ตอนที่ 372 พบหน้าอีกครา

วาสนาบันดาลรัก

จวินเฮ่าหน้าซีดไป เหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นที่หน้าผากแล้วไหลตามสันจมูกโด่งเข้าไปในปาก เห็นชัดว่าเจ็บปวดทุกข์ทนยิ่ง 

 

 

อานจวิ้นอ๋องตบบ่าเขาคราหนึ่ง “จวินเฮ่า เรามิจำเป็นต้องบีบคั้นตนเองถึงเพียงนั้น หากไม่ได้จริงๆ แค่บอกความจริงกับพวกเขาไป เช่นนี้แม้อาหลวนจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ถึงตอนนั้นเมื่อหารือกันดีแล้ว ข่าวลือต่างๆ คงไปไม่ถึงเยี่ยนเจียงที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้แน่” 

 

 

ผ่านไปนาน จวินเฮ่าจึงฟื้นสติออกจากความเจ็บปวดอันกะทันหันนั้น เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ แล้วยิ้มให้อานจวิ้นอ๋อง “คงต้องทำเช่นนั้นแล้ว แต่ข้าอยากพบหลัวซื่อจื่อและฮูหยินสักครา พวกเขาจะได้ไร้ข้อกังขาใดๆ” 

 

 

อานจวิ้นอ๋องพยักหน้าติดๆ กัน “เช่นนี้ก็ดี มิเช่นนั้นพวกเขาคงยังคิดว่าข้าอยากจะได้สาวใช้น้อยนั้นมาครอบครองเองเป็นแน่” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงทิ้งเทียบเชิญลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทีดูเคร่งขรึม 

 

 

จวินเฮ่าถึงกับคิดจะพบกับพวกเขาสามีภรรยา เขาคิดว่าตนเป็นใครกัน 

 

 

เขาหยิบเทียบเชิญพิมพ์ลายบุปผางดงามนั้นขึ้นมาดูอีกครา แล้วอดแค่นยิ้มเย็นมิได้ 

 

 

คนผู้นั้นคงมิคิดจะใช้แผนทำให้เกิดเสียงทางตะวันออกแต่จู่โจมทางตะวันตกกระมัง 

 

 

ภายนอกทำเป็นขออาหลวนแต่ความจริงกำลังคอยจ้องเจี๋ยวเจี่ยวของเขาอยู่ 

 

 

แต่…ยามนี้เจี๋ยวเจี่ยวรู้สึกไม่ชอบใจจวินเฮ่าแล้ว หากมีอันใดเกิดขึ้นอีกก็มีแต่ทำให้เจี๋ยวเจี่ยวยิ่งรังเกียจเขามากขึ้นเท่านั้น 

 

 

หลัวเทียนเฉิงแสดงสีหน้าภาคภูมิใจในความฉลาดของตนที่รู้จักขุดกับดักให้ศัตรูหัวใจตั้งแต่คราแรกที่มีโอกาส เขาโยนเทียบเชิญลงพื้นแล้วเหยียบมันก่อนเดินออกไปจากห้องตำรา 

 

 

“อานจวิ้นอ๋องกับสหายของเขาเชิญเราไปกินข้าว?” ครั้นเจินเมี่ยวได้ยินคำว่า ‘อานจวิ้นอ๋อง’ นางก็ขมวดคิ้วเป็นการใหญ่ “หากมีเรื่องพูดคุยแค่เชิญท่านก็พอแล้ว ไยต้องให้ข้าไปด้วยเล่า”  

 

 

กล่าวถึงตรงนี้หน้านางก็หน้าขรึมขึ้นมาทันใด “พวกเขาคงมิคิดจะแย่งตัวอาหลวนไปกระมัง” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงตบมือนางเป็นการปลอบใจ “เจี๋ยวเจี่ยว อานจวิ้นอ๋องขึ้นชื่อเรื่องความสำราญ เป็นทำอันใดตามแต่ใจ มิใคร่ไยดีธรรมเนียมอันพึงปฏิบัตินัก ยามนี้พวกเขาจับจ้องอาหลวนอยู่ อย่างไรพบพูดคุยกันซึ่งหน้าก็ช่วยลดความยุ่งยากได้ภายหน้าได้ไม่น้อย” 

 

 

