ตอนที่ 371 เอ่ยขออาหลวน

วาสนาบันดาลรัก

“สาวใช้? สาวใช้คนใดหรือ” หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป เขาเก็บมีดสั้นทันใด

 

 

อานจวิ้นอ๋องลูบคอตนคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ก็สาวใช้ข้างกายจยาหมิงเซี่ยนจู่ที่ชื่ออาหลวนอย่างไรเล่า ข้ารู้ว่าการทำเช่นนี้ออกจะไร้มารยาทไปสักหน่อย แต่หลัวซื่อจื่อ เจ้าก็มิถึงกับจะฆ่าข้าเพียงเพราะสาวใช้คนหนึ่งกระมัง”

 

 

ครั้งนี้เขาหารือกับจวินเฮ่ากันดีแล้วว่าจะลองดูสักหน่อยว่าจะซื้อตัวสาวใช้ผู้นั้นมาได้หรือไม่ หากแน่ใจในฐานะของนางแล้วก็สามารถพากลับเยี่ยนเจียงไปเงียบๆ ได้ ถึงตอนนั้นแค่จัดการเรื่องราวสักหน่อยคงไม่มีผู้ใดรู้อดีตในเมืองหลวงของอาหลวนแล้ว แค่อ้างว่าร่างกายอ่อนแอจึงไปฝึกตนบนเขา คงมิถูกผู้คนตำหนิว่าเป็นสตรีไม่อยู่กับเหย้า เช่นนี้จึงไม่กระทบกับการหมั้นหมายในภายหน้า

 

 

เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงเม้มปากไม่พูดจา อานจวิ้นอ๋องทำเสียงซี๊ดคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “หลัวซื่อจื่อ สาวใช้ผู้นั้นคงมิได้ถูกท่านใช้การไปแล้วกระมัง”

 

 

“แค็กๆๆๆ” หลัวเทียนเฉิงถึงกับสำลักน้ำลายตน

 

 

“หากเป็นเช่นนั้น…” อานจวิ้นอ๋องมีสีหน้าลำบากใจ แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิงไปว่า “เจ้าคิดว่าจะให้นางออกจากจวนเมื่อใด”

 

 

หลัวเทียนเฉิง “…”

 

 

“ท่านอ๋องเย้าเล่นแล้ว อาหลวนเป็นสาวใช้คนสนิทของภรรยากระหม่อม ภายหน้าจะจัดการเช่นไรต้องให้นางตัดสินใจ มิเกี่ยวอันใดกับกระหม่อมแม้แต่น้อย”

 

 

ครั้นได้ยินว่าอาหลวนยังคงไร้มลทิน อานจวิ้นอ๋องก็ดีใจแทนจวินเฮ่ายิ่ง “เช่นนั้นก็รบกวนซื่อจื่อไปถามจยาหมิงเซี่ยนจู่สักหน่อยได้หรือไม่ เจ้าก็รู้ว่าข้ามาสะดวกที่จะไปถามนางด้วยตนเอง”

 

 

นับว่าท่านยังรู้ความอยู่บ้าง!

 

 

หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากตน เดิมคิดจะปฏิเสธแต่มาคิดดูอีกทีกลับรู้สึกได้ใจยิ่ง

 

 

หากเจี๋ยวเจี่ยวรู้ว่าจวินเฮ่าพบหน้านางครั้งแรกก็ชมชอบสาวใช้คนสนิทของนางแล้ว นางยังจะรู้สึกประทับใจกับคนผู้นั้นอยู่อีกหรือ

 

 

เขาแสร้งเผยสีหน้าลำบากใจ “อย่างไรอาหลวนก็เป็นสาวใช้คนสนิทของภรรยากระหม่อม หากสหายของท่านอ๋องชมชอบนาง กระหม่อมคงต้องกลับไปถามความเห็นนางก่อน”

 

 

เขาเพียงรับผิดชอบนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเจี๋ยวเจี่ยว หลังจากที่นางทราบแล้วจะยอมปล่อยคนมาหรือไม่ นั่นมิใช่เรื่องของเขา กล่าวตามตรง หากภรรยาเขารู้สึกว่าจวินเฮ่าชั่วช้า เขาก็พอใจแล้ว

 

 

