“อาหลวน หากเจ้ายังเอียงอายต่อไปคงได้สายแล้วเป็นแน่” เจินเมี่ยวมองอาหลวนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
แน่นอนว่าการออกเรือนครานี้เป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อปกปิดความจริงกับคนในจวน เล่นละครย่อมต้องเล่นให้สมบทบาท
อาหลวนคุกเข่า ก้มหน้าติดลงกับพื้น “ต้าไหน่ไหน่ อาหลวนขอโขกศีรษะให้กับท่านเจ้าค่ะ”
นางโคกศีรษะลงกับพื้นสามครา เมื่อลุกขึ้นก็ส่งถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงให้กับเจินเมี่ยว “ขอให้ท่านกับซื่อจื่อครองรักกันจนแก่เฒ่าเจ้าค่ะ”
พูดจบก็กลัวว่าเจินเมี่ยวจะเปิดออกดูจึงรีบยกกระโปรงวิ่งหนีไป
กระทั่งอาหลวนออกจากจวนกั๋วกงไปท่ามกลางเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงอย่างครึกครื้นและเสียงพูดคุยกันด้วยความอิจฉาและยินดีของสาวใช้ทั้งหลาย เจินเมี่ยวจึงเดินกลับห้องไปอย่างรวดเร็ว
หลัวเทียนเฉิงเห็นท่าทีเศร้าสร้อยของเจินเมี่ยวแล้วจึงเดินตามเข้ามา
“อาลัยอาวรณ์นางถึงเพียงนั้น”
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นพบกับสายตาอันลึกล้ำดำทะมึนนั้นแล้วก็อดเอ่ยความในใจตนออกมามิได้ว่า “อาหลวนและสาวใช้ไม่กี่คนนี้ อยู่กับข้าในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด กับสาวใช้ที่เข้ามาใหม่อย่างไรก็ไม่มีทางเหมือนกัน”
ความยากลำบากของนาง มิใช่เพียงแค่การที่เหตุการณ์ย่ำแย่ต่างๆ ที่ร่างเดิมต้องเผชิญ แต่มากกว่านั้นคือช่วงเวลาที่นางทะลุมิติมาที่นี่แต่กลับมิอาจบอกเล่าความหวาดกลัวนี้กับผู้ใดได้
เจินเมี่ยวหยิบถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงออกมาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้อาหลวนให้อันใดข้า ท่าทางนางตอนให้นั้นดูแปลกพิกล”
หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างมิได้ใส่ใจนักว่า “คล้ายว่าจะเป็นบันทึกเล็กๆ เล่มหนึ่ง”
เจินเมี่ยวหยิบบันทึกเล่มน้อยนั้นออกมา กลิ่นหมึกยังคงฉุนอยู่เลย เห็นชัดว่าเพิ่งเขียนเสร็จได้ไม่นาน นางอยากรู้ยิ่งจึงเปิดออกดูทันที แต่มือลื่นจึงทำบันทึกนั้นตกลงพื้น
หลัวเทียนเฉิงโน้มตัวลงเพื่อเก็บมัน
แต่เจินเมี่ยวกลับพุ่งเข้าไปหาทันที “วางลง ข้าจะเก็บเอง!”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า แล้วฉวยโอกาสขณะที่เจินเมี่ยวไม่ทันระวัง หยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “ให้ข้าเก็บให้ดีกว่า…”
รอยยิ้มนั้นพลันมลายหายไปเมื่อเขาเห็นเนื้อความของบันทึกเล่มนั้นหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา ท่าทีดูแปลกพิลึกอย่างที่สุด
เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปคิดแย่งคืนทั้งมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง “ท่านเห็นแล้ว?”
