“อาหลวน เจ้าลุกขึ้นก่อน”
อาหลวนลุกขึ้น ขอบตานางแดงก่ำ หยาดน้ำตาพราวระยับนั้นกลับยิ่งทำให้คนดูงดงามมากขึ้นไปอีก
เจินเมี่ยวจึงนึกถึงเรื่องที่หลัวเทียนเฉิงไปสืบมาได้หลังจากเกิดเรื่องเจี้ยงจูขึ้น
ที่แท้อาหลวนนั้นถูกเลี้ยงดูไว้เพื่อให้เป็นหญิงคณิกา แต่ไม่ทราบว่านางหนีออกมาได้อย่างไร กระทั่งตกไปอยู่ในมือของแม่เฒ่าสกุลจ้าว
แม่เฒ่าสกุลจ้าวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับร้องเพลง นางระบำ แม่ครัว หญิงเย็บปัก หรือสาวใช้ทำงานหยาบ งานละเอียด นางล้วนสามารถเลือกได้เหมาะสมถูกใจผู้คนยิ่ง
แม้คนผู้นี้จะเจ้าเล่ห์ลื่นไหลแต่กลับมีข้อห้ามอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ขายสตรีไปเป็นคณิกา
ด้วยเหตุนี้เองอาหลวนที่มีรูปโฉมงดงามยิ่งจึงรอดพ้นกระทั่งได้มาอยู่กับเจินเมี่ยว
เพราะอาหลวนเคยผ่านการฝึกเพื่อเป็นหญิงคณิกามาก่อน หลัวเทียนเฉิงจึงตั้งใจเอ่ยกับเจินเมี่ยวเป็นพิเศษว่าหากนางถือสากับเรื่องนี้ก็ให้หาเหตุผลขายนางออกไปเสีย
“อาหลวน ปีนี้เจ้าอายุสิบห้าแล้วกระมัง”
“เจ้าค่ะ อีกหนึ่งเดือนบ่าวก็จะสิบห้าปีเต็มแล้ว”
“ถึงตอนนั้นข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เจ้าเรือนของเรา อายุครบสิบห้านับเป็นวันที่สำคัญยิ่ง”
“ต้าไหน่ไหน่ อาหลวนเป็นเพียงสาวใช้ ไหนเลยจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ท่านอย่าได้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวมองอาหลวนที่งดงามดุจบุปผาครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา “อาหลวน ต่อไปเกรงว่าเจ้าคงมิใช่สาวใช้แล้ว”
“ต้าไหน่ไหน่!” อาหลวนหน้าซีดขาวยิ่ง นางกำลังจะคุกเข่าลงอีกแต่ถูกเจินเมี่ยวจับไว้ก่อน
“เจ้านั่งลงคุยกับข้าสักหน่อยเถิด”
อาหลวนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวน้อย แต่นั่งเพียงครึ่ง นางโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อย สองมือประกบกันไว้คอยตั้งใจฟัง
เจินเมี่ยวรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
นางยังจำตอนที่อาหลวนมาอยู่กับตนแรกๆ ได้ แม้หน้าตาจะงดงามโดดเด่น แต่กลับผอมซูบยิ่ง ไหนเลยจะงดงามอิ่มเอิบเช่นตอนนี้
สาวใช้คนสนิทที่นางเฝ้าเลี้ยงดูมาอย่างดีกลับกลายไปเป็นญาติผู้น้องของคนอื่นเสียแล้ว!
