้เป็นแน่

 

 

ตลอดการเดินทางกลับ ตู๋กูซิงหลันได้ยินข่าวเช่นนี้มาไม่น้อย

 

 

การเดินทางมาลี่โจวรอบนี้ฮ่องเต้ทรงคุ้มค่าเกินไปแล้ว

 

 

ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันกำลังคิดอยู่ว่า เขาได้ตระเตรียมการเอาไว้หมดแล้วใช่หรือไม่ อาศัยฐานะที่เขาคือผู้ที่สวรรค์ได้เลือกสรรในครั้งนี้ เพื่อวางรากฐานสำหรับการต่อสู้และรวบรวมแผ่นดินในอนาคต

 

 

เนื่องเพราะความต้องการจะรวมแผ่นดินให้สำเร็จของเขานั้น นางเองก็ใช่ว่าจะพึ่งได้รับรู้เป็นวันแรก

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ในยุคโบราณผู้รวบรวบแผ่นดินได้สำเร็จต่างก็ต้องสร้างข้ออ้างว่าตนเป็น ‘โอรสที่สวรรค์เลือกเฟ้น’ ขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น

 

 

ตัวอย่างเช่นจักรพรรดิฮั่นเกาจู่หลิวปังในราชวงค์ฮั่นของแผ่นดินจีน ก็มีตำนานเรื่อง’สังหารงูขาวก่อกบฎ’

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง ที่จริงแล้วก็นั่งอยู่ในราชรถคันเดียวกับจีเฉวียน

 

 

สหายติ๊งต๊องนั้นน่าสงสารเป็นที่สุด มันถูกเอาไปทิ้งไว้ตรงที่นั่งของสารถี ต้องนั่งคู่ไปกับคนขับ จึงได้แต่พยายามคอยหันกลับมามองดูในรถอยู่ตลอดเวลา

 

 

ไอ้ตัวร้ายนั้น กระทั่งม่านหน้าต่างก็ปิดจนแน่นหนา ทำเอามองอย่างไรก็ไม่เห็น

 

 

ไม่รู้ว่าเจ้าฮ่องเต้ตัวร้ายนั้นจะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับพี่สาวตัวน้อยหรือเปล่า

 

 

จิตใจของมันเป็นกังวล เอาแต่ร้องกะต๊ากๆ อยู่ตลอดเวลา ขนาดวิญญาณทมิฬก็ยังหนวกหู จึงกระโดดจากบ่าของตู๋กูซิงหลันออกมา ถวนจื่อน้อยตัวดำกระโดดผลุบมาถึงข้างกายติ๊งต๊อง

 

 

” หลันหลันกำลังสัมผัสกับแบบทดสอบความเป็นความตายในชีวิต โปรดอย่าพึ่งรบกวนนาง O K มั้ยหือ? “

 

 

ติ๊งต๊อง ” กะต๊าก…….” หากว่ามีอันตรายละก็ เฮียจะขอปกป้องพี่สาวตัวน้อยเป็นคนแรกเอง!

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็ฟังไม่เข้าใจว่าที่มันกะต๊ากๆ นั่นแปลว่าอะไร ได้แต่อาศัยขาอ้วนสั้นของมันกระโดดไปเกาะบนลำคอของเจ้าไก่ พอมองดูนั้น ก็ต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง

 

 

คิดถึงคอเป็ดพะโล้ในโลกโน้นเหลือเกิน แบบที่หอมเครื่องพะโล้เต็มๆ!

 

 

คอขอเจ้าไก่นี่ก็ยาวดี หากว่าเอาไปทำพะโล้น่าจะอร่อยนะ?

 

 

มันได้แต่ต้องอดทนไว้ พลางใช้ปลายนิ้วสั้นๆ แคะจมูก ไก่ตัวนี้มีเพลิงสีทองคุ้มร่าง ดูๆ แล้วตอนนี้ตนอาจจะยังสู้มันไม่ได้

 

 

เอาเถอะ เอาเถอะ รอไปก่อนอีกหน่อยค่อยทำเนื้อตุ๋นแล้วกัน

 

 

เจ้าไก่ขนฟูไม่สามารถไปนั่งกับพี่สาวตัวน้อย ก็แสดงท่าทางเบื่อหน่ายออกมา มันทรุดตัวลงหมอบราวกับแม่ไก่นั่งฟักไข่อยู่ข้างๆ คนขับรถ ทั้งยังใช้ปีกอีกข้างหนึ่งมายันหัวเอาไว้ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

