บทที่ 310 ได้รับอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ
เยชิงเฉิงแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด เมื่อเห็นความไร้ยางอายของหลิงตู้ฉิง
ในบรรดาดินแดนหรืออาณาเขตทั้งหลายที่มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ในบางดินแดนเหล่านั้น บางที่ยังไม่มีใครที่ถือครองสิทธิ์การเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแม้สักสิทธิ์เดียวเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการบ่งบอกได้อย่างดีว่ากุญแจเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นมีค่าแค่ไหน
ส่วนนางที่มีสถานะเป็นถึงลูกสาวของเจ้าสำนักมหาอำนาจอย่างสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ จึงแน่นอนว่าย่อมมีมันในครอบครอง
แต่แล้วทำไมชายที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ถึงได้มีมันได้? และที่สำคัญเขาไม่ได้มีแค่ดอกเดียวอีกต่างหาก!
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ข้าไปหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนเสนอให้ข้าเองไม่ใช่เหรอไง?”
เย่ชิงเฉิงตะวาดด้วยอารมณ์โมโห “ข้าไม่ให้มันกับเจ้าอีกแล้ว!”
“มันก็จริงอยู่ที่ข้าคงทำอะไรเจ้าไม่ได้ หากเจ้าจะกลับคำพูดของตัวเองที่ได้ให้สัญญาไว้” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “แต่เมื่อไหร่ที่ข้ากลับคำพูดของข้าบ้าง เจ้าก็อย่ามาร้องไห้อ้อนวอนก็แล้วกัน”
“นี่เจ้า…” เย่ชิงเฉิงที่ได้ยินเช่นนี้ ตัวนางสั่นไปด้วยความโกรธพลางคิดในใจ ‘ไม่ใช่ว่านี่มันเป็นการขู่กันซึ่ง ๆ หน้าเลยรึไง?’
และจุดสำคัญของคำขู่นี้ก็คือ นางไม่มีทางต่อกรกับคำขู่นี้ได้เลย
นางถลึงตามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความโกรธอยู่สักพัก จากนั้นเมื่อพยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง นางจึงพูดว่า “ให้ข้าดูกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของเจ้าหน่อย!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว จากนั้นเขานำกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับออกมา 2 อันแสดงให้เย่ชิงเฉิงเห็น
เมื่อเย่ชิงเฉิงเห็นว่าหลิงตู้ฉิงมีกุญแจอยู่จริง และมีพวกมันถึง 2 ดอก นางจึงนิ่งเงียบไป
“แต่งงานกับเขา!” แม่ของเย่ชิงเฉิงเอ่ยบอกขึ้นผ่านทางห้วงจิตสำนึกของนาง
เย่ชิงเฉิงไม่ได้ตอบโต้อะไรแม้ของนาง เนื่องจากนางทราบดีว่าแม่ของนางหมายความว่าอะไร
ชายที่อยู่ตรงหน้าของนางนั้นพิสดารเกินไป เนื่องจากอย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่ากุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นหายากและมีค่ามากแค่ไหน หากมีมันเพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของผู้ครอบครองมันได้แล้ว แต่ชายผู้นี้กลับมีมันถึง 2 ดอก!
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ชายผู้นี้กลับต้องการขายสิทธิ์การเข้าไปยังเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของกุญแจที่เขามีอยู่เองซะอย่างนั้น แถมเขายังอยู่รอดปลอดภัยดีอีกต่างหากซึ่งมันเรื่องที่แปลกมาก ๆ
บางครั้งการถือครองกุญแจนี่ก็เป็นเหมือนวาสนาและหายนะในเวลาเดียวกัน
และตอนนี้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของนางก็ต้องการความช่วยเหลือของเขา นางจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องคอยสนับสนุนเขา
ถึงแม้จะได้ยินที่คำกล่าวแม่ของนาง เย่ชิงเฉิงยังคงไม่ตอบรับ กลับกันนางมองไปที่หลิงตู้ฉิงและถามขึ้นอย่างสงสัย “แล้วเจ้าขายมันไปในราคาเท่าไหร่บ้างแล้ว?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “เมล็ดพันธุ์ร่มต้านสวรรค์ 1 เมล็ดและวัสดุระดับสวรรค์อีก 10 ชิ้น”
เมื่อได้ยินราคาเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย ราคาเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าสูงเกินไป
นางเงียบอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้น “เจ้าต้องการแต่งงานกับใช่ไหม?”
