บทที่ 309 กล้าดียังไงถึงได้หลอกข้า?
ทุกคนของโลกภายนอกต่างรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับอาณาเขตทะเลชางหมาง
ด้วยความผิดปกติที่ผู้เชี่ยวชาญเหนือกว่าขอบเขตสวรรค์ขึ้นไปไม่สามารถที่จะเดินทางเข้าไปด้านในได้ ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นตัวตนระดับตำนานบางคนก็ยังมาที่นี่เพื่อทดสอบความแปลกประหลาดนี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
และด้วยความแปลกประหลาดที่คล้ายกันของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ที่มีผนึกคล้ายกันที่ไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญคนไหนก็ตามที่มีขอบเขตสูงกว่าขอบเขตสวรรค์เข้าไปได้ มันจึงมีการคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทั้งสองสถานที่นี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน
ส่งผลให้เหล่าขุมกำลังที่แข็งแกร่งหลายกลุ่มต่างก็ให้ความสนใจและส่งคนมาปักหลักดูความเปลี่ยนแปลงของอาณาเขตทะเลชางหมางอย่างใกล้ชิด
ยกตัวอย่างก็เช่น สีเป่ยเซียะ ที่มาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้เช่นกัน
“พี่หญิง ท่านเองก็คอยเฝ้าดูทางออกของอาณาเขตทะเลชางหมางนี่มานานแล้ว ท่านมีความคืบหน้าอะไรบ้างไหม?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
สีเป่ยเซียะตอบกลับด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “แน่นอนสิ ไม่งั้นข้าจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไมตั้งนมนาน”
“เช่นนั้น ความลับของทะเลชางหมางนี้มันคืออะไรกันแน่?” เย่ชิงเฉิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
สีเป่ยเซียะหัวเราะคิกคักและตอบกลับว่า “เจ้าต้องตกลงที่จะมาเป็นน้องสะใภ้ของข้าก่อน ข้าถึงจะบอกความลับนี้ให้เจ้าฟัง”
เย่ชิงเฉิงส่ายหัวในทันทีและพูดว่า “ข้าไม่ได้ชอบน้องชายของท่าน และอีกอย่างเรื่องการแต่งงานกับข้านั้นมันอาจจะเป็นไปไม่ได้หรอก เนื่องจากด้วยความจำเป็นที่ข้ายังต้องช่วยเหลือพ่อของข้า ข้าอาจจะไม่สามารถแต่งงานกับใครคนอื่นได้!”
สีเป่ยเซียะ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความเสียดายและพูดว่า “เฮ้อ ข้าเข้าใจถึงความลำบากในสำนักของเจ้าช่วงเวลานี้ดี แม้แต่สำนักของข้าเองก็เคยส่งคนไปที่นั่นเพื่อช่วยเหลือสำนักของเจ้า แต่น่าเสียดายที่พวกเราเองก็ล้มเหลวเช่นกัน ว่าแต่ในตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เจอกับ ‘ผู้ถูกชะตาลิขิต’ ของพวกเจ้าแล้วนี่นา ไม่แน่เขาอาจจะแก้ไขปัญหาของสำนักเจ้าให้จบลงได้ก็ได้”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงก็แอบสบถในใจ
‘ผู้ถูกชะตาลิขิต’ บ้าบออะไรกัน! เขามันคือ ‘ศัตรูที่ถูกลิขิตไว้ของนาง’ ซะมากกว่า
ถ้าหากเขาแต่งงานกับนางและสามารถช่วยแก้ปัญหาของสำนักนางได้สำเร็จ นางยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าราคาที่สำนักของนางจะต้องถูกเขาเรียกร้องให้จ่ายมันจะเป็นจำนวนมหาศาลแค่ไหนกัน!
จากนั้นพวกนางก็คุยกันอยู่สักพัก ก่อนที่เย่ชิงเฉิงจะถามขึ้นว่า “พี่หญิง ท่านจะกลับไปที่เมืองหลวงเมื่อไหร่กัน?”
สีเป่ยเซียะยิ้มและตอบกลับ “ในตอนแรกข้าก็คิดว่าจะกลับไปเร็ว ๆ นี้ แต่เผอิญว่าได้เจอเจ้าที่นี่ก่อนพอดี ข้าเลยคิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเล่นเจ้าต่อไปอีกสักพัก และอีกอย่างตอนนี้น้องชายของข้าเองก็กำลังจะมาที่นี่อีกด้วยต่างหาก!”
เย่ชิงเฉิงมองไปที่สีเป่ยเซียะด้วยสีหน้าสงสัย ทำไมจักรพรรดิของอาณาจักรอี้จิ๋นถึงต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองกัน? หรือว่านางเป็นคนเรียกให้น้องชายของนางมาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์อื่น?
