ส่วนที่ 4 ตอนที่ 54 เถียนเซียงจื่อ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

“ซีถง เจ้าก็เป็นชายชาตรีคนหนึ่ง เหตุใดจึงต้องพูดเหลวไหลต่อหน้าผู้ที่สามารถฟังเข้าใจได้ หากเป็นก่อนหน้านี้ ข้าเพียงแต่สงสัย แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจได้เลยว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น ความลับทั้งหมดก็อยู่ที่ศีรษะของคนคนนี้ เขาบอกอะไรหลายสิ่งหลายอย่างให้ข