ตอนที่ 211 นางทำปากจู๋ เตรียมจะจูบกลับไป

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ลูกอมนั่นดูราวกับลูกอมยักษ์ในโลกปัจจุบัน ที่เอามาตีหัวเล่นกัน!

 

 

มิน่าเล่าวันนี้ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์ตัวกว้าง ก็เพื่อความสะดวกในการซุกลูกอมนั่นเองใช่ไหม?

 

 

เจ้าหัวไชเท้าน้อยมองดูลูกอมที่เล็กกว่าฝ่ามือน้อยๆ ของเขาถึงห้าเท่า ค่อยหันไปมองดูลูกอมที่ฝ่าบาทประทานให้พี่ชายตัวน้อย และก็หันกลับมามองดูลูกอมของตนเองอีกครั้ง

 

 

เขามองกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เขาคิดจะถามออกไปสักคำถามหนึ่ง ต่างก็เป็นลูกอมเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันถึงเพียงนี้?

 

 

” เจ้าไม่ชอบหรือ? ” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลันที่เงียบงันไปจนไร้ซุ่มเสียง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจของเขาบังเกิดความเคร่งเครียดขึ้นมานิดๆ

 

 

ซุนต้มยามักจะกล่าวอยู่บ่อยๆ ว่า เด็กผู้หญิงล้วนชอบกินลูกอม

 

 

ดูท่าคงจะหลอกลวงแน่แล้ว!

 

 

งานต้มยาดูท่าจะไม่ค่อยเหมาะกับเขาสักเท่าไหร่แล้ว วิชาแพทย์ก็ไม่ได้เรื่อง กับฮ่องเต้ก็ยังกล้ามาหลอกลวงอีก

 

 

สีพระพักตร์ของพระองค์มืดครึ้มไป ตู๋กูซิงหลันพลันคิดถึงท่วงท่าที่เขาปราบงูยักษ์ไปในดาบเดียว ก็หวาดกลัวขึ้นมาจนต้องกัดลูกอมไปคำหนึ่งเพื่อประคับประคองอารมณ์เอาไว้

 

 

แค่กัดลงไปคำเดียวก็ทำเอานางเอียดปานจะขาดใจตายแล้ว!

 

 

ของเล่นพวกนี้หวานเกินไป!

 

 

นางเป็นพวกสายกินเนื้อ ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยชอบกินของหวานสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ

 

 

ถ้าหากว่าฮ่องเต้ประทานขาหมูชิ้นโต แน่นอนว่านางจะต้องดีใจอย่างยิ่ง

 

 

” ชอบสิ ชอบ ” ตู๋กูซิงหลันกลืนลงไปในคำเดียว ผงกศีรษะติดๆ กัน พลางตอบอย่างไม่ห่วงศักดิ์ศรีใดๆ

 

 

แค่นางบอกออกมาคำเดียวว่าชอบ พระทัยของฝ่าบาทก็ผ่อนคลาย ในสายพระเนตรยังมีรอยแย้มสรวลนิดๆ เสียด้วยซ้ำ ” หากว่าเจ้าชอบละก็ พอกลับเข้าวังเราจะให้ห้องครัวทำให้เจ้าเยอะๆ หน่อย “

 

 

ตู๋กูซิงหลัน เฮือกกก

 

 

……………………………………

 

 

 

 

พอกลับไปถึงวังหลวง อากาศก็เข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว

 

 

หากเปรียบเทียบกับลี่โจวแล้ว เมืองหลวงนับว่าหรูหรารุ่งเรืองกว่ามากมายนัก

 

 

ดอกไฮ่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงมิว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ร่วงก็ล้วนผลิบานอยู่เสมอ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นเพราะอาศัยสิ่งใดจึงได้ประหลาดเช่นนี้

 

 

ยามที่ตู๋กูซิงหลันกลับไปนั้น ทั่วทั้งตำหนักล้วนเกลื่อนไปด้วยสีแดงสดใส งดงามประหนึ่งภาพวาดบนผ้าใบ

 

 

ข่าวที่ว่าเพราะเรื่องของหรานอ๋องทำให้ฮ่องเต้ต้องเสด็จไปฟื้นฟูเมืองลี่โจวโด่งดังจนเกิดความเคลื่อนไหวไปทั่ว ประชาชนทั้งหลายถึงได้ทราบว่าฮ่องเต้เสด็จไปบรรเทาทุกขภิขภัยด้วยพระองค์เอง

 

 

เหล่าพระสนมวังหลังต่างก็ตั้งตารอ แต่ละคนก็ได้แต่ชะเง้อมองออกไป

 

 

ช่วงที่ฝ่าบาทเสด็จออกจากวังไปนี้ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงก็ยังไม่ออกมากระโดดโลดเต้น เอาแต่ซุกอยู่ในตำหนักทั้งวี่ทั้งวัน ไม่กล้าออกมานอกประตูแม้แต่น้อย

 

 

