บทที่ 1481 ร่างแยก

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

ร่างแยกของฟางหยวนก้าวข้ามภัยพิบัติและกลายเป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งกาลเวลา ขณะที่ร่างหลักของเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่สามารถบ่มเพาะได้ทุกเส้นทาง

 

การมีร่างแยกจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อฟางหยวนอย่างแน่นอน

 

ตัวอย่างเช่นฟางหยวนอาจปล่อยให้ร่างแยกจัดการดูแลมิติช่องว่างจักรพรรดิแทนเขา

 

ตัวเขาเองย่อมมีประโยชน์และเชื่อถือได้มากกว่าสมาชิกนิกายเงาอย่างไม่ต้องสงสัย

 

หลังจากทั้งหมดพวกเขาเป็นคนๆเดียวกันตั้งแต่เริ่มต้น ความคิดและเจตจำนงของพวกเขาเหมือนกันทั้งหมด มันจะไม่เกิดความขัดแย้งใดๆ เมื่อพวกเขาสื่อสารกัน จะไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย

 

เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของนิกายเงา มันไม่ยากที่จะจินตนาการถึงประโยชน์ของร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ

 

สมาชิกของนิกายเงาไม่กลัวการเสียสละ นั่นเป็นเพราะพวกเขาคือคนๆเดียวกันตั้งแต่แรก

 

ฟางหยวนจ่ายด้วยราคามหาศาลเพื่อทำให้ร่างเดิมของเขากลายเป็นผู้อมตะระดับหก

 

อันดับแรกการอนุมานต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก การหลอมรวมคู่ขนานวิญญาณกาลเวลายังใช้ทรัพยากรอมตะจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อมันประสบความสำเร็จ ฟางหยวนยังต้องฝึกฝน แม้นั่นจะไม่สำคัญนักแต่มันยังใช้เงินทุน

 

ด้วยการแยกวิญญาณ รากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของฟางหยวนจึงร่วงหล่นลง

 

ฟางหยวนต้องรวบรวมรากฐานบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง

 

ร่างแยกของฟางหยวนเป็นกึ่งปีศาจต่างโลก เนื่องจากร่างกายของเขามีต้นกำเนิดจากโลกใบนี้ มันถูกจำกัดโดยโชคชะตา ฟางหยวนไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก

 

เว้นเพียงเขาจะเลียนแบบนิกายเงาและหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะขึ้นมาอีกครั้ง แต่นิกายเงาใช้เวลาหนึ่งแสนปีเพื่อหลอมรวมสิ่งนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสร้างวิญญาณทารกอมตะขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง

 

วันต่อมาร่างหลักของฟางหยวนสามารถพักผ่อนขณะที่ร่างแยกของเขาใช้ค่ายกลวิญญาณชำระล้างตัวเองเพื่อกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ไม่พึงประสงค์ออกไป

 

เดิมทีฟางหยวนก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะในฐานะผู้อมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง หลังจากกลายเป็นผีดิบอมตะและมิติช่องว่างแตกสลาย ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งที่ถูกทิ้งไว้ย้ายไปอยู่บนร่างกายของเขา

 

ฟางหยวนตัดสินใจกำจัดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งทั้งหมดออกไป

 

ร่างแยกของเขาไม่เหมือนร่างทารกอมตะ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกันจะเกิดการต่อต้านกัน หลังจากพิจารณาอย่างรอบอคอบ ฟางหยวนต้องการให้ร่างแยกบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาอย่างเต็มที่

 

ก่อนหน้านี้ฟางหยวนเคยคิดที่จะบ่มเพาะบนเส้นทางสองสายคือความแข็งแกร่งและกาลเวลา

 

แต่ตอนนี้เขามีร่างทารกอมตะและสามารถบ่มเพาะได้ทุกเส้นทาง ขณะที่ร่างแยกเป็นเพียงส่วนสนับสนุนเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้แผนการสร้างมิติช่องว่างที่สองจึงถูกยกเลิกไปเช่นกัน

 

มิติช่องว่างสองช่องไม่มีประโยชน์สำหรับฟางหยวนในเวลานี้

 

แทนที่จะพัฒนามิติช่องว่างเหล่านั้น เขาเลือกที่จะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดกับมิติช่องว่างจักรพรรดิ

 

‘บางทีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการมีมิติช่องว่างที่สองก็คือการครอบครองวิญญาณหลักดวงที่สอง’ ฟางหยวนคิด