เยชิงเฉิงส่ายหัวขับไล่ความสงสัยที่ไม่จำเป็นนี้ออกไปและพูดขึ้น “ข้าว่าวันนี้ข้าได้รบกวนท่านมามากเกินพอแล้ว และข้าเพิ่งจะนึกได้ว่ายังเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องรีบไปจัดการ ฉะนั้นข้าคงต้องขอตัวลาก่อน ไว้มีโอกาสข้าจะมาหาท่านใหม่อีกครั้งก็แล้วกันนะพี่หญิง”
หลังจากร่ำลาเสร็จ เย่ชิงเฉิงก็เดินออกไปจากจวนเจ้าเมืองทันที
สีเป่ยเซียะพยักหน้าและมองนางเดินออกไป โดยที่ไม่ได้เอ่ยรั้งตัวไว้
หลังจากออกมาจากจวนเจ้าเมือง เย่ชิงเฉิงก็ครุ่นคิดถึงเรื่องของพ่อนางที่ยังคงติดอยู่ในหมอกนั่นและกำลังรอการช่วยเหลือ เมื่อคิดอยู่ได้สักพักนางจึงเดินมุ่งหน้าไปยังหมู่ตึกหยูอี่ทันที
เมื่อเดินมาถึงที่หมู่ตึกหยูอี่ นางสั่งให้โม่เอ๋อรออยู่ด้านนอกเช่นเคย และโยนวัสดุระดับสวรรค์ไปให้กับสองสาวน้อยที่อยู่หน้าตึก และเดินเข้าไปด้านในโดยไม่มีการรอให้ทั้งสองสาวน้อยที่รับวัสดุไปเข้าไปเตือนหลิงตู้ฉิงที่อยู่ด้านในก่อน
เมื่อไปถึงสวนด้านหลัง เย่ชิงเฉิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงและโยน ‘เศษดาวหางทองคำ’ ไปให้กับเขาและเอ่ยสั้น ๆ “นี่ของเจ้า!”
หลิงตู้ฉิงรับมันมาด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “สำนักของเจ้าถูกชะตากำหนดมาแล้วว่าในอนาคตพวกเจ้าจะต้องติดหนี้ข้าอีกเป็นจำนวนมหาศาล สำหรับสิ่งนี้ข้าจะถือซะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่สำนักของเจ้าจะต้องให้ข้าในอนาคต”
“ไม่จำเป็นต้องนำไปรวมกับสิ่งที่เจ้าต้องได้ในอนาคต ถือซะว่านี่คือของขวัญที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัว!” เย่ชิงเฉิงพ่นลมออกทางจมูกเสียงดัง “ข้าจะไม่ขัดข้องหากว่าเจ้าต้องการแต่งงานกับข้าหรือจะให้ข้าเป็นทาสของเจ้าก็ตาม แต่เจ้าจะต้องช่วยพ่อของข้าและแก้ไขปัญหาสำนักของข้าให้ได้! และว่าแต่เจ้าต้องการบรรลุไปถึงขอบเขตไหนเจ้าถึงจะสามารถเข้าไปในพื้นที่นั้นได้?”
“อย่างน้อย ๆ ข้าก็ต้องอยู่ในระดับสวรรค์สามัญ!” หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ “นั่นคืออย่างน้อยที่สุด และข้ายังต้องมีการเตรียมการและสมบัติอีกมากมายเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเข้าไปด้านใน”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้าและพูดขึ้น “ถ้าหากเป็นแค่ระดับสวรรค์สามัญ เช่นนั้นก็ง่ายมาก ข้าจะมอบทรัพยากรต่าง ๆ ให้เจ้าอย่างจุใจ ข้ามั่นใจว่าภายในเวลาอย่างมากที่สุด 50 ปี เจ้าจะสามารถบรรลุระดับไปถึงสวรรค์สามัญได้แน่นอน”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าจะเอาข้าไปเทียบกับคนอื่นไม่ได้ วิถีการบ่มเพาะของข้ามันช้ากว่าคนอื่นมาก ๆ เลยล่ะ”
เมื่อนางได้รับคำตอบเช่นนี้ และมองเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังสร้างกระบี่บินเล่มใหม่อยู่ นางจึงเข้าใจไปว่าที่หลิงตู้ฉิงบ่มเพาะได้ช้าก็เพราะเขาต้องแบ่งเวลาไปศึกษาทั้ง ศาสตร์การสร้างสมบัติ หลอมโอสถ อักขระเวทย์ และค่ายกล
“เจ้าก็แค่ช่วยตั้งใจเพิ่มระดับการบ่มเพาะอย่างเดียวในช่วงนี้ไม่ได้งั้นเหรอ? ถือซะว่าข้ากราบขอร้องเจ้าก็ได้!” เย่ชิงเฉิงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงโน้มน้าว “แล้วหลังจากนี้เมื่อเจ้ามีระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้น การเรียนรู้ศาสตร์อื่น ๆ มันก็จะยิ่งง่ายขึ้นตามไปด้วยเจ้ารู้รึเปล่า”
“ข้าไม่เหมือนกับคนอื่น!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อให้ข้าจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย ระดับการบ่มเพาะของข้าก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นไปได้เร็วกว่านี้หรอก!”