ดูท่าแล้วนางเองก็คงจะรู้ตัวดีว่าเมื่อตอนงานเลี้ยงสิ้นปีนั้นตนเองทำวีรกรรมไว้มากมายเพียงไร ทำเรื่องข้ามหน้าข้ามตาผิดใจกับผู้อื่นเอาไว้ไม่น้อย ครอบครัวของตนเองก็ยังถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอดีตฮ่องเต้ทรงถูกทำร้ายด้วยหรือไม่ ดังนั้นช่วงนี้จึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาละมั้ง

 

 

อืม จะว่าไปก็ดูประหลาดอยู่บ้าง พอวันนี้ฝ่าบาทเสด็จกลับเข้าวังมา ไทเฮาน้อยที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงท่านนั้นก็รีบร้อนลุกขึ้นมาปัดฝุ่นให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของนางทันที

 

 

นางสลัดชุดฤดูหนาวที่หนักหนาทิ้งไป เปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอมดำที่ดูสดชื่น ใบหน้าที่สวรรค์ให้มานั้นแม้จะปราศจากการแต่งแต้มยังคงงดงามดึงดูดทุกสายตา

 

 

ช่วงที่ผ่านมาพอไม่ต้องเห็นหน้านาง เหล่าพระสนมในวังก็บังเกิดความมั่นใจในรูปโฉมของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง พอตอนนี้ต้องมาเจอกันอีก ความมั่นใจเหล่านั้นก็ถูกพัดกระจายปลิวไปกับก้อนเมฆหมดแล้ว

 

 

สตรีผู้นี้เกิดมาหน้าตาดีเกินไปแล้ว ไม่ต้องโผล่หน้าออกมาให้มากจะได้หรือไม่

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็คิดอยากจะนอนพักผ่อนดีๆ แต่เพราะความเป็นห่วงโรคหัวใจในวัยว้าวุ่นของพี่รอง หลังจากที่พาเขากลับมาวันนั้นก็เห็นอยู่ว่าสติสตางค์ไม่ค่อยจะอยู่กับตัวสักเท่าไหร่

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกขังอยู่ใต้ดินจนเกิดโง่ขึ้นมาหรืออย่างไร ถึงได้หาญกล้าขนาดจะไปให้คำสัญญิงสัญญาอะไรกับชือหลี

 

 

ชือหลีเป็นดวงจิตแห่งเทพ พวกเทพให้ความสำคัญกับคำสัญญาที่สุด ดูจุดจบของจีหรานสิ มีชีวิตอยู่ดีๆ แต่เพราะคำพูดเดียวถึงเป็นเหตุให้เกิดคดีเลือดขึ้นมา

 

 

พี่รองไม่รู้สึดเข็ดขยาดบ้างหรือไง? หากมิใช่ว่าวันนั้นนางโผล่ไปอย่างทันท่วงที คงจะมีแต่ฟ้าดินเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเขาจะไปให้คำสัญญาอะไรกับชือหลี

 

 

ที่นางออกมาวันนี้เพราะกะว่าจะพาท่านหมอหลวงซุนไปตรวจดูเขาสักหน่อย เพราะต่อให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยอะไรแต่ว่าสมองคงจะมีปัญหาอย่างแน่นอน

 

 

พึ่งจะก้าวขาออกมาจากตำหนักเฟิ่งหมิงได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นลูกไฟสีแดงดวงหนึ่งพุ่งเข้ามาหานาง

 

 

เงาร่างเพรียวบางนั้นส่งเสียงร้องเรียกคำหนึ่งก็พุ่งถึงเบื้องหน้าของนาง โอบตัวนางเข้าไปในอ้อมกอดทันที

 

 

” อาหลัน เจ้าใจร้ายมาก ไม่มาเจอข้าตั้งนาน เป็นเพราะว่าเจ้าไปฟังถ้อยคำไร้สาระของผู้อื่นมา จึงไม่ชอบข้าแล้วใช่หรือไม่? ” ซูเฟยคนงามทำน้ำตาคลอใส่นาง สองมือก็ทุบซอยลงไปบนอกของนางอย่างไม่มีเกรงใจ

 

 

ไม่เจอกันนาน ซูกุ้ยเฟยคนงามก็ยิ่งบาดตาบาดใจสมกับที่เป็นสาวงามของแผ่นดินยิ่งกว่าเดิม ทำเอาคนชมดูได้ไม่เบื่อเลยจริงๆ

 

 

” มีที่ไหนกัน ข้าย่อมต้องชื่นชอบเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ” ตู๋กูซิงหลันลูบคลำใบหน้าของเขาพลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า ” พอดีเลย ดอกไฮ่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงกำลังผลิบาน เจ้าหาเวลาเชิญน้องชายของเจ้าเข้าวังมา ข้าจะได้เชิญพวกเจ้ามาชมดอกไม้ “

 

 

พอได้ยินนางเอ่ยถึง ‘ซูเยา’ ดวงตาของซูเม่ยก็เป็นประกายวิบๆ วับๆ ” เจ้ายังจำน้องชายของข้าได้หรือ? “

 

 