หวังว่าอานจวิ้นอ๋องกับจวินเฮ่าจะทำเรื่องที่ย่ำแย่ไปกว่านี้อีก ให้เจี๋ยวเจี่ยวเกลียดมากขึ้นสักหน่อย เขาก็วางใจแล้ว 

 

 

“เช่นนั้น…” เจินเมี่ยวคิดถึงชื่อเสียงของอานจวิ้นอ๋องแล้วปวดหัวยิ่ง นางจึงพยักหน้ารับในที่สุด “ก็ได้” 

 

 

วันต่อมาเจินเมี่ยวจึงเลือกสวมใส่อาภรณ์อย่างไม่พิถีพิถันนักออกจากเรือน รออยู่ครู่หนึ่งก็มิเห็นหลัวเทียนเฉิงออกมาเสียทีจึงถามชิงไต้ว่า “ซื่อจื่อเล่า” 

 

 

“ซื่อจื่อยังเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ด้านในเจ้าค่ะ” 

 

 

“มันนานมากแล้วนะ นานพอจะตัดอาภรณ์ทั้งชุดได้เลยทีเดียว” เจินเมี่ยวลุกขึ้นเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า 

 

 

“ซื่อจื่อ เกิดอันใดขึ้นหรือ” เมื่อเห็น**บใหญ่หลายใบและอาภรณ์ที่วางเต็มแท่นเตียง เจินเมี่ยวก็ต้องตกใจยิ่ง 

 

 

หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างประหม่า “เพราะยังหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมไม่ได้อย่างไรเล่า” 

 

 

เจินเมี่ยวกลอกตาไปมาแล้วหยิบชุดคลุมตัวยาวสีเขียวเข้มปักลายสีเข้มมาหนึ่งชุด “ชุดนี้มิใช่เหมาะยิ่งหรอกหรือ” 

 

 

“ชุดนี้?” 

 

 

“ใช่ ท่านรูปร่างดี ใส่ชุดใดก็น่ามองทั้งสิ้น ชุดนี้ยังช่วยขับให้ดูสง่างามมีพลังมากขึ้นอีกสักหน่อย” เจินเมี่ยวรู้สึกอยู่เสมอว่าการสนทนานี้ออกจะดูแปลกพิกลอยู่บ้าง 

 

 

นางกำลังจะออกไปเดินเล่นซื้อของกับสหายคนสนิทหรืออย่างไร 

 

 

หลัวเทียนเฉิงได้ยินเจินเมี่ยวบอกว่าเขารูปร่างดีก็เบิกบานจนมุมปากฉีกกว้าง แล้วหยิบเอาชุดคลุมยาวตัวนั้นเข้าไปเปลี่ยนหลังฉากบังลม 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่งคุณชายรูปงามก็เดินออกมาเอ่ยถามเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าเคลือบรอยยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“ไม่เลว” เจินเมี่ยวพยักหน้าแล้วจ้องมองหลัวเทียนเฉิงด้วยความสงสัย “ซื่อจื่อ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าวันนี้ท่านดูแปลกไปเล่า” 

 

 

ปกติเขาเป็นคนที่มิใส่ใจเรื่องการแต่งกายเลย หากนางมิเตือนเขาก็ยังคงใส่ชุดที่เก่าขาดติดกายไปด้วยซ้ำ 

 

 

“แปลกที่ใดกันเล่า การไปพบแขกย่อมมิอาจสวมใส่ตามใจได้ เช่นนั้นมิใช่เสียมารยาทมากหรอกหรือ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง 

 

 

เจินเมี่ยวฟังเหตุผลของเขาแล้วจึงฝืนพยักหน้ารับคราหนึ่ง “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงจูงมือนางออกไปด้านนอก แต่กลับหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน 

 

 

“มีอันใดหรือ” 

 

 

“แค็กๆ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคิดว่าข้ากับสหายดีดพิณของอานจวิ้นอ๋องกับข้า ผู้ใดสง่างามกว่ากัน” 

 

 

“แค็กๆๆๆ” เจินเมี่ยวไอออกมาอย่างรุนแรง กระทั่งน้ำตาคลอเบ้าแล้ว 

 

 

หลัวเทียนเฉิงรีบหยิบผ้าออกมาเช็ดให้นางแต่กลับถูกผลักออก 

 

 