 

 

กระทั่งน้ำลายของวิญญาณทมิฬหยดลงบนลำคอของมัน มันถึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนั้นมันเก็บเนื้องูเอาไว้ให้เจ้าถวนจื่อตัวดำส่วนหนึ่ง

 

 

มันอ้าปากขึ้นมาในทันที ทำเสียงโอ๊กอากอยู่ครู่หนึ่ง ก็อาเจียนเอาเนื้องูที่ยังเป็นรูปเป็นร่างชิ้นหนึ่งออกมา

 

 

มันหันหน้ากลับไป กระพือปีกใส่เจ้าถวนจื่อตัวดำที่นั่งอยู่บนลำคอของตนเอง “กะ กะ กะต๊าก~” กินสิ ไม่ต้องเกรงใจหรอก เฮียก็รักเจ้านะ

 

 

วิญญาณทมิฬ “………” รู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง ทำไงดี?

 

 

……………………..

 

 

 

 

ภายในรถม้า ฮ่องเต้ทรงพิงพระองค์กับเบาะนุ่ม สองเนตรหงส์หรี่ลง คอยเหลือบมองไทเฮาที่สวมชุดบุรุษหนุ่มสีดำอยู่ตลอดเวลา

 

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะไล่เจ้าไก่ตัวนั้นออกไปได้ ไม่ทันไรก็มีหัวไชเท้าโผล่ขึ้นมาอีกหนึ่ง

 

 

ไอ้หัวไชเท้าตัวจิ๋วนั้นเป็นตายก็จะต้องทำตัวติดกับนาง แค่อยู่ด้วยกันก็แล้วไปเถอะ มันถือสิทธ์อะไรไปนั่งติดอยู่กับนาง ทั้งยังคอยกุมข้อมือนางเอาไว้ พอมองเห็นเขาก็เป็นต้องทำตัวสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยหรือ?

 

 

เขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ใช่จอมมาร น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง?

 

 

พอสัมผัสได้ถึงความกลัวของฮว๋ายอันตัวน้อย ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา เด็กคนนี้สูญเสียทั้งพ่อและแม่ แม้กระทั่งน้องสาวคนเดียวก็จากไปแล้ว เขายังอายุแค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้นเอง หากว่าไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เกรงว่าคงจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้

 

 

ดังนั้นนางถึงได้ตัดสินใจพาเขากลับไปเมืองหลวงด้วย จากนั้นค่อยหาครอบครัวดีๆ รับไปเลี้ยงดู

 

 

ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่พักใหญ่ ค่อยเอ่ยปากว่า ” ฝ่าบาทเพคะ สายพระเนตรของพระองค์จะมีเมตตากว่านี้หน่อยได้หรือไม่? ฮว๋ายอันน้อยขี้กลัว ทรงทำให้เขาตกใจแล้ว”

 

 

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เขียวคล้ำขึ้นมา ขยับพระองค์นั่งหลังตรงอย่างขึงขัง ดวงพักตร์ที่งดงามแต่ก็เย็นชาปานโลงน้ำแข็งนั้นสามารถทำให้เด็กตกใจจนร้องไห้ออกมาได้จริงๆ

 

 

ฮว๋ายอันน้อยถูจมูก ซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของตู๋กูซิงหลันมากกว่าเดิม

 

 

ชาตินี้เขาไม่เคยเจอใครที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับแท่งน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วยังน่ากลัวยิ่งกว่าหรานอ๋องมากมายหลายเท่า

 

 

จีเฉวียนมองดูเขาซุกอยู่ในอ้อมกอดของตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรหงส์ก็เย็นชาขึ้นมาอีกหลายส่วน

 

 

จนผ่านไปอีกครู่ใหญ่ จึงได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงลึกล้ำว่า ” ทีหลังก็ทิ้งเจ้าหัวไชเท้านี้ไว้ที่ข้างกายเรา เราจะสั่งสอนด้วยตัวเอง “

 

 

” ได้รับการชี้แนะจากฟ้าตั้งแต่เล็ก ถือเป็นบุญของเขาแล้ว “

 

 

ดูสิ เขาดีต่อประชาชนของตนเองเพียงไร

 

 

“อ้ายย่าห์…..” พระองค์ตรัสพึ่งจบไป ฮว๋ายอันน้อยก็ตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา หากว่าทุกๆ วันต้องอยู่ข้างกายฮ่องเต้ผู้นี้ มิสู้ให้เขาไปอยู่กับน้องสาวดีกว่า