เจินเมี่ยวพลันโกรธเคืองจวินเฮ่าขึ้นมาอีกคราหนึ่ง นางลอบกลืนน้ำลายแล้วจึงเอ่ยว่า “อาหลวน เจ้าคงพอจะเรื่องราวตอนอายุสี่ห้าปีได้บ้างไม่มากก็น้อยกระมัง เล่าให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”
อาหลวนเกิดหวาดกลัวขึ้นมาจึงครุ่นคิดอย่างจริงจัง มิกล้าเห็นวาจาของเจินเมี่ยวเป็นเรื่องล้อเล่น “จำได้เลือนรางยิ่งเจ้าค่ะ บ่าวจำได้ว่าหน้าเรือนมีแม่น้ำสายหนึ่ง ริมแม่น้ำทั้งสองฝั่งจะปลูกดอกอิงเถาไว้มาก เมื่อถึงเทศกาลในเดือนสาม ท่านพ่อจะพาข้าและท่านแม่ไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำทั้งยังถักกิ่งดอกอิงเถามาทำเป็นมงกุฎดอกไม้ให้ข้ากับท่านแม่ด้วย บนริมฝั่งแม่น้ำมีกลีบดอกอิงเถาร่วงเต็มไปหมดคล้ายสายธารบุปผาที่สวยงามยิ่ง บ่าวจำได้ว่าเมื่อถึงเทศกาลนั้นจะมีคนมากมายออกไปเดินเล่นที่นั่นเจ้าค่ะ”
เอ่ยถึงตรงนี้อาหลวนก็ขมวดคิ้ว “คล้ายว่าปีนั้น ท่านแม่จะให้กำเนิดน้องชายผู้หนึ่ง เมื่อน้องชายป่วย ท่านพ่อกับท่านแม่จึงอยู่ดูแลเขา บ่าวไพร่ในบ้านจึงพาบ่าวออกไปชมโคมบุปผา…”
อาหลวนส่ายหน้าโดยแรง “บ่าวจำเรื่องอื่นไม่ได้แล้ว ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงนึกออกแต่เรื่องนี้ แม้แต่ชื่อตนเองก็จำมิได้แล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นนางก็ถูกจับมาฝึกเป็นหญิงคณิกา ช่วงชีวิตในตอนนั้นเป็นดั่งฝันร้ายสำหรับนาง นางไม่อยากจะย้อนระลึกถึงจริงๆ และกลัวว่าหากมันถูกเปิดเผยออกไปมันจะมาทำลายชีวิตอันสงบสุขของนางในยามนี้
ครั้นฟังถึงตรงนี้เจินเมี่วก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอก
ได้แต่ทำใจยอมรับว่าอาหลวนน่าจะเป็นญาติผู้น้องของคุณชายจวินจริงๆ เสียแล้ว
จากที่ฟังอานจวิ้นอ๋องเล่ามา คุณชายจวินผู้นั้นมีชาติกำเนิดจากตระกูลเก่าแก่ อาหญิงของเขาก็แต่งให้ตระกูลที่ไม่ธรรมดาเลย หากเป็นเช่นนี้แม้นางจะคิดถึงอาหลวน แต่ความจริงนี่ก็นับเป็นเรื่องที่ดีกับอาหลวนอย่างยิ่ง
นางกลัวอาหลวนคิดมากทั้งกลัวว่าหากจำผิดจะทำให้นางดีใจเก้อ จึงเพียงเอ่ยปลอบว่า “เจ้าวางใจเถิด สาวใช้ของข้าจะไม่มีทางเป็นอนุของผู้ใดเด็ดขาด นอกจากนางจะปรารถนาเอง”
อาหลวนจึงโล่งอกลงได้ แต่ก็กลับไปด้วยใจที่ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย
กระทั่งถึงยามข้าวเย็น บรรดาสาวใช้ต่างออกไปหมดแล้ว นางจึงพูดเรื่องความทรงจำที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของอาหลวนให้หลัวเทียนเฉิงฟัง “แม้จะใกล้เคียงกันยิ่ง แต่เรื่องนี้ต้องรอบคอบให้มาก หากคนผู้นั้นเป็นจอมหลอกลวง อาหลวนคงไม่ปลอดภัยแน่”
หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วอารมณ์ดียิ่ง “ใช่ มิอาจให้อาหลวนถูกล่อลวงไปได้ เจี๋ยวเจี่ยวเจ้าวางใจเถิด เรื่องนี้มอบให้ข้าไปตรวจสอบแล้วกัน”