 

ข้อดีของวิญญาณหลักก็คือมันจะไม่ถูกทำลายหากการหลอมรวมล้มเหลว

 

ชีวิตของวิญญาณหลักเชื่อมโยงกับชีวิตของผู้อมตะ

 

หากผู้อมตะตาย วิญญาณหลักของพวกเขาจะตายไปพร้อมกัน

 

ปัจจุบันฟางหยวนไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ข้อได้เปรียบของวิญญาณหลัก

 

ท่ามกลางวิญญาณทั้งหมด วิญญาณกาลเวลาเป็นวิญญาณหลักเพียงดวงเดียวของเขา

 

ด้ายการคงอยู่ของร่างแยก มันจะรับประกันชีวิตของวิญญาณกาลเวลา วิญญาณดวงนี้จะไม่ถูกทำลายหากการยกระดับล้มเหลวในอนาคต

 

“ตื่นแล้วงั้นหรือ?” ฟางหยวนมองผมที่หก

 

ผมที่หกเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ เขายังรู้สึกอ่อนเพลีย หลังจากเห็นฟางหยวน เขาเร่งถาม “ท่านผู้นำ การหลอมรวมประสบความสำเร็จหรือไม่?”

 

“แน่นอน” ฟางหยวนพยักหน้า

 

“ยอดเยี่ยม” ผมที่หกยิ้มและกล่าว “นั่นหมายความว่าการหลอมรวมวิญญาณรอบที่สองของพวกเราสมบูรณ์แบบแล้ว”

 

การหลอมรวมรอบแรกของฟางหยวนคือการหลอมรวมวิญญาณล้างใจ วิญญาณรักตัวเอง และวิญญาณอาหารว่าง การหลอมรวมรอบที่สองคือการหลอมรวมวิญญาณความลับสวรรค์ และวิญญาณกาลเวลา

 

ฟางหยวนจ่ายราคามหาศาลเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะเหล่านี้ โดยรวมถือว่าโชคของเขาดีมาก บางคนหลอมรวมมากกว่าร้อยครั้งก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

 

แน่นอนว่าวิธีการบนเส้นทางแห่งโชคช่วยฟางหยวนได้มาก ในทางกลับกันนิกายหลางหยาก็มีบทบาทสำคัญ หากไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและผมที่หกช่วยหลอมรวมพวกมัน ฟางหยวนจะได้รับวิญญาณอมตะเหล่านี้มาโดยง่ายได้อย่างไร

 

“รอยสักรูปอสรพิษสีแดงบนร่างของเจ้าคือสิ่งใด?” ฟางหยวนถาม

 

“นี่…มันไม่ใช่สิ่งใด” ผมที่หกกระพริบตา

 

“ขณะที่เจ้าหมดสติ ข้าตรวจสอบมันแล้ว ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมนี้ดูเหมือนจะใช้พลังชีวิตของเจ้าเป็นเชื่อเพลิงเพื่อเพิ่มความสามารถบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมให้เจ้า หากข้าจำไม่ผิด เมื่อรอยสักรูปอสรพิษแดงเคลื่อนที่ไปถึงศีรษะ เจ้าจะตาย” ฟางหยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

 

ผมที่หกเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเปิดปากกล่าว “ท่านผู้นำกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ชีวิตของข้าไม่สำคัญ ข้าเพียงหวังว่าท่านจะสามารถบุกวังสวรรค์และช่วยร่างหลักของข้า”

 

“วังสวรรค์…” ฟางหยวนถอนหายใจและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ผมที่หกกล่าวเสริม “ท่านผู้นำอย่าได้ท้อแท้ ศัตรูแข็งแกร่ง แต่ท่านได้รับวิญญาณกาลเวลาแล้ว หลังจากนี้ท่านจะได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง มรดกของเขาน่าจะมีวิธีกเอาชนะวังสวรรค์ หลังจากทั้งหมดเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่วังสวรรค์เคยเลือกไว้”

 

ฟางหยวนพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายของผมที่หก มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะหยุดวังสวรรค์จากการฟื้นฟูวิญญาณชะตากรรมภายในเวลาสิบปี แต่มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย

 

เนื่องจากวิญญาณกาลเวลากลายเป็นของฟางหยวนโดยสมบูรณ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปในแผนการของเขาก็คือการค้นหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง

 