“ดีๆ เช่นนั้นก็รบกวนหลัวซื่อจื่อแล้ว” อานจวิ้นอ๋องปรบมือคราหนึ่ง หญิงงามนับสิบก็เดินเรียงแถวกันออกมา

 

 

“ยังเหม่อลอยอันใดอยู่อีก รีบเข้ามาดูแลคุณชายท่านนี้เร็วเข้า”

 

 

หญิงงามทั้งหลายเห็นรูปร่างหน้าตา ท่าทางของหลัวเทียนเฉิงแล้วก็ทราบทันทีว่าฐานะต้องมิใช่ธรรมดา ยากนักจะหาบุรุษหนุ่มเช่นนี้ได้ หากโชคดี…อย่าว่าแต่เป็นอนุในเรือนเลย ต่อให้เป็นอนุนอกเรือนก็ดีกว่าชีวิตในตอนนี้มากยิ่งนัก พวกนางจึงยิ้มร่าเข้าไปหาเขาทันที

 

 

แขนขาวยาวเรียวนับสิบต่างพุ่งมาที่เขา หลัวเทียนเฉิงขนหัวลุกไปหมดจึงร้องเสียงแข็งออกมาว่า “หยุด!”

 

 

เสียงนี้เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง รวมทั้งท่าทางมิให้ผู้ใดเข้าใกล้นั้นอีก หญิงงามทั้งหลายจึงตกตะลึงอึ้งงันแล้วหันสบตากันเลิกลัก

 

 

“ขออภัยด้วย ข้าแพ้กลิ่นเครื่องแป้งประทินผิว แม่นางทุกท่านออกไปเถิด”

 

 

สตรีอาภรณ์เหลืองหนึ่งในคิดอันใดขึ้นมาได้จึงยืนแขนยาวขาวเนียนดุจหยกของตนวางลงบนไหล่ของเขา แล้วเอ่ยออดอ้อนว่า “คุณชายเย้าเล่นแล้ว คลองเยียนจือยังมิทำให้ท่านตกใจวิ่งหนี แล้วจะกลัวอันใดกับสตรีอ่อนแอเช่นพวกเราเล่า ข้าว่าคุณชายมิใช่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องประทินผิวดอก แค่เขินอาย…”

 

 

ยังมิทันกล่าวจบ หางเสียงพลันสูงขึ้นกลายเป็นเสียงร้องอันน่ากลัว บรรดาสตรีที่รายล้อมอยู่ต่างกรีดร้องพลางวิ่งหนีกระเจิง

 

 

สตรีอาภรณ์เหลืองได้แต่ยืนนิ่งมองเส้นผมดำขลับปอยหนึ่งที่ถูกตัดร่วงผ่านตาตกลงไปบนพื้นไม้ ทั้งยังขยับคราหนึ่งคล้ายยังมีชีวิตอยู่กระนั้น

 

 

นางจึงหันไปมองตามสัญชาตญาณ ในมือของบุรุษรูปงามหาใครเทียมนั้นถือมีดคมกริบไว้ แล้วมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดคล้ายกำลังมองเส้นผมไร้ชีวิตที่ร่วงอยู่บนพื้นกระนั้น ในดวงตาไร้ประกายใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

ในที่สุดสตรีอาภรณ์เหลืองก็ทนไปไหว นางกลอกตาคราหนึ่งแล้วร่วงล้มพับไปกับพื้น

 

 

การหมดสติของนางครานี้ทำให้บรรดาสตรีทั้งหลายที่อยู่ด้านข้างต่างวิ่งหลบกันพัลวัน บางคนถึงกับสะดุดล้มโดยแรง

 

 

พลั่ก เสียงคนล้มลงกับพื้นดังลอยมา สตรีทั้งหลายต่างอดห่อตัวไว้มิได้

 

 

อานจวิ้นอ๋องเอ่ยปากขึ้นว่า “หลัวซื่อจื่อ เจ้า เจ้ากำลัง…”

 

 

หลัวซื่อจื่อเก็บมีดสั้นตนไว้ แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ขออภัยยิ่ง หากกระหม่อมเขินอายก็จะควบคุมตนเองมิได้…”

 

 

สตรีทั้งหลายแทบจะคุกเข่าให้เขาแล้ว เขาเป็นคนบ้ามาจากที่ใด เห็นหญิงงามแล้วต้องควักมีสั้นออกมาเพราะเขินอายงั้นหรือ