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก ที่จริงแล้ว…….เพื่อความเจริญก้าวหน้าของฮว๋ายอันในอนาคต หากให้เขาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ

 

 

เพียงแต่ว่าทิ้งเด็กน้อยที่อายุเพียงเท่านั้นไว้ที่ข้างกายเขา ก็ออกจะน่ากลัวไปสักหน่อย

 

 

เพราะขนาดนางเองก็ยังกลัวเขาเลย

 

 

พอเจ้าหัวไชเท้าตัวน้อยน้ำตาไหล ฮ่องเต้ก็ทรงขมวดพระขนงขึ้นมา ทรงประทับนั่งอย่างสง่างาม รอบพระองค์แผ่รังสีกดดันเข้มข้น

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่งถึงเห็นว่าพระหัตถ์ใหญ่หนากำลังขยับ ทรงหยิบบางสิ่งออกมาจากใต้แขนฉลองพระองค์

 

 

ตู๋กูซิงหลันกำลังคิดว่าจะทรงล้วงเอากระบี่ออกมาแทงฮว๋ายอันน้อยตายในดาบเดียวเลยหรือไม่

 

 

ใครจะไปรู้ว่าที่ทรงหยิบอยู่ครู่หนึ่งนั้น ที่แท้ก็คือลูกอมดอกกุ้ย

 

 

เมื่อทรงยื่นไปยังเบื้องหน้าของฮว๋ายอันน้อย ก็ตรัสเสียงเข้มๆ คำหนึ่งว่า ” ห้ามร้องไห้ “

 

 

ฮว๋ายอันน้อยถูกขู่เสียจนเสียงจุกอยู่ข้างใน หยดน้ำตายังคงเกาะอยู่บนใบหน้า เขามองดูก้อนน้ำตาลในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ด้วยความหวาดกลัวว่าหากตนเองไม่หยิบขึ้นมาละก็ ฝ่าบาทจะต้องทรงเอาน้ำตาลเขวี้ยงใส่หน้าของเขาเป็นแน่

 

 

เขาจึงได้แต่หยิบขึ้นมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ

 

 

พอพึ่งจะหยิบใส่มือเรียบร้อย ก็เห็นฝ่าบาททรงหยิบออกมาอีกชิ้นหนึ่ง ส่งให้กับตู๋กูซิงหลัน ” ชิ้นนี้ให้เจ้า “

 

 

แม่จ๋า! ชิ้นนี้ยังใหญ่กว่าหน้าของข้าอีก! ใหญ่กว่าของเจ้าหัวไชเท้าน้อยตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า!

 

 

 

 

——

 

 

槐安 [huái ān] (ฮว๋ายอัน/ หวยอัน) : จะชื่อไหน ก็คนเดียวกันนะจ๊ะ ขออภัยหากทำให้สับสน มันเป็นความติสในการเทียบเสียงจีน-ไทยของไรท์เอง ว่าแบบไหนจะฟังเพราะกว่ากัน แต่เพื่อความกลมกลืนไปกับต้นฮว๋ายฮวา และดอกฮว๋ายฮวา ก็ขอใช้ฮว๋ายอันแล้วกันค่ะ

 

 

桂花糖 (ลูกอมดอกกุ้ย) : เป็นหนึ่งในสี่ลูกอมที่ชาวจีนแต่โบราณนิยมชมชอบ โดยเฉพาะสาวๆ เชื่อว่าเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้มีกลิ่นตัวหอมสดชื่น หน้าตามีหลายแบบตามแต่ความพอใจทั้งเม็ดกลมๆ หรือสี่เหลี่ยม หรือแบบที่เป็นน้ำเชื่อมเข้นข้นสำหรับราดขนมหวานก็มี สูตรการทำนั้นก็ง่ายมากๆๆๆ เพียงอุ่นน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้งจนร้อนและเหนียวข้น เทดอกกุ้ยอบแห้งลงไปกวน เทใส่พิมพ์ทิ้งให้เย็น ก็สำเร็จเลย บางสูตรก็มีการใส่อย่างอื่นลงไปด้วยเช่น งาขาวคั่ว หรือไม่ก็ เก๋ากี้ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความหรูหราให้สมกับคำว่ากุ้ย (แพง, สูงส่ง) ตามค่านิยมของขนมจากในวังนั่นเอง