เจินเมี่ยวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว แล้วจ้องหลัวเทียนเฉิงอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นปีศาจมาจากที่ใดถึงกล้าเข้าสิงสามีข้า” 

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงเองก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย หูเขาแดงก่ำไปหมด 

 

 

ในที่สุดคนทั้งสองก็ออกจากจวนเสียที กระทั่งถึงหอสุราเทียนเค่อ อานจวิ้นอ๋องกับจวินเฮ่าก็ดื่มชาไปถึงสองกาแล้ว 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อยว่า “มีเรื่องทำให้ล่าช้าเล็กน้อย ทำให้ท่านทั้งสองต้องรอแล้ว” 

 

 

อานจวิ้นอ๋องพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “หลัวซื่อจื่อกับจยาหมิงเซี่ยนจู่ออกจากเรือนมาพร้อมกันย่อมต้องใช้เวลามากสักหน่อย บางคราที่ข้าพาหวังเฟยไปข้างนอกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างหน้าไม่แดงใจมิเต้นแรงว่า “ท่านอ๋องมิถือโทษก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวอดยกมือขึ้นกุมหน้าผากมิได้ การแบกหม้อดำอัน[1]ใดนั้น นางเกลียดเหลือเกินแล้ว! 

 

 

“ท่านผู้นี้คือ…” ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็เบนสายตาไปที่บุรุษที่สวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวแสนเรียบง่ายนั้นเสียที 

 

 

จวินเฮ่ามองเขาเช่นกัน ในขณะที่เห็นหน้าอีกฝ่ายถนัดตาก็พลันปวดแปลบที่หัวใจขึ้นมา จึงเดินเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว 

 

 

ใบหน้าหลัวเทียนเฉิงไร้อารมณ์ใดๆ แต่กลับจ้องจวินเฮ่าไม่วางตา จวินเฮ่าก็เช่นกัน 

 

 

คนทั้งสองสบตากันคล้ายมีประกายไฟเปรี๊ยะๆ เกิดขึ้นในดวงตากระนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็มิกล้าเข้าไปแทรกกลาง 

 

 

เจินเมี่ยวปิดปากตนไว้ 

 

 

จบกัน นางคิดแล้วเชียวว่าเหตุใดวันนี้ซื่อจื่อถึงได้แปลกๆ หรือว่า…หรือว่าเขาชอบคุณชายจวินท่านนี้เข้าให้แล้ว 

 

 

ในยุคนี้การที่บุรุษในตระกูลสูงศักดิ์จะเลี้ยงเด็กชายและชายรูปงามไว้นั้นมิใช่เรื่องแปลกใหม่อันใด บางคนถึงกระทั่งยกให้เป็นกระแสอันน่านิยมด้วยซ้ำ 

 

 

เมื่อหันกลับไปมองคุณชายจวินผู้งดงามหาใดเทียบ เจินเมี่ยวก็ต้องปวดแปลบในใจ 

 

 

บุรุษผู้นี้จะเกิดมามีหน้าตางดงามเช่นนี้เพื่ออันใดกัน 

 

 

ครั้นรับรู้ได้ถึงสายตาของเจินเมี่ยว จวินเฮ่าก็ค่อยๆ เบนสายตาไปมอง เมื่อเห็นถึงความรังเกียจในสายตานางอย่างชัดเจนก็ถึงกับอึ้งงั้นไปเล็กน้อย 

 

 

ชั่วขณะนั้นเขาไม่ทราบจริงๆ ว่าความรู้สึกเจ็บปวดนับพันนับหมื่นชนิดกลับเอ่อล้นเข้ามาในหัวใจได้อย่างไร เขาอ้าปากเอ่ยออกมาเพียงสองคำอย่างมิอาจห้ามตนเองได้ “เมี่ยวเอ๋อร์…” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขายื่นมือออกมาโอบด้านหลังเจินเมี่ยวไว้ แล้วจ้องมองจวินเฮ่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับมีคลื่นพายุซัดสาดอยู่ไม่รู้คลาย 

 

 

หรือจวินเฮ่าจะมีความทรงจำเมื่อชาติก่อนอยู่ 

 

 

อานจวิ้นอ๋องมีสติคืนมาจากอาการตกใจเมื่อครู่จึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า “จวินเฮ่า เมืองหลวงมิได้เปิดกว้างเช่นฉงหนานของพวกเจ้า ข้าบอกเจ้าแล้วว่าหากพบหน้ากันเจ้าควรต้องเรียกนางว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่จึงจะถูก” 