 

 

“ท่าทีเขินอายของหลัวซื่อจื่อช่างพิเศษนัก เหอๆๆๆ …” อานจวิ้นอ๋องโบกมือคราหนึ่ง “ยังยืนอึ้งอันใดอยู่ รีบออกไปเร็วเข้า”

 

 

เสียงพรึ่บพรั่บดังขึ้น หญิงงามทั้งหลายต่างวิ่งออกอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนมาเสียอีก

 

 

เมื่อมองสตรีอาภรณ์เหลือที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น อานจวิ้นอ๋องจึงบิดเบ้มุมปากตน ในใจก็เอ่ยว่าพวกเจ้าช่วยลากแม่นางผู้นี้ออกไปด้วยเถิด

 

 

ขณะกำลังบ่นว่าอยู่ในใจ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น สตรีสองคนเดินเข้ามาอย่างด้วยฝีเท้าแผ่วเบา นางเดินเข้ามาด้านในพลางจ้องมองหลัวเทียนเฉิง เมื่อเห็นเขายังนิ่งอยู่ก็รีบพาตัวสตรีอาภรณ์เหลืองแสนโชคร้ายผู้นี้ออกไปทันใด

 

 

หลังจากออกไปแล้ว สตรีคนอื่นๆ ต่างก็ล้อมเข้ามาดูพลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

 

 

สตรีหนึ่งในผู้ที่เข้าไปพาตัวสตรีอาภรณ์เหลืองมาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าผาก มือก็ทาบที่อกพลางเอ่ยว่า “ข้าตกใจแทบตาย สายตาพิฆาตเช่นนั้นมิใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทนรับได้”

 

 

สตรีอาภรณ์เหลืองเริ่มรู้สึกตัวแล้ว นางกัดฟันเอ่ยว่า “พี่สาวน้องสาว เอาพู่กันกับหมึกมา ข้าจะวาดรูปคุณชายท่านนั้น!”

 

 

“โอ๊ย พี่หวงอิง ถึงขึ้นนี้แล้ว ท่านยังคิดจะวาดภาพเขาอีก หรือคิดจะแขวนไว้ในห้องเพื่อเฝ้ามองทุกวันกันเล่า”

 

 

“ใช่ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว เห็นชัดว่าเขาดูแคลนพวกเรา”

 

 

เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างขลาดกลัว “แต่คุณชายท่านนั้นทำเช่นนี้ ฮูหยินของเขาช่างมีวาสนานัก”

 

 

“ถุยๆ ฮูหยินเขาจะมีวาสนาหรือไม่เกี่ยวอันใดกับเรา ข้ารู้เพียงแต่ว่าเขาโหดร้ายกับพวกเราเกินไปแล้ว”

 

 

วาจานี้เองทำให้สตรีอาภรณ์เหลือตัดสินใจได้ นางเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ไปเอามา รอให้ข้าวาดเสร็จแล้วจะไปแขวนไว้หน้าประตู พร้อมเขียนไว้ด้วยว่าห้ามคนผู้นี้กับสุนัขเข้า!”

 

 

แน่นอนว่าเป็นเพียงคำที่เอ่ยออกไปด้วยโทสะ แต่สตรีทั้งหลายกลับหัวเราะชอบใจยิ่ง

 

 

ภายในห้อง อานจวิ้นอ๋องกำลังยกถ้วยชาขึ้น “หลัวซื่อจื่อ ในเมื่อเจ้าไม่ชอบเหล่าหญิงงาม เช่นนั้นเราก็ดื่มชากันเถิด”

 

 

“ในเมื่อท่านอ๋องมีเรื่องไหว้วาน กระหม่อมคงต้องรีบกลับไปสอบถามให้ได้ความจะดีกว่า การดื่มชาคงมิจำเป็นแล้ว หากท่านอ๋องชมชอบก็เชิญตามสบายเถิด” หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นแล้วยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพต่ออานจวิ้นอ๋อง

 

 

อานจวิ้นอ๋องส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็กลับพร้อมกันเถิด ข้าก็หมดอารมณ์แล้วเช่นกัน”

 

 

หลัวเทียนเฉิงจึงคิดขึ้นได้ อานจวิ้นอ๋องสนใจเพียงสตรีที่ออกเรือนแล้ว เขาไม่ควรไปทำให้เขาลำบากใจ

 

 

คนทั้งสองจากถนนเฟิงเย่ว์นี้ไป อานจวิ้นอ๋องจ้องมองด้านหลังที่ห่างออกไปไกลแล้วของหลัวเทียนเฉิง พลันครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมา

 

 

เรื่องราวช่างน่าสนุกจริงๆ ด้วยอุปนิสัยของคนที่ทำงานในหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน หลัวเทียนเฉิงกลับไม่สงสัยเลยว่าสหายผู้นั้นของเขาคือใคร

 

 

เป็นเพราะไม่สนใจจริงๆ หรือรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

อานจวิ้นอ๋องลูกคางตน แล้วพับพัดไว้ พลางเดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม

 

 

“เหตุใดวันนี้จึงกลับมาเร็วนักเล่า” เจินเมี่ยวเข้าไปต้อนรับ แก้มสองข้างแดงปลั่งเล็กน้อย ทั้งยังหอบหายใจอีกด้วย

 

 

“เจ้ากำลังฝึกหมัดมวยหรือ”

 

 

“ใช่แล้ว หากไม่ฝึกแม้เพียงวันเดียว กระดูกคงแข็งแน่” ระยะนี้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนับว่าดียิ่ง เจินเมี่ยวไม่ต่างอันใดกับสาวน้อยที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก นางเดินเข้าไปกอดแขนเขาด้วยรอยยิ้ม แต่ต่อมากลับชะงักไป ทั้งยังมองพิจารณาเขาด้วยสีหน้าสงสัย

 

 

“มีอันใดหรือ”

 

 

เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้น “วันนี้ซื่อจื่อไปที่ใดมาหรือ”

 

 

กลิ่นแป้งประทินผิวแรงเพียงนี้ เขาหลุดเข้าไปในฝูงสตรีหรือไร

 

 

ในยุคสมัยนี้นั้น หากนางมิใช่คนปัญญาอ่อนย่อมต้องรู้แน่นอนว่าเขากลับมาจากที่ใด

 

 

สตรีที่ตกอยู่ในห้วงแห่งรักมักทำเรื่องโง่เขลา ความจริงบุรุษก็มิต่างกันนัก หลัวเทียนเฉิงจึงทำอย่างที่บุรุษทั่วไปเลือกกระทำด้วยการปิดบังเรื่องที่ไปถนนเฟิงเย่ว์ไว้ “อานจวิ้นอ๋องเชิญข้าไปดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชามา”

 

 

เมื่อเขาเล่าจบก็ชำเลืองมองแววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเจินเมี่ยวจึงลอบเอ่ยในใจคำหนึ่งว่าแย่แล้ว เขาฉลาดมาทั้งชีวิตแต่เหตุใดจึงลืมว่าเจี๋ยวเจี่ยวนั้นจมูกดียิ่ง

 

 

“แค็กๆ” เขาเอามือบังที่ริมฝีปากพลางไอแห้งๆ ออกมา แล้วรีบพูดเสริมขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “สถานที่ที่ไปออกจะพิเศษอยู่สักหน่อย…”

 

 

เจินเมี่ยวยิ้มอย่างล้ำลึก “คงพิเศษมากอย่างยิ่ง”

 

 

หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปโอบนางไว้ “พอแล้ว เจี๋ยวเจี่ยวเราแค่คุยธุระนิดหน่อยเท่านั้น เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ”

 

 

“ข้าเชื่อ แต่กลิ่นแป้งประทินผิวบนตัวท่านนั้นออกจะแรงเกินไปสักหน่อย ไม่ทราบว่ามีสตรีใดโผเข้าใส่ท่านหรือ แล้วตอนนั้นท่านไม่มีการตอบสนองใดเลยหรือ”

 

 

นางเคยอ่านจากตำราว่าบุรุษทั่วไปหากมีสตรีงดงามอ่อนช้อยโผเข้าหา หากนางเป็นที่ถูกตาต้องใจ ไม่ว่าจะรักหรือไม่ ร่างกายก็ย่อมมีการตอบสนองเกิดขึ้นทันที

 

 