” ย่อมต้องจำได้อย่างแน่นอน ” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า หนุ่มน้อยที่มีเสน่ห์เหลือเฟือผู้นั้น เดิมทีแค่เคยได้เห็นก็ต้องจดจำได้อยู่แล้ว นึกๆ ดูแล้วนางก็ยังติดหนี้บุณคุณซูเยาอยู่ด้วย ครั้งก่อนพบเจอกันอย่างฉุกละหุก จึงยังไม่ได้ตอบแทนเลย

 

 

” อาหลัน เจ้าช่างดีจริงๆ ” ซูเม่ยกอดนางอีกครั้ง พลางฉวยโอกาสที่รอบด้านปราศจากผู้อื่นทิ้งรอยจุมพิศเอาไว้บนใบหน้าของนางอย่างเด่นชัด

 

 

ช่วงที่ผ่านมานี้ เขาย่อมรู้ว่าตู๋กูซิงหลันไม่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิง เพียงแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ยังสืบไม่พบว่านางไปยังที่ใด

 

 

ดังนั้นช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาจึงมักมาเฝ้าอยู่นอกตำหนักเฟิ่งหมิง เฝ้ามาถึงครึ่งเดือน

 

 

ในที่สุดก็รอจนได้เจอนางแล้ว

 

 

ซูเม่ยเองไม่ได้โง่เขลา เมื่อคำนวนดูช่วงเวลานับตั้งแต่ที่อาหลันหายตัวไป ก็พอดีกับช่วงที่ฮ่องเต้เสด็จไปยังลี่โจว

 

 

พอเขาคิดดูอย่างละเอียด ก็มีแต่ว่าจีเฉวียนพาตัวอาหลันไปเท่านั้นที่จะเป็นไปได้

 

 

ตู๋กูซิงหลันพบว่าซูคนงามคล้ายจะชอบหอมนางอยู่เสมอทุกครั้งเป็นต้องทิ้งรอบชาดทาปากเข้มๆ ไว้บนใบหน้าของตน

 

 

วิธีแสดงความสนิทสนมระหว่างมิตรสหายในแคว้นต้าโจวคงต้องทำเช่นนี้กระมัง?

 

 

นางคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ปล่อยให้ซูคนงามเป็นฝ่ายรุกเช่นนี้อยู่ตลอดก็คงจะไม่ดี

 

 

ดังนั้นนางจึงยู่ริมฝีปาก เตรียมจะจูบคืน

 

 

พอซูเม่ยรู้ตัวว่าจะรับความใกล้ชิดก็ตกตะลึงไป แทบจะยื่นเข้าไปหาทั้งหน้า

 

 

อาหลันถึงกับจะจูบเขา?!

 

 

นี่……..นี่ นี่ นี่ ……… เขายังไม่ทันได้เตรียมใจเลย

 

 

มาก็มาเถอะ จูบซ้ายจูบขวา อยากจะจูบตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น!

 

 

ซูเม่ยใจเต้นตูมตาม น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้รอให้ตู๋กูซิงหลันจุ๊บลงมาบนใบหน้าของเขาก็ได้ยินซุ่มเสียงชรากล่าวขึ้นว่า

 

 

” ไทเฮาและพระสนมเอกซูหวงกุ้ยเฟยช่างสนิทสนมกันมากจริงๆ “

 

 

ตู๋กูซิงหลันละซูเม่ยกวาดตามองออกไปพร้อมๆ กัน ก็เห็นว่าที่ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก อันหร่วนที่มีผมสีดอกเลาทั่วทั้งศีรษะกำลังเดินตรงมาที่พวกนาง

 

 

หากเปรียบเทียบกับยามก่อนที่จะไปจากวังหลวงแล้ว อันหร่วนในตอนนี้ดูชราลงไปมาก

 

 

เส้นผมทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีขาว รอยยับเ**่ยวย่นบนใบหน้าเพิ่มพูนจนทำให้คนต้องตกใจ ราวกับว่าภายในเวลาสั้นๆ นางก็แก่ชราลงไปถึงสิบปี

 

 

หากว่านางจำได้ไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงประทานตำหนักชางอู๋ให้นางอยู่มิใช่หรือ?

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองนางแว๊บหนึ่ง ก็หรี่ตาลง ” อันกูกู เรากับท่านไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน “

 

 

ซูเม่ยเองก็รีบกล่าวขึ้นมาด้วย ” ข้าก็ไม่คุ้นเคยกับท่านเหมือนกัน “

 

 

เขาคุ้นเคยแต่กับอาหลันเพียงผู้เดียว!

 

 

” ซูหวงกุ้ยเฟยอย่าได้ทรงลืมสิเพคะ ตอนที่อยู่ที่เขาจงหลิงซาน พวกเราก็ได้รู้จักกันมาถึงครึ่งปี นี่ยังจะนับว่าไม่คุ้นเคยอีกหรือ? ” อันหร่วนยิ้มเย็น ค่อยหันสายตากลับมามองดูตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง

 

 

” ฟังมาว่าไทเฮาทรงเลี้ยงดูไก่เทพตัวหนึ่งเอาไว้ ไม่รู้ว่าบ่าวเฒ่ามีบุญจะได้ชื่นชมมันบ้างหรือไม่ “