“ไม่ ข้าไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น!” หลัวเทียนเฉิงยัดบันทึกนั้นใส่อกเจินเมี่ยวแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็วดุจบินได้
เจินเมี่ยวกำบันทึกนั้นแน่น ท่าทางอยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา
อาหลวนเอ๋ย เจ้าอยากจะสอนข้าวิธีทำให้ที่บริเวณนั้นคับแน่นดุจแรกแย้มก็ใช้วิธีบอกปากเปล่ามิได้หรือ
เจินเมี่ยวรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่ง ในใจก็คิดว่าเช่นนี้ซื่อจื่อจะต้องคิดแน่ว่าวันทั้งวันนางกับสาวคงคิดแต่เรื่องอันใดเทือกนี้เป็นแน่
เพราะหลัวเทียนเฉิงอยู่ด้วย เจินเมี่ยวรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย จึงเอาแต่ก้มหน้ากินข้าวอย่างไม่รู้รสชาติใดๆ
“หากก้มต่ำกว่านี้หน้าเจ้าคงมุดเข้าไปในข้าวแล้ว” อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ เมื่อเรื่องราวผ่านไปแล้ว เขาจึงมิเขินอายแล้วแต่กลับรู้สึกถึงการรอคอยอย่างจดจ่อ
“แค็กๆ ข้าแค่รู้สึกว่าข้าววันนี้หอมยิ่งก็เท่านั้น”
ชิงเกอที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยสวนขึ้นมาว่า “ต้าไหน่ไหน่ วันนี้เราใช้ข้าวสารปี้เกิ่งเจ้าค่ะ ก่อนหุงบ่าวยังใส่น้ำมัน…”
หลัวเทียนเฉิงหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที “ชิงเกอ เจ้าออกไปก่อนเถิด”
“เจ้าคะ?”
หลัวเทียนเฉิงฝืนยิ้มคราหนึ่ง “วันนี้เจ้าทำกับข้าวอร่อยมาก ไปรับเงินรางวัลกับไป๋เสาเถิด”
ใบหน้ารูปไข่ของชิงเกอสว่างเจิดจ้าขึ้นมาทันที “ขอบพระคุณซื่อจื่อยิ่งเจ้าค่ะ ซื่อจื่อ ต้าไหน่ไหน่ บ่าวยังทำไข่ตุ๋นฝูหรงด้วย ประเดี๋ยวจะยกเข้ามาให้ท่านทั้งสองเจ้าค่ะ!”
เหลือเกินจริงๆ!
หลัวเทียนเฉิงเกือบจะขว้างตะเกียบใส่แล้ว หลังจากชิงเกอออกไปแล้ว เขาก็กัดฟันเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “ต่อไปยามเรากินข้าว ไมต้องให้สาวใช้ทั้งหลายมาคอยปรนนิบัติแล้ว”
“อืม”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะกินข้าวเสร็จ เจินเมี่ยวจึงผ่อนลมหายใจออกมา นางลุกขึ้นเรียกคนให้เข้ามาเก็บ
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเตือนอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจี๋ยวเจี่ยว วิธีฝึกในบันทึกเล่มนั้น เจ้าอย่าลืมลองทำดูเล่า”
พูดจบก็รีบออกไปทันทีโดยไม่รอให้เจินเมี่ยวแสดงท่าทีใด
เจ้าคนหน้าไม่อาย!
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในห้องด้านใน แล้วหยิบบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาคิดจะเผาทิ้งไม่ให้เหลือซาก แต่พลันชะงักมือตนไว้ ความรู้สึกสงสัยกลับเป็นฝ่ายชนะในที่สุด นางมองไปโดยรอบคล้ายขโมยก็มิปาน แล้วค่อยๆ เปิดบันทึกนั้นออกอ่าน
ครั้นอ่านไปหลายรอบกระทั่งจำได้ไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว คนบางคนจึงทำลายมันจนไม่เหลือซากด้วยท่าทีเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
แค็กๆ แม้ยามนี้จะยังมิได้ใช้ประโยชน์ แต่หากภายหน้าคลอดบุตร ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้…
ราตรีนั้นคนทั้งสองต่างกอดเกี่ยวรัดรึงอยู่ด้วยกัน หลัวเทียนเฉิงข่มกลั้นลมหายใจที่เริ่มไม่เป็นจังหวะนั้นไว้แล้วเอ่ยถามว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เรื่องนั้น เจ้าฝึกแล้วหรือไม่”
“เรื่องใด”
เขาขยับกายเล็กน้อย น้ำเสียงออกจะต่ำพร่าอยู่บ้าง “บันทึกเล่มนั้น…”
สองแขนเจินเมี่ยวโอบรอบคอเขาไว้ นางจิกเล็บลงไปในเนื้ออันเรียบลื่นขาวกระจ่างนั้น แล้วพยายามเอ่ยออกมาว่า “เผาทิ้งแล้ว”
“เผาแล้ว?” หลัวเทียนเฉิงหยุดเคลื่อนไหวทันใด เม็ดเหงื่อหยดลงบนลำคอระหงของคนที่อยู่ใต้ร่าง
“ต้องเผาทิ้งแน่นอนอยู่แล้ว สิ่งของน่าอับอายเช่นนั้นจะเก็บไว้ทำอันใด”
“เผาไปก็ดีเช่นกัน” หลัวเทียนเฉิงยิ้มล้ำลึก “เจ้าคงจดจำไว้หมดแล้ว”
เจินเมี่ยวอึ้งงันไป ตามด้วยโทสะอันมากล้น “ไปตายซะ!”