ในเวลาเดียวกับที่นางพูดประโยคแต่งงาน ใบหน้าของนางก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่นางก็ยังคงเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
“ถูกต้อง!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับทันที พร้อมกับแสดงสีหน้าสนใจ
“ถ้าข้าแต่งงานกับเจ้า เจ้าจะช่วยเหลือสำนักข้าอย่างสุดกำลังรึเปล่า?” เย่ชิงเฉิงมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาจริงจัง “ข้าคาดหวังให้เจ้าช่วยพ่อของข้าออกมาได้และทำให้หมอกนั่นหายไปเพื่อคลี่คลายปัญหาของสำนักข้า ไม่เช่นนั้นวิถีการบ่มเพาะของสำนักข้าจะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีกเลย”
“เมื่อเจ้าเป็นภรรยาข้า แน่นอนว่าข้าต้องช่วยเจ้า” หลิงตู้ฉิงตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มให้นาง
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง ข้าตกลงที่จะแต่งงานกับเจ้า!” เย่ชิงเฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ต่อไปนี้เจ้าคือสามีของข้า ข้าจะดูแลและพยายามทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนเจ้าอย่างเต็มความสามารถ”
“อืม!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
เย่ชิงเฉิงรู้สึกร้อนรุ่มอีกครั้ง ทำไมนี่มันเหมือนกับว่านางสารภาพกับเขาแค่เพียงฝั่งเดียวกัน?
ขณะนี้เย่ชิงเฉิงได้ตกเข้ามาอยู่ในห้วงความรู้สึกเดียวกับบรรดาภรรยาของหลิงตู้ฉิงคนอื่น ๆ ที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้เมื่อแรกเจอกับเขา และไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงกับความห้วนของเขาดี แถมความรู้สึกของนางยังรุนแรงกว่าคนอื่น ๆ อีกเนื่องจากที่นางมีสถานะเป็นถึงลูกสาวของเจ้าสำนักมหาอำนาจ เมื่อนางได้มาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มันจึงทำให้นางรู้สึกเหมือนกับว่าคุณค่าของตัวนางที่เคยอยู่สูงเหนือชั้นฟ้าแต่ตอนนี้กลับถูกดึงลงมาจนติดปฐพี
นางเหม่อมองไปที่หลิงตู้ฉิงอยู่สักพัก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าข้าจะตกลงแต่งงานกับเจ้า แต่มันคงยังไม่ใช่เวลานี้ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ต้องกลับไปรายงานกับแม่ของข้าก่อน”
หลิงตู้ฉิงหรี่ตามองนางและพูดว่า “ตอนนี้แม่ของเจ้าอยู่ในจิตสำนึกของเจ้า!”
“นั่นมันแค่เศษเสี้ยวของจิตวิญญาณของแม่ข้าเท่านั้น!” เย่ชิงเฉิงตะโกนกลับด้วยอารมณ์โมโห “ข้าต้องกลับไปรายงานกับแม่ของข้าต่อหน้าก่อน ฉะนั้นก่อนหน้านั้นเจ้าไม่สามารถล่วงเกินข้าได้ หากเจ้ากล้าล่วงเกินข้า ข้าจะสู้กับเจ้า!”
หลิงตู้ฉิงเพิกเฉยต่อคำขู่ของนางอย่างสมบูรณ์ และพูดว่า “ต่อจากนี้เจ้าต้องอาศัยอยู่ที่นี่!”
“นี่เจ้า!” เย่ชิงเฉิง ขณะนี้กำลังคิดอย่างจริงจังว่า หลิงตู้ฉิงต้องการทำมิดีมิร้ายกับนางแน่นอน นางจึงไม่สามารถข่มอารมณ์ความโกรธของตัวเองเอาไว้ได้ แต่โชคยังดีที่มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยต่างเข้ามาดึงนางออกไปพอดี
ถึงแม้ว่าเย่ชิงเฉิงจะโกรธหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางสัมผัสได้ถึงความมิตรของ มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย นางจึงค่อย ๆ ใจเย็นลง
“พี่หญิง อย่าได้ถือโทษโกรธสามีไปเลย” มี่ไลฝืนยิ้มและเอ่ยขึ้น “สามีของเรานั้นเขามีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าใจของธรรมเนียมปฏิบัติทางโลกแบบที่คนปกติเข้าใจกัน ถ้าหากเจ้าจะโกรธเขาด้วยเหตุนี้แล้วล่ะก็ จากนี้เป็นต้นไปคงไม่มีวันไหนที่เจ้าจะสงบความโกรธลงได้หรอก”
มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย พวกนางต่างรู้สถานะของเย่ชิงเฉิงแล้ว พวกนางจึงเลือกที่จะใช้คำเรียกว่า ‘พี่หญิง’ โดยไม่ถือว่าพวกตนนั้นเป็นภรรยาของหลิงตู้ฉิงมาก่อนเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ภรรยาใหม่ผู้นี้ที่มีภูมิหลังสูงส่งกว่าพวกนางเป็นอย่างมาก
เย่ชิงเฉิงที่อารมณ์เย็นลงแล้วนางจึงถามขึ้น “มันมีอะไรเกิดขึ้นกับเขากัน ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้?”