 

 

จวินเฮ่ากลับสู่ท่าทีสุขุมเช่นเดิมแต่กลับมองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง แล้วโค้งกายให้นางเล็กน้อย “จวินเฮ่าคารวะจยาหมิงเซี่ยนจู่” 

 

 

เขาจึงหันไปโค้งกายให้หลัวเทียนเฉิง “คารวะหลัวซื่อจื่อ” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “มิจำเป็นต้องมากพิธีหรอก” 

 

 

เขาหันไปมองอานจวิ้นอ๋อง “ท่านอ๋องมีเรื่องใดก็พูดมาเถิด จยาหมิงมิสะดวกอยู่ข้างนอกนานนักพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“อืม เรื่องเป็นเช่นนี้ วันนั้นข้ากับจวินเฮ่าบังเอิญพบจยาหมิงที่วัดต้าฝู จวินเฮ่าจึงบังเอิญพบว่าสาวใช้ข้างกายจยาหมิงนามอาหลวนหน้าตาคล้ายญาติผู้น้องที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนของเขา…” 

 

 

ครั้นได้ยินคำว่า ‘ญาติผู้น้อง’ เจินเมี่ยวพลันมีสติคืนมาจากความรู้สึกแปลกประหลาดนั้น “ท่านอ๋อง วาจานี้ออกจะดูเกินจริงไปสักหน่อยกระมัง ยามนี้อาหลวนอายุเพียงสิบสี่สิบห้าแล้ว กลับดูออก…” 

 

 

สายตานางร่วงตกไปบนร่างจวินเฮ่าแต่กลับเบนสายตาหนีทันที “ว่าคล้ายญาติผู้น้องของคุณชายจวินอีกหรือ” 

 

 

มิรอให้อานจวิ้นอ๋องเอ่ยปาก จวินเฮ่าก็เอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ญาติผู้น้องของของข้าหายตัวไปเมื่อสิบปีก่อน หลายปีมานี้ก็ยังคงตามหานางอยู่ตลอด แม่นางอาหลวนข้างกายเซี่ยนจู่หน้าตาคล้ายอาหญิงของข้าถึงแปดส่วน ข้าจึงบังอาจคาดเดาเช่นนี้ เสียมารยาทต่อเซี่ยนจู่แล้ว ขอท่านอย่าได้ตำหนิข้าเลย” 

 

 

จวินเฮ่าหลุบตาต่ำ เอ่ยขออภัยอย่างจริงจัง ในใจก็สงสัยกับท่าทีอันแปลกประหลาดนั้นของนาง 

 

 

“อาหลวนเป็นสาวใช้คนสนิทของข้า แค่คำพูดเช่นนั้นของคุณชายจวินนั้นช่างยากนักที่จะทำให้คนเชื่อได้” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างเย็นชา 

 

 

จวินเฮ่าเพียงรู้สึกว่าท่าทีเย็นชาเช่นนี้ทำให้เขาไม่คุ้นชินอย่างที่สุดแต่กลับพยายามสะกดความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นไว้ แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้อพิสูจน์นั้นมี เพียงแต่…” 

 

 

“คุณชายจวินพูดตามตรงมาเถิด มิจำเป็นต้องอ้ำๆ อึ้งๆ” 

 

 

“ให้ข้าพูดแล้วกัน แต่เรื่องนี้คงมิสะดวกให้หลัวซื่อจื่อฟังด้วย” อานจวิ้นอ๋องเดินเข้าไปใกล้เจินเมี่ยวแล้วกระซิบบอกนางคำหนึ่ง 

 

 

เจินเมี่ยวเบิกตากว้างขึ้น “เป็นเรื่องจริงหรือ” 

 

 

อานจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมา “สาวใช้ผู้นั้นเป็นคนสนิทของเจ้า หากอยากรู้…แค็กลับไปดูก็ทราบแล้ว” 

 

 

หลัวเทียนเฉิงหูว่องตาไว วาจาประโยคนั้นเขาได้ยินอย่างชัดเจนยิ่ง แต่กลับมิเผยสีหน้าใดทั้งยังแสร้งเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องพูดอันใดกับนางหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นมองจวินเฮ่าคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ไม่ทราบว่ามีอันใดที่ข้ามิควรฟังหรือ คุณชายจวินบอกท่านอ๋องแต่กลับไม่อาจบอกข้าด้วย” 