เย่ชิงเฉิงเมื่อได้เห็นสีหน้าที่จริงจังเช่นนี้ นางจึงพยักหน้าเข้าใจ พลางคิดในใจ ‘พรสวรรค์ของเขาในการเข้าใจศาสตร์อื่น ๆ มันคงจะสูงมากเกินไปจนบดบังทักษะในการบ่มเพาะให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินสินะ?’
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น มันก็คงเป็นการยากที่จะเร่งความเร็วในการบ่มเพาะให้เร็วมากไปกว่านี้
บุคคลเช่นนี้นางเองก็เคยพบเห็นมาก่อน เย่ชิงเฉิงจึงไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไรสักเท่าไหร่
นางครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงพูดว่า “ข้ามีกุญแจเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอยู่ดอกหนึ่ง ในตอนแรกข้าวางแผนไว้ว่าจะใช้มันเพื่อให้ข้าและศิษย์พี่ของข้าอีกสองคนที่ติดตามมาด้วยเข้าไปข้างในนั้นพร้อมกันกับข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงไม่มีทางเลือก สิทธิ์การเข้าไปของกุญแจนี่มีอยู่ 3 สิทธิ์ ข้าจะให้สิทธิ์ในการเข้าไปด้านในให้กับเจ้า 1 สิทธิ์ หลังจากเข้าไปด้านในแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าหาสมบัติที่จะช่วยพัฒนาทักษะในการบ่มเพาะให้สูงขึ้น เจ้าจะได้สามารถบ่มเพาะได้เร็วกว่านี้”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังเย่ชิงเฉิง และพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปตกลงกับบรรดาศิษย์พี่ของเจ้าก่อน จากนั้นค่อยมาบอกกับข้าอีกที”
เย่ชิงเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องไปตกลงอะไรกับพวกเขา กุญแจเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนี่เป็นข้าของตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และอีกอย่างเจ้าเองก็ถือว่าเป็นแขกคนสำคัญของสำนักข้า ฉะนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรนักที่ข้าจะมอบสิทธิ์นี้ให้กับเจ้า นี่ก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกหลายปีกว่าที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดออก ภายในช่วงเวลานี้เจ้าจงตั้งใจบ่มเพาะและทะลวงไปถึงขอบเขตรวมแสงดาราให้ได้ ไม่งั้นแม้แต่ข้าเองก็ปกป้องเจ้าไม่ได้เมื่อเข้าไปอยู่ข้างในนั้น”
“เจ้าคิดว่าข้าต้องการให้เจ้าปกป้องงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เจ้าจงจำไว้ก็แล้วกันว่าสิทธิ์ในการเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของเจ้า 1 สิทธิ์นั้นเป็นของข้าแล้ว”
เย่ชิงเฉิงพ่นลมออกจมูก “ข้ารักษาคำพูดของข้าแน่นอน แค่เมื่อถึงเวลาที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเปิดออก เจ้าก็จงเข้าไปด้านในกับพวกข้าก็แค่นั้นพอ!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้น “เอาล่ะในเมื่อเป็นทางฝั่งเจ้าที่มาขอร้องข้าให้ช่วยสำนักของเจ้า ฉะนั้นข้าจะให้เจ้าทำอะไรให้ข้าบางอย่างเช่นกันตกลงไหม?”
“ข้าจะไม่ทำเรื่องอะไรที่ผิดศีลธรรม และจะไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรเพื่อเอาเปรียบข้า!” เย่ชิงเฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าระแวง
ด้วยทัศนะคติของนางที่มองเขานั้นไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นนางจึงต้องพูดดักเขาเอาไว้ก่อน
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ข้าแค่ต้องการให้เจ้าปล่อยข่าวว่าข้ามีสิทธิ์การเข้าไปยังเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอยู่หลายสิทธิ์แค่เพียงเท่านั้นเอง” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน
เย่ชิงเฉิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงอดรนทนไม่ได้ตะคอกว่าเขาด้วยอารมณ์เดือดดาล “นี่ข้าอุตส่าห์ให้สิทธิ์การเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกับเจ้า แล้วนี่เจ้ากลับจะขายมันออกไปต่อหน้าข้าดื้อ ๆ แบบนี้เนี่ยนะ? นี่เจ้าเป็นบ้าอะไรกันแน่เจ้าถึงได้… เอ๊ะเดี๋ยวนะ! เจ้าบอกว่ามีอยู่หลายสิทธิ์งั้นเหรอ? เจ้ามีอยู่กี่สิทธิ์กันนะที่จะขาย?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและตอบกลับ “ข้าได้ขายไปแล้ว 1 สิทธิ์ ตอนนี้ข้าจึงยังเหลืออีก 2 สิทธิ์”
ได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงตัวสั่นทันที จากนั้นนางชี้หน้าหลิงตู้ฉิงและตะคอกใส่หน้าเขา “เจ้าไอ้คนชั่ว! นี่เจ้ามีกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอยู่กี่ดอกกันแน่? แล้วนี่เจ้าไม่อายฟ้าดินบ้างเหรอไง เจ้าเองก็มีกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอยู่แล้ว แต่เจ้ายังมาหลอกเอาสิทธิ์ในการเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกับข้าอีก!”