“พวกเราก็ไม่รู้” หลิวเฟ่ยเฟ่ยส่ายหัว “แต่ในเมื่อสามีต้องการให้ท่านอยู่ที่นี่ เดี๋ยวพวกเราจะให้สาวใช้ของเราไปเตรียมห้องให้กับท่านเอง”
เย่ชิงเฉิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้! ไม่งั้นมันจะต้องมีปัญหาตามมาแน่ ๆ และอีกอย่างยังไงข้าก็ยังไม่มีทางที่จะร่วมหอกับเขาแน่นอน ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาแล้วเขาไม่ทำตามสัญญา ข้าจะต้องกลายเป็นฝ่ายที่สูญเสียอย่างใหญ่หลวง!”
มี่ไลหัวเราะ “งั้นก็ตามใจท่าน! แต่อย่าได้มาหาว่าพวกเราไม่เตือนท่านก่อนทีหลังก็แล้วกัน สามีของเรานั้นเขารู้ทุกอย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ และเขายังมีจุดเด่นที่สุดของตัวเขาเองอีกก็คือเขาเป็นคนที่ยุติธรรมมากในการแลกเปลี่ยนสิ่งใดก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนกับศัตรูก็เช่นเดียวกัน ข้ารู้ว่าฐานะของท่านนั้นสูงส่ง แต่ถ้าหากท่านต้องการแต่งงานกับสามีจริง ๆ มันจะเป็นการดีที่สุดหากท่านปล่อยวางฐานะของท่านซะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา”
อันที่จริง มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่พวกนางมาคุยกับเย่ชิงเฉิง นั่นก็เพราะพวกนางต้องการที่จะมาแสดงตัวว่าพวกนางไม่ใช่สาวใช้ของหลิงตู้ฉิง และต้องการที่จะย้ำเตือนสิ่งเหล่านี้กับผู้ที่กำลังจะมาเป็นภรรยาใหม่ของสามีของพวกนาง
ส่วนฐานะของเย่ชิงเฉิงนั้นจริง ๆ แล้วมี่ไลเองก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ เนื่องจากพวกนางนั้นได้รู้เรื่องราวในอดีตของหลิงตู้ฉิงมาบ้างแล้วจากหญิงสาวที่อยู่ในยันต์สั่งสวรรค์
แม้แต่หลิงตู้ฉิงที่มีภูมิหลังในอดีตขนาดนั้นยังไม่เคยที่จะดูแคลนพวกนางเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นพวกนางจึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำตัวเกรงใจจนถึงขนาดที่จะไม่กล้าพูดตักเตือนอะไร
เย่ชิงเฉิง เมื่อได้ยินเช่นนี้นางเงียบไปอยู่พักหนึ่ง
ส่วนมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ย เมื่อพวกนางได้พูดสิ่งที่ต้องการจะพูดไปหมดแล้ว พวกนางจึงไม่สนใจอะไรอีกและเดินจากไป
เมื่อสิ้นสุดวัน เย่ชิงเฉิงก็ทำแต่เพียงสัญญาปากเปล่าว่าจะแต่งงานกับหลิงตู้ฉิง โดยที่นางก็ยังไม่กลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างแท้จริง
ขณะนี้ทุกคนต่างกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ของตัวเองและเป็นการเปิดทางให้กับหลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงอยู่ด้วยกันเพียง 2 คน
เย่ชิงเฉิงที่เดินไปเดินมาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นนางจึงเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงและนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาพร้อมกับถามว่า “มีอะไรให้ข้าช่วยเจ้าได้บ้างรึเปล่า?”
“เอาอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิมาให้ข้า ข้าจะใช้มันเป็นแกนกลางพลังของค่ายกลกระบี่เหินเมฆา” หลิงตู้ฉิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ให้เขาไป!” แม่ของเย่ชิงเฉิงกล่าวสั่งขึ้นในจิตสำนึกของนาง
เย่ชิงเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงมอบมันให้กับหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้รับอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิมาแล้ว เขาจึงพูดขึ้น “รอให้ข้าทำการปรับแต่งค่ายกลกระบี่ของข้าให้เสร็จก่อน จากนั้นเจ้าจงให้เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของแม่เจ้าออกไปจากจิตสำนึกของเจ้าซะ ข้ามีความลับหลายอย่างที่ไม่ต้องการให้แม่ของเจ้ารับรู้”