คาดการณ์แม่นยำเช่นนี้ มิคิดจะให้คนมีชีวิตอย่างมีความสุขบ้างเลยหรือไร
“ข้ามาแล้ว” หลัวเทียนเฉิงจับเอวแบบบางของนางไว้แน่น คลื่นพายุอันบ้าคลั่งลูกใหญ่จึงสาดโหมขึ้น
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง คนทั้งสองต่างหมดแรงจะจัดการเรื่องอื่นๆ แม้แต่เรียกสาวใช้ให้นำอ่างน้ำมาให้ยังไม่ทำจึงนอนกอดกันกระทั่งถึงรุ่งเช้า
พริบตาก็ล่วงมาถึงปลายเดือนสิบสองแล้ว นายท่านสี่สกุลหลัวและคุณชายสามต่างกลับมาจากค่ายทหาร คนในจวนกั๋วกงจึงอยู่พร้อมหน้ากันอย่างยากนักจะเกิดขึ้นได้
อากาศเริ่มหนาวขึ้นทุกที บางคราหิมะห่าใหญ่ดุจขนห่านก็ตกติดต่อกันนับหลายวัน ยามนี้ได้ยินข่าวมาแล้วว่าที่ทางตะวันออกของเมืองหลวงมีบ้านเรือนราษฎรถูกหิมะพัดถล่มทำให้ไร้ที่หลบภัยหนา กระทั่งมีคนหนาวตายแล้ว
ด้วยเหตุนี้เจาเฟิงตี้จึงตำหนิผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้าฝั่งตะวันออกเสียยกใหญ่ ทำให้ผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้าอีกสี่กองต่างรู้สึกถึงภัยอันอาจจะมาถึงตัวนี้
ตระกูลร่ำรวยมีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายต่างเปิดเพิงแจกจ่ายโจ๊กแก่ราษฎร จวนเจิ้นกั๋วกงก็เป็นหนึ่งในนั้น
การแจกจ่ายโจ๊กเป็นการทำบุญ ตามหลักแล้วย่อมมิใช้เงินจากส่วนกลาง แต่เป็นการร่วมบริจาคเงินจากเจ้านายในจวนไปจนถึงบ่าวไพร่ แต่ล้วนทำตามกำลังกายและกำลังทรัพย์ตนเท่านั้น
เจินเมี่ยวมีทรัพย์สินมาก ทั้งยังเห็นถึงความยากลำบากของชาวบ้านจึงบริจาคไปห้าร้อยตำลึงเงิน
ผู้อื่นในจวนยังพอทำเนาแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เถียนเสวี่ยซึ่งเป็นหลานสะใภ้เช่นกันกลับบริจาคเพียงยี่สิบตำลึงเงินจึงออกจะดูน้อยไปสักหน่อย
นางเถียนจึงเอ่ยขึ้นในตอนนั้นว่า “หลานสะใภ้ช่างใจกว้างจริงๆ เสวี่ยเอ๋อร์ วันที่เจ้ายกน้ำชามาคารวะนั้นแม่มอบกำไลหยกให้เจ้าไปมิใช่หรือ เจ้าก็เอามาบริจาคเถิด เจ้าเป็นน้องสะใภ้ต้องเรียนรู้จากพี่สะใภ้ใหญ่ให้มากๆ”
นางหงุดหงิดเจินเมี่ยวทั้งโมโหที่เถียนเสวี่ยมีสมบัติติดกายมาน้อย แม้การพูดเช่นนี้จะดูเหมือนช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าเจินเมี่ยวไม่รู้ความ
ตามความเคยชินที่ปฏิบัติกันมา หากมีการมอบเงินหรือบริจาคใดๆ นั้นต้องดูว่าผู้อาวุโสที่สุดกระทำการเช่นไร แต่ในทางกลับกันผู้อาวุโสเองก็ต้องคำนึงถึงศักยภาพของพี่น้องตนด้วย
นางเถียนเอ่ยเช่นนั้นจึงทำให้เถียนเสวี่ยหน้าแดงขึ้นมา นางยื่นมือไปถอดกำไลหยกบนข้อมือแต่ถูกเจินเมี่ยวห้ามไว้ก่อน
“หลานสะใภ้มิกล้ารับวาจานี้ของท่านดอก เงินห้าร้อยตำลึงนี้ข้าออกในนามของบ้านใหญ่เจ้าค่ะ”
นางหันไปยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่า แค่ท่านไม่รังเกียจว่าข้ากับซื่อจื่อบริจาคน้อยเกินไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดเช่นนี้กลับทำให้วาจาที่นางเถียนเอ่ยไปนั้นดูหาเรื่องไปสักหน่อย บ้านใหญ่มีเพียงพวกเขาสองสามีภรรยา เจินเมี่ยวเป็นฮูหยินผู้ดูแลจวนกั๋วกงในอนาคต การนำเถียนเสวี่ยไปเปรียบกับเจินเมี่ยวนั้นทำให้รู้สึกว่านางเถียนใฝ่สูงเกินไปแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางเถียนคราหนึ่ง “ในเมื่อเป็นการทำบุญ คงมิอาจมองที่จำนวนเงินแต่ดูที่กำลังทรัพย์ของแต่ละคนมากกว่า หลานสะใภ้สามบริจาคถึงยี่สิบตำลึงนั้นนับว่าไม่น้อยแล้ว ไหนเลยต้องถึงกับเอาของรับขวัญที่แม่สามีมอบให้ไปบริจาค”
ริมฝีปากนางเถียนสั่นระริกคราหนึ่งแล้วเอ่ยรับคำอย่างขอไปทีคราหนึ่ง
เจินเมี่ยวปรบมือคราหนึ่ง “ท่านย่าพูดถูกที่สุดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบบันทึกรายการบริจาคเงินขึ้นมาดู เมื่อสายตากวาดผ่านชื่อหูอี๋เหนียงไปก็หยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ครั้งนี้หูอี๋เหนียงบริจาคถึงสองร้อยตำลึง นับว่าใจบุญยิ่งนัก”
พูดถึงตรงนี้ก็วางบันทึกนั้นลงแล้วหันไปเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “หลานสะใภ้ใหญ่ อาสะใภ้สี่เจ้าท้องโตมากแล้ว เกรงว่าคงไม่มีกำลังมาดูแลเรือนตนนัก เรื่องของเจ้าหก เจ้าผู้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยดูแลเขาให้มากสักหน่อยแล้วกัน”
“หลานสะใภ้ทราบแล้ว ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ”
ผ่านไปอีกไม่นานก็มาถึงวันสุดท้ายของปี ทุกคนจึงมารวมตัวเพื่อกินอาหารเย็นด้วยกันที่ห้องโถง โดยจัดโต๊ะไว้สองโต๊ะและกินข้าวด้วยกันอย่างสนุกครึกครื้นอยู่เป็นนานจึงแยกย้ายกลับเรือน
หูอี๋เหนียงจ้องมองอาหารเลิศรสบนโต๊ะอยู่เช่นนั้นแต่กลับไม่รู้สึกอยากกินเลยสักนิด
ทั้งที่ได้ยินว่าวันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าชมตั้งมากมาย เหตุใดอาหารค่ำในคืนสุดท้ายของปีนางจึงยังคงต้องกินคนเดียวเช่นนี้อยู่อีกเล่า
ปกติแล้วในเป่าหลิงนั้นเมื่อถึงงานเลี้ยงฉลองค่ำคืนสุดท้ายของปีก็จะจัดโต๊ะอาหารให้กับอนุหนึ่งโต๊ะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนุที่มีบุตรเช่นนางเลย
แต่ตอนนี้ ขณะนี้ นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะอยู่ด้วยกันกับบุตรชายตนด้วยซ้ำ
หูอี๋เหนียงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ยินยอมจึงเอ่ยถามแม่นมคนสนิทว่า “หลายวันก่อนที่ข้าเขียนจดหมายถึงฉีเกอ เขาตอบกลับมาแล้วหรือไม่”
แม่นมคนสนิทจึงเอ่ยว่า “เกรงว่าคงล่าช้าเพราะพายุหิมะเจ้าค่ะ”
“สิ้นปีแล้ว ไม่รู้ว่าฉีเกออยู่ที่เป่าหลิงคนเดียวนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แม่นม เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา ฉีเกอก็เริ่มทำตัวห่างเหินกับข้าเล่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ คุณชายรองเชื่อฟังท่านที่สุดมาตั้งแต่เยาว์วัย”
หูอี๋เหนียงสบายใจขึ้นเล็กน้อยจึงเอ่ยถามอีกว่า “ท่านพี่เล่า งานเลี้ยงฉลองวันสิ้นปีน่าจะเลิกแล้วกระมัง”
แม่นมคนสนิทลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “งานเลี้ยงเลิกแล้วเจ้าค่ะ เห็นว่าจะพาคุณชายหกและคุณชายเจ็ดไป ‘เฝ้าปี’ [1] …..”