เจินเมี่ยวอดเอ่ยขึ้นอีกไม่ได้ว่า “แต่ก็มิอาจให้นางพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรสำหรับอาหลวนแล้วการได้กลับไปอยู่กับบิดามารดา ได้เป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดีเหลือคณา”
หลัวเทียนเฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “อืม”
เดิมเขาคิดจะหาความจริงเพราะต้องการไล่จวินเฮ่าออกไป เขาไม่อยากให้เจี๋ยวเจี่ยวไปเกี่ยวข้องอันใดกับคนผู้นั้นอีก แม้จะเป็นเพียงเรื่องสาวใช้ก็ไม่ได้ แต่ในเมื่อเจี๋ยวเจี่ยวคิดเช่นนี้ เขาจะเชื่อนางแล้วกัน
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการรักใครสักคน มิใช่การใช้คำว่ารัก หรือคำว่าดีต่อนางมาเป็นเหตุผลในการตัดสินใจแทนนาง แต่เป็นการพยายามทำทุกอย่างตามที่นางปรารถนา
หลัวเทียนเฉิงนัดพบกับอานจวิ้นอ๋องอีกครา เขาบอกว่าแค่ปานเล็กๆ จุดเดียวมิอาจอธิบายสิ่งใดได้ หากอยากได้อาหลวนคืนกลับไป เยี่ยนเจี่ยงต้องส่งคนมายืนยัน
อานจวิ้นอ๋องรับปากทันใด
นอกจากนี้หลัวเทียนเฉิงยังส่งองครักษ์ลับไปสืบตามคำบอกเล่าของอานจวิ้นอ๋องอีกด้วย
พริบตาก็ล่วงมาถึงเดือนสิบสองแล้ว น้ำด้านนอกกลายเป็นน้ำแข็ง หน้าต่างกระจกที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ย่อมมีน้ำแข็งเกาะติดเป็นธรรมดา เมื่อถูกความอบอุ่นของกระถางไฟมันจึงค่อยๆ ละลายเป็นลายน้ำ เชวี่ยเอ๋อร์กำลังเช็ดกระจกอย่างขะมักเขม้น มือนางแดงก่ำไปหมดเพราะความเย็น
เจินเมี่ยวร้องบอกนางว่า “เชวี่ยเอ๋อร์ มิต้องเช็ดแล้ว มาผิงไฟก่อน”
“เจ้าค่ะ จะเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เชวี่ยเอ๋อร์เช็ดเสร็จแล้วก็วิ่งเข้าผิงไฟ
แมวที่นับวันก็ยิ่งอ้วนตัวนั้นนอนอยู่บนตักเจินเมี่ยว มันมองเชวี่ยเอ๋อร์อย่างเกียจคร้านคราหนึ่ง แล้วก้มหัวลงหลับตานอนต่อไป
“เชวี่ยเอ๋อร์ ไปบอกไป๋เสาว่าให้นางไปสอบถามมาทีว่าวันเกิดอาหลวนคือวันใด ถึงเวลานั้นเราจะจัดโต๊ะอาหารสักสองโต๊ะ แล้วกินข้าวด้วยกันอย่างสนุกสนานสักครา”
เชวี่ยเอ๋อร์อึ้งงันเป็นอันดับแรกแล้วจึงยิ้มร่าในเวลาต่อมา “เจ้าค่ะ”
นางลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตูอย่างว่องไว แล้วหันกายมาแลบลิ้นพลางเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ลำเอียงรักแต่พี่อาหลวน”
ไม่ทราบว่าม่านถูกแหวกออกตั้งแต่เมื่อใด หลัวเทียนเฉิงเดินเข้ามาพอดี “รักแต่อาหลวน?”
อากาศหนาวเหน็บจากด้านนอกลอยมาพร้อมกับคำถามนี้ เชวี่ยเอ๋อร์ตัวสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง นางรีบย่อกายคารวะแล้ววิ่งออกไปทันที
เจินเมี่ยวเดินเข้ามารับเสื้อคลุมที่เขาเพิ่งถอดออก นางสะบัดคราหนึ่งแล้วว่างลงบนปะการังแขวนเสื้อพลางเอ่ยถามว่า “วันนี้กลับมาเร็วยิ่ง?”
หลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนรองเท้าแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน เขารับชาอุ่นจากเจินเมี่ยวมาดื่มคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องอาหลวน ข้าได้ข่าวมาแล้ว”
เจินเมี่ยวถึงกับชะงักไป
หลัวเทียนเฉิงเริ่มไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูท่าคงเป็นอย่างที่สาวใช้ที่ชื่อเชวี่ยเอ๋อร์หรือเยี่ยนเอ๋อร์นั่นพูดเป็นแน่ เจี๋ยวเจี่ยวช่างใส่ใจอาหลวนนัก
“จวินเฮ่ามีอาหญิงผู้หนึ่งที่แต่งให้ตระกูลหวังในเยี่ยนเจียงซึ่งนับเป็นตระกูลที่โด่งดังในพื้นที่นั้นไม่น้อย หน้าประตูจวนตระกูลหวังนั้นมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ริมฝั่งแม่น้ำมีต้นดอกอิงเถาปลูกเต็มไปหมดอย่างที่อาหลวนบอกไว้ คนในพื้นที่ต่างเรียกว่าแม่น้ำอิงเถาร่วงโรย บุตรสาวของนายท่านเจ็ดของตระกูลหวังหายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แต่ปกปิดกับคนภายนอกไว้ ดูท่าคงยังหวังจะตามหากลับมาได้” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วเอ่ยเสริมอีกว่า “นายท่านเจ็ดตระกูลหวังมีบุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน ยามนี้บุตรชายคนโตอายุสิบเอ็ดปีซึ่งห่างกับอาหลวนสี่ปี”
“พูดเช่นนี้ หมายความว่านางเป็นบุตรของเขาจริงๆ งั้นหรือ” เจินเมี่ยวก็ไม่รู้ว่าตนควรเสียใจหรือยินดีกับอาหลวนกันแน่
“คุณชายจวินผู้นั้นได้เขียนจดหมายไปแจ้งข่าวแล้ว นายท่านเจ็ดและฮูหยินตระกูลหวังกำลังเดินทางมาที่นี่ คาดว่าอีกสิบวันหรือครึ่งเดือนคงถึงแล้ว”
เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ “เดิมข้ารู้สึกอาวรณ์อาหลวนยิ่ง แต่ได้มาฟังเช่นนี้กลับอดดีใจแทนนางมิได้”
อีกไม่นานก็จะถึงวันตรุษแล้วแต่กลับรีบร้อนมาตามหาบุตรสาวที่หายไปหลายปี แต่พวกเขากลับมิเคยลืมเลือนเลย
สามวันต่อมาเป็นวันเกิดของอาหลวน นางมองหน้าผู้คนที่คุ้นเคยทั้งหลายและเจินเมี่ยวที่ผลิยิ้มเบิกบานอยู่ในห้องโถง ขอบตาอดแดงก่ำขึ้นมามิได้ นางเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ความจริงวันเกิดนี้นับตามวันที่ย้ายไปอยู่กับแม่เฒ่าจ้าว บ่าวมีวาสนาจากที่ใดกันถึงได้มีวันเกิดที่มีเกียรติเช่นนี้”
นางจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตนเอง ไหนเลยจะจำวันเกิดได้ หลังจากวันที่หลุดออกมาจากปากเสือนางก็ถือว่ามันคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว
“อาหลวนของข้า วันหน้ายังคงมีวาสนาอันใหญ่รออยู่อีกแน่” เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ย
หลังจากจื่อซูแต่งออกไป อาหลวนก็กลายเป็นสาวใช้ใหญ่คนสนิททันที สาวใช้น้อยใหญ่ในเรือนชิงเฟิงจึงมาร่วมสังสรรค์ด้วย ยังมีสาวใช้หน้าใหญ่มีหน้ามีตาเรือนอื่นอีก เมื่อทราบเรื่องนี้เข้าก็นำของขวัญมามอบให้ด้วย แต่มิกล้าดื่มกินเพียงมอบของขวัญแล้วเอ่ยอวยพรสองสามคำก็จากไป
ผ่านไปอีกวันเจินเมี่ยวจึงนำความที่หลัวเทียนเฉิงสืบทราบมาได้บอกแก่นางไป “ที่มิได้เอ่ยบอกก่อนหน้านี้เพราะกลัวว่าเจ้าจะดีใจเก้อ ซื่อจื่อส่งคนไปสืบมาแล้ว เรื่องราวเป็นจริงแปดเก้าส่วนในสิบส่วน อีกไม่นานนายท่านเจ็ดและฮูหยินตระกูลหวังคงถึงแล้ว ที่บอกเจ้าก่อนเพราะจะได้เตรียมใจเอาไว้”
“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่อยากจากท่าน…”
เจินเมี่ยวดึงนางให้ลุกขึ้น “เด็กโง่ ผู้อื่นดีเพียงไรก็ไม่มีทางดีเท่าบิดามารดาและญาติพี่น้อง เจ้ามิได้สาวใช้แล้ว ภายหน้าย่อมได้แต่งกับคนดีมีชาติตระกูล ข้านั้นอยากจะเก็บเจ้าไว้ยิ่ง แต่น่าเสียดายที่มิอาจแต่งกับเจ้าได้”
อาหลวนได้ยินวาจานี้แล้วก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
หลังจากที่นางออกไปจากห้องก็ไปหามู่จือ สาวใช้ที่เข้ามาทำหน้าที่แทนเจี้ยงจู
“ข้าดูเจ้ามานาน เจ้าเป็นซื่อๆ อุปนิสัยสุขุมกว่าเชวี่ยเอ๋อร์อยู่มากสักหน่อย ข้าอยากจะสอนวิธีการนวดขมับให้กับเจ้า ต่อไปหากออกไปข้างนอก เจ้าจะได้ดูแลต้าไหน่ไหน่แทนข้า ไม่รู้ว่าเจ้ายินดีหรือไม่”
มู่จือมีสีหน้ายินดีระคนแปลกใจ นางรีบเอ่ยขอบคุณทันที “ขอบคุณพี่อาหลวนที่ส่งเสริม มู่จือยินดียิ่งเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่นั้นอาหลวนจึงคอยสอนมู่จืออย่างมุ่งมั่นตั้งใจ
เป็นเช่นนี้กระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน นายท่านเจ็ดและฮูหยินตระกูลหวังจึงมาถึงเมืองหลวง ด้านนอกหิมะตกหนัก หนทางล้วนกลายเป็นน้ำแข็ง รถม้าจึงขับเคลื่อนได้ช้ายิ่ง
กระทั่งถึงที่หมายจึงเอ่ยถามไถ่กับอานจวิ้นอ๋องอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เชิญนายท่านเจ็ดและฮูหยินตระกูลหวังออกมา
ครั้งแรกที่เจินเมี่ยวได้เห็นฮูหยินตระกูลหวังก็ได้แต่เอ่ยในใจว่านางจะต้องเป็นมารดาของอาหลวนอย่างไม่ต้องสงสัย
ฮูหยินตระกูลหวังดูแล้วอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น
สายตาของนายท่านเจ็ดและฮูหยินต่างมองไปที่อาหลวนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยว ฮูหยินตระกูลหวังเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “เฉียงเอ๋อร์…”
ความทรงจำของคนเราคล้ายกับกล่องไม้ที่ถูกลงสลักลงกลอนไว้ บางครั้งคิดว่าลืมไปแล้ว แต่เมื่อเสียบกุญแจอันที่ถูกต้องเข้าไป ทุกอย่างกลับพรั่งพรูออกมา
ภาพสตรีผู้อบอุ่นอ่อนโยนในความทรงจำซ้อนทับสตรีที่อยู่ตรงหน้า อาหลวนมิสนใจสิ่งใดอีกแล้ว นางพุ่งเข้าไปหาทันที “ท่านแม่…”
เจินเมี่ยวและคนอื่นๆ เดินออกไปด้านนอกปล่อยให้บิดามารดาและบุตรได้มีเวลาส่วนตัว
ครั้นอาหลวนเดินออกมา นางจึงเอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามั่นใจว่าเป็นบิดามารดาเจ้าไม่ผิดแน่ใช่หรือไม่”
อาหลวนพยักหน้าทั้งใบหน้าแดงก่ำ
หลังจากนี้ก็เหลือเพียงวางแผนให้อาหลวนจากไปอย่างราบรื่น
ผ่านไปอีกสองวัน ข่าวคราวการออกเรือนของอาหลวนก็แพร่ออกไป บรรดาสาวใช้ต่างรีบร้อนมามอบของขวัญให้ ก่อนจากจวนไปในวันนั้น อาหลวนจึงไปหาเจินเมี่ยว