“การตอบสนอง?” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจกับคำถามของเจินเมี่ยวอยู่เล็กน้อย แต่ก็ควักมีดสั้นออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยด้วยความภูมิใจว่า “แค่นางเข้ามาใกล้า ข้าก็ตัดผมนางทันทีเลย”

 

 

เจินเมี่ยว “…”

 

 

เอาเถิด นางกังวลไปโดยเปล่าประโยชน์ สามีของนางมีความคิดเหมือนบุรุษทั่วไปเสียที่ใดกันเล่า

 

 

ดังนั้น…จึงนับว่านางเก็บอัญมณีล้ำค่าได้กระมัง

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว อานจวิ้นอ๋องนัดพบข้าเพราะอยากให้ข้าพูดเรื่องเรื่องหนึ่งกับเจ้า”

 

 

“เรื่องใดหรือ” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “อานจวิ้นอ๋อจะมีเรื่องใดกับข้าได้เล่า”

 

 

“สหายผู้หนึ่งของอานจวิ้นอ๋อง ถูกใจอาหลวน”

 

 

เจินเมี่ยวพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “ถูกใจอาหลวน?”

 

 

“ใช่ ดังนั้นจึงอยากคุยกับเจ้าว่าจะพาอาหลวนไปด้วยได้หรือไม่” หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้าคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “คนผู้นั้นทำเช่นนี้แม้ออกจะดูมักง่ายไปสักหน่อย แต่สตรีงดงามย่อมคู่บุรุษหล่อเหลา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะชอบอาหลวนจริงๆ ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นอาหลวนคงมีชีวิตที่ดีแน่”

 

 

รีบถามมาเถิด ข้าจะได้บอกเจ้าว่าบุรุษมักง่ายผู้นั้นเป็นใคร!

 

 

เจินเมี่ยวถลึงตาให้หลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง “ชีวิตที่ดี? ช่างน่าหัวเราะจริงๆ มิต้องพูดถึงอย่างอื่นเลยแค็การที่เขาเป็นสหายของอานจวิ้นอ๋องก็ย่อมมิใช่คนธรรมดาทั่วไปแล้ว แม้อาหลวนจะดียิ่งแต่อย่างไรก็เป็นเพียงทาส เขามาขออาหลวนเพียงเพราะต้องการคนปูเตียงหรือพับผ้าห่มเล่า ให้ตายอย่างไรก็เป็นได้แค่อนุเท่านั้น หากต่อไปหมดสิ้นความรักใคร่แล้วอาหลวนจะอยู่อย่างไรเล่า”

 

 

เจินเมี่ยวพูดแล้วกลับมีอารมณ์จึงมิได้ยินเสียงชะงักฝีเท้าของอาหลวนที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูและได้ยินเรื่องราวที่นางพูดทั้งหมด

 

 

แม้หลัวเทียนเฉิงจะรู้แล้วแต่กลับเบิกบานจนมิอยากเปิดเผยเรื่องนี้

 

 

เจินเมี่ยวค่อยๆ ขบคิดจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกได้ว่า “สหายอันใดนั้นของอานจวิ้นอ๋อง รู้จักอาหลวนได้อย่างไร”

 

 

คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงอดอุทานด้วยความตกใจขึ้นมามิได้ “หรือจะเป็นนักดนตรีดีดพิณที่พบในวัดต้าฝูผู้นั้น”

 

 

“เหตุใดต้องตกใจเพียงนี้”

 

 

เจินเมี่ยวแค่นหัวเราะคราหนึ่ง “ไม่มีอันใด แค่มองตาปลาตายเป็นไข่มุกก็เท่านั้น”

 

 

หลัวเทียนเฉิงหัวเราะจนแทบหงายหลัง วันต่อมาจึงนำความไปบอกต่ออานจวิ้นอ๋อง

 

 

“ฮูหยินผู้นั้นพูดจริงๆ หรือว่าหากต้องการอาหลวน จะต้องยกเกี้ยวแปดคนหามไปรับนางออกมาจากจวนกั๋วกงเท่านั้น” จวินเฮ่าเอ่ยถามอย่างอึ้งงัน พลันรู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิด

 

 

ในความทรงจำอันแตกกระจายนั้นคล้ายมีสตรีผู้หนึ่งเอ่ยถามว่า “ท่านยอมยกเกี้ยวแปดคนหามมารับข้าออกไปจากจวนกั๋วกงหรือไม่”