หูอี๋เหนียงกำผ้าเช็ดหน้าแน่น นางโกรธจนหายใจหอบ “นี่ไหนเลยจะเป็นชีวิตที่คนต้องการกัน!”
นางพูดแล้วพลางกุมท้องตน “ตั้งแต่นางชีตั้งครรภ์ ท่านพี่ก็ให้ข้าคอยปรนนิบัติอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ทราบเหตุใดจึงมิตั้งครรภ์เสียที”
“ไท่ไท่อายุยัน้อย ไม่ช้าไม่นานต้องมีแน่เจ้าค่ะ”
“อืม” หูอี๋เหนียงนึกถึงนายท่านสี่ที่แม้จะทำตามกฎธรรมเนียมต่างๆ อย่างเคร่งครัด แต่ยามอยู่กับนางก็ยังอ่อนโยนเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน ดูท่าใจเขาคงยังมีนางอยู่เช่นเดิม
นางหยิบถุงหอมออกมาเล่น แม่นมคนสนิทจึงเอ่ยว่า “ไท่ไท่ แม้ก่อนหน้านี้นายท่านจะกำชับให้คนในเรือนเราออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อย แต่กับใส่ใจท่านยิ่ง มิต้องพูดเรื่องอื่น ดูจากถุงหอมนี้เถิด มันมิได้ถูกส่งมาจากส่วนกลาง แต่นายท่านเป็นคนซื้อมาให้ด้วยตนเอง”
หูอี๋เหนียงยิ้ม “เขาก็ดีตรงจุดนี้แล ใช่แล้ว รอให้ล่วงถึงปีใหม่ให้ส่งคนกลุ่มหนึ่งกลับไปรับฉีเกอและแม่นมจังที่ดูแลเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กมาด้วย
เมื่อเดือนแรกของปีมาถึง ผู้คนต่างก็ยุ่งกับการงานของตน กระทั่งถึงปลายเดือน นางชีและเยียนเหนียงกลับปวดท้องคลอดพร้อมกัน
จวนกั๋วกงได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้นานแล้ว นางชีและเยียนเหนียงต่างมีหมอตำแยคอยดูแลถึงสองคน และผู้ช่วยหมอตำแยอีกสี่คน ทุกอย่างดำเนินไปกระทั่งฟ้ามืด นางชีนั้นคลอดบุตรสาวออกมาก่อน
นายท่านสี่สกุลหลัวมีบุตรชายสองคนแล้ว เมื่อได้บุตรสาวคนโตจึงดีใจยิ้มไม่หุบ
เยียนเหนียงรูปร่างผอมบางทั้งยังเป็นการคลอดบุตรครั้งแรก การทำคลอดจึงลำบากอยู่สักหน่อย กระทั่งวันที่สองนางจึงคลอดบุตรชายออกมา
หลานชายคน หลานสาวคน ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจยกใหญ่จึงตกรางวัลก้อนโตให้กับหมอตำแยและผู้ช่วย
ทว่าเมื่อผ่านไปอีกสองวัน กลับมีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงานด้วยความแตกตื่น “ฮูหยินผู้เฒ่าแย่แล้ว ฮูหยินสี่ตกเลือดหลังคลอดเจ้าค่ะ”
——
[1] เฝ้าปี หรือในภาษาจีนคือโส่วซุ่ย (守岁)คือการเฝ้าปีเก่าล่วงไปจนถึงปีใหม่ ในสมัยโบราณคน ‘เฝ้าปี’ จะมีการจุดไฟไว้ในที่ต่างๆ ในบ้านเพื่อให้เกิดแสงสว่างไปทั่วบ้าน แล้วทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อรอต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึง