ชิงสุ่ยไม่รู้สึกประหลาดใจเลยที่เห็นจดหมายฉบับนี้เขาดึงจดหมายออกมาและทำลายมันอย่างง่าย ชิงสุ่ยไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลหยวน แต่อย่างไรก็ตามทายาทของตระกูลหยวนเองก็เคยเสียชีวิตกลางงานเลี้ยงครบรอบของชิงซิ่ว แน่นอนว่าถ้าหากปัญหาบานปลายทุกอย่างก็คงจะร้ายแรง แต่มันก็ถูกแก้ไขโดยชิงสุ่ย
โชคดีที่ชิงสุ่ยนั้นแข็งแกร่งแม้แต่ตระกูลหยวนที่ทรงพลังก็ยังไม่กล้าประกาศกร้าวเลยความสัมพันธ์กับชิงสุ่ย เพราะมันตระหนักดีถึงข่าวคราวเรื่องราวของสุ่ยหยุนเฟิง จ้าวแห่งถ้ำวารีจันทราที่เพิ่งเดินทางไปเยือนพระราชวังหมาป่ามังกร
จดหมายฉบับนี้เขียนข้อความในทำนองว่าพวกเขานั้นหาข้อพิสูจน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้วซึ่งชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้อะไรมาก เพราะเขาก็เชื่อว่าตระกูลหยวนเองก็เป็นเหยื่อจากเหตุการณ์นั้น
ชิงสุ่ยยังเชื่ออีกว่าถ้ำคลื่นจันทราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนั้นตัวของชิงสุ่ยได้เข้าไปมีปัญหากับฮวงหวู่แห่งถ้ำคลื่นจันทราในการตามล่าพยัคฆ์ราชสีห์นรก ผลสุดท้ายคือเขาบาดเจ็บ เขาได้รับข้อมูลมาว่าถ้ำคลื่นจันทรานั้นไม่ได้เป็นศัตรูกับตระกูลหยวน แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตรสหายกัน พวกเขาเองก็ยังมีการขัดแย้งกันบ้าง มันเป็นปัญหาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ และด้วยสถานะในปัจจุบันของทั้งสองฝ่าย มันจึงอยู่ในสภาวะก้ำกึ่ง
ทุกอย่างเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงชิงสุ่ยไม่กล้าจะไปไหนหรือลงมือทำอะไรเพราะปัญหาที่ใกล้จะตามมา แต่ถ้าหากเขาต้องการจากไปเพียงแค่เขาปล่อยสัตว์อสูรไม่ว่าจะเป็น วิหคอัคคีทมิฬ มังกรไอยราเกล็ดทองคำ อสูรสยบมังกร เพื่อทิ้งเอาไว้กับตระกูล แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไปไหนมาไหนได้สะดวก
แม้ว่าปลายทางหากเกิดปัญหาเขาก็ได้เตรียมแผนการทั้งหมดเอาไว้แต่ในเวลานี้ตัวของชิงสุ่ยเองก็ยังไม่ได้คิดออกเดินทางไปไหน ชิงสุ่ยปล่อยให้อสูรของเขาพัฒนาความแข็งแกร่ง เพื่อผลลัพธ์ที่แน่นอน
อสูรนรกรัตติกาลในตอนนี้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นมันทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง
ในแง่ของขนาดตัวของมันเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ร่างกายของมันทอแสงประกายสีเงินเหมือนโคมไฟ ในขณะที่หัวและแขนเป็นสีดำสนิท และมีประกายแสงสีดำเคลือบโดยรอบ
เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนแล้วตอนนี้มันเหมือนภูเขาเล็กๆแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความยืดหยุ่น เทียบในแง่ของความเร็วมันยังคงพ่ายแพ้ให้กับอสูรสยบมังกร แต่ถ้าหากเทียบในแง่ของพลังป้องกันแล้ว มันแข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน
แม้ว่าตัวของอสูรสยบมังกรจะหนักขึ้นหลายเท่าแต่มันกลับคล่องตัวมากกว่าเดิม
ชิงสุ่ยใช้ทักษะเบิกเนตรสวรรค์เพื่อตรวจสอบอสูรสยบมังกร
ทักษะแหลมคม: กระตุ้นพลังคุกคามคู่ต่อสู้ ขยายขนาดของกรงเล็บและเสริมความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย
ทักษะความว่องไว: กระตุ้นคลื่นพลังทั่วร่างกายส่งผลให้มีความเร็วเพิ่มขึ้นทันที 20 เท่า
เกราะวชิระ: ขยายขอบเขตความต้านทาน แปรเปลี่ยนคำว่ากำลังเข้าสู่การป้องกัน สามารถลดพลังที่โจมตีเข้ามา 80 ส่วน และเพิ่มความอึด และทนทานอีก 50 เท่า
พลังสัตย์ถวายชีพ: รับการโจมตีแทนเจ้านายโดยที่การโจมตีไร้ผล 2 ครั้ง ตราบใดที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันจะยังคงซื่อสัตย์อย่างโง่เขลาไม่มีวันเสื่อมสลาย แม้ว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยแต่รวมพลังทั้งหมดแล้วก็ถือว่าเป็นพลังที่น่าเกรงขาม เหมาะสมต่อการโจมตีระยะประชิด
ปัจจุบันชิงสุ่ยมีความแข็งแกร่งเข้าใกล้22,000 เต๋า ร่างกายของเขาจึงแข็งแรงกว่าเจ้าอสูรสยบมังกร และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังป้องกันของมัน
ช่างน่าเสียดายที่มันไม่สามารถอยู่ห่างจากชิงสุ่ยได้เพราะพลังสัตว์ถวายชีพมิฉะนั้นชิงสุ่ยคงสบายใจกว่านี้ ถ้าหากปล่อยให้เจ้าอสูรสยบมังกรกลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของพระราชวังอาทิตย์อัสดง
ในเมื่อปัจจุบันปัญหายังไม่มารังควานเขาเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสอนทักษะเหล่าบริวารหญิงสาวทั้งหมด ตราบใดที่พวกเธอสามารถใช้ย่างก้าวเก้าเทวาในระดับสูงเทียบเท่าระดับชิงสุ่ยได้ เขาก็จะคลายกังวล เพราะก่อให้เกิดอันตรายพวกนางก็จะสามารถหนีได้ทันที แน่นอนว่าหญิงสาวใช้ชีวิตร่วมกับเขานั้นเหมือนเป็นอัจฉริยะที่ลงมาจากสวรรค์พวกนางจึงมีความสามารถในการเรียนรู้ที่เร็วกว่ามนุษย์ปกติ โดยเฉพาะทันทีที่ร่างรูปแบบการเคลื่อนที่ ลักษณะการเคลื่อนไหวของเท้าก็โดดเด่นจนหาใครเปรียบยาก
ณปัจจุบันอีเย่เจี้ยนเก้อเธอเป็นคนที่พัฒนารูปแบบเกือบสมบูรณ์แบบ หากใช้เวลาอีกหน่อยการย่างก้าวของเธอก็ไร้ที่ติ ปัญหาเดียวคือเธอขาดประสบการณ์ ชิงสุ่ยจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกฝนพร้อมกับเธอเหมือนกับกำลังต่อสู้จริง ในเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ เขาก็ลังเลที่จะลงมือ เพราะว่าการฝึกซ้อมมิใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย แม้ว่าถ้าหากเขาลงมือจริงๆมันอาจจะกระตุ้นศักยภาพความสามารถของเธอขึ้นอีกขั้น