 

 

เจินเมี่ยวได้ฟังกลับกวาดตามองจวินเฮ่าด้วยแววตาโกรธเคืองคราหนึ่ง 

 

 

นางเอ่ยในใจว่าคนผู้นี้ช่างหละหลวมนัก เรื่องเช่นนี้กลับเล่าให้อานจวิ้นอ่องฟัง 

 

 

จวินเฮ่าหันไปมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอันยากจะเข้าใจ 

 

 

เจินเมี่ยวชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเบนสายตาหนี 

 

 

“เช่นนั้นข้ากับภรรยาขอตัวกลับก่อนแล้ว วันหลังจะมาให้คำตอบกับท่านอ๋องและคุณชายจวิน” หลัวเทียนเฉิงจูงมือเจินเมี่ยวเดินจากไป 

 

 

ภายในห้องอันวิจิตรนั้นจึงเหลือเพียงอานจวิ้นอ๋องและจวินเฮ่าสองคน 

 

 

อานจวิ้นอ๋องกะพริบตาคราหนึ่ง “จวินเฮ่า เหตุใดเจ้าถึงทราบนามของจยาหมิงเซี่ยนจู่เล่า” 

 

 

“นามของจยาหมิงเซี่ยนจู่?” 

 

 

“ใช่ จยาหมิงเซี่ยนจู่สกุลเจิน นามของนางคือเมี่ยว” 

 

 

จวินเฮ่าใจเต้นตึกตักขึ้นมา ที่แท้เมี่ยวเอ๋อร์คือนามของนางหรือ 

 

 

แต่เหตุใดเขาจึงเอ่ยเช่นนั้นออกมาเล่า 

 

 

ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ไม่…ตั้งแต่พบกันที่วัดต้าฝู เขากลับไม่เป็นตัวของตัวเองคล้ายหลงเข้าไปในม่านหมอกทึบกระนั้น 

 

 

หรือจยาหมิงเซี่ยนจู่จะมือที่ปัดเป่าหมอกควันนั้นออกไปให้เขากันแน่ 

 

 

แต่เขาจำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้อย่างนั้นหรือ 

 

 

เจินเมี่ยวกลับถึงจวนก็เรียกอาหลวนมาหาทันที 

 

 

“อาหลวน บนกายเจ้ามีปานอันใดอยู่หรือไม่” 

 

 

อาหลวนรู้สึกตกใจเล็กน้อย ตามด้วยอาการหน้าแดง แต่ยังคงตอบว่า “ต้าไหน่ไหน่ บนกายบ่าวมีปานรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว อยู่ที่…บั้นท้ายด้านซ้ายเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวถึงกับอึ้งไป ครู่หนึ่งจึงถอนหายใจยาวออกมาแล้วเอ่ยว่า “อาหลวน เจ้าได้กลายเป็นญาติผู้น้องของผู้อื่นไปแล้วรู้หรือไม่!” 

 

 

อาหลวนคุกเข่าลงดังพลั่ก “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่เข้าใจความหมายของท่านเจ้าค่ะ หรือ…หรือมีคนคิดจะมาขอตัวบ่าวไปเจ้าคะ” 

 

 

นางหมอบกาย ก้มศีรษะแนบติดพื้น “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่อยากจากท่านไปรับใช้ผู้อื่นเจ้าค่ะ” 

 

 

เจินเมี่ยวรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้า…” 

 

 

“เจ้าค่ะ วันนั้นที่ท่านคุยกับซื่อจื่อ บ่าวได้ยินหมดแล้ว บ่าวไม่อยากไปเป็นสาวใช้ทงฝังของผู้ใด หากเป็นไปได้ บ่าวก็อยากจะเป็นภรรยาผู้ดูแลเรือนเช่นพี่จื่อซู แต่หากเป็นไปไม่ได้ บ่าวยอมอยู่รับใช้ต้าไหน่ไหน่ไปชั่วชีวิตเช่นพี่ไป๋เสาเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] แบกหม้อดำ ใช้เปรียบเปรยว่าแบกรับความผิดแทนผู้อื่น คล้ายสำนวนแพะรับบาปในภาษาไทย