แต่ฟางหยวนส่ายศีรษะ “ข้ายังไม่รีบร้อนค้นหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง วังสวรรค์จะไม่อนุญาตให้ข้าได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงโดยง่าย พวกเขาต้องวางกับดักไว้ในสายธารแห่งกาลเวลา ตอนนี้ข้าต้องเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นอันดับแรก”

 

แม้วังสวรรค์จะไม่พบฟางหยวน แต่พวกเขารู้ว่าวันหนึ่งฟางหยวนจะไปที่สายธารแห่งกาลเวลาเพื่อตามหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง

 

โดยไม่จำเป็นต้องคิดมาก วังสวรรค์ต้องซุ่มโจมตีเขาอย่างแน่นอน

 

เขาต้องมีพลังการต่อสู้มากพอที่จะต่อต้านการซุ่มโจมตีของวังสวรรค์

 

“บอกข้าทุกสิ่งเกี่ยวกับท่าไม้ตายอสรพิษแดงของเจ้า ข้าจะช่วยแก้ปัญหาให้เจ้า”

 

“ผมที่หก อย่าเสียสละตัวเองโดยไม่จำเป็น ในอนาคตข้าต้องการให้เจ้าควบคุมนิกายหยางหลา”

 

หัวใจของผมที่หกเต้นแรง เขามีความคิดแบบเดียวกัน แม้เขาจะไม่สามารถแก้ปัญหา แต่มันไม่ได้หมายความว่าฟางหยวนไม่สามารถ

 

โดยเฉพาะเมื่อเขามีแสงแห่งปัญญา

 

หลังจากเก็บร่างแยกไว้ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ฟางหยวนกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาพร้อมผมที่หก

 

พวกเขาอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา ดังนั้นฟางหยวนกับผมที่หกจึงไม่สามารถพูดคุยและทำได้เพียงแยกย้ายกันไปเท่านั้น

 

ฟางหยวนไม่ได้กลับไปที่เมืองเมฆาแต่ไปหาวิญญาณสติปัญญา

 

เขานำร่างแยกออกมา

 

ร่างแยกของเขาเป็นร่างที่มีชีวิต แน่นอนว่าวิญญาณสติปัญญาไม่ตอบสนอง

 

แต่ไม่นานหลังจากร่างแยกกลายเป็นผีดิบอมตะอีกครั้ง วิญญาณสติปัญญาก็บินไปรอบตัวเขาด้วยความไม่แน่ใจ

 

หัวใจของฟางหยวนเต้นแรง

 

หลังจากบินวนอยู่หลายรอบ มันก็ยังไม่ปล่อยแสงแห่งปัญญาออกมา

 

ร่างแยกของฟางหยวนกล่าว “โอ้ วิญญาณสติปัญญา ข้าทำข้อตกลงกับเจ้า แต่เจ้ากลับลืมข้อตกลงของเรางั้นหรือ?”

 

วิญญาณสติปัญญาลอยอยู่ด้านหน้าร่างแยกของฟางหยวนและกำลังประเมินเขา

 

หลังจากชั่วครู่มันก็บินกลับไปที่ต้นไม้และปล่อยแสงแห่งปัญญาออกมา

 

ในที่สุดฟางหยวนก็สามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

วิญญาณสติปัญญาเกือบจะไม่ยอมรับตัวตนของฟางหยวน มันช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะรู้สึกกังวล

 

‘ข้ากลายเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาขณะที่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางความแข็งแกร่งถูกลบออกไป นี่ทำให้วิญญาณสติปัญญาลังเลใจ’

 

‘ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ข้าก็ต้องระวังในอนาคต แม้ระดับการบ่มเพาะของร่างแยกจะหยุดนิ่ง ข้าก็จำเป็นต้องปล่อยมันไป ข้าไม่สามารถสูญเสียแสงแห่งปัญญา!’

 

การแสดงออกของฟางหยวนค่อนข้างมืดมน วิญญาณสติปัญญาในตำนานมนุษย์คนแรกฉลาดมาก มันสามารถหลอกลวงมนุษย์คนแรกได้หลายครั้ง แต่เหตุใดวิญญาณสติปัญญาดวงนี้ถึงโง่นัก มันไม่ได้แสดงความเฉลียวฉลาดในฐานะวิญญาณสติปัญญาออกมาแม้แต่น้อย

 

หรืออาจเป็นเพราะเรื่องราวในตำนานมีเบื้องหลังหรือเหตุผลอื่นซ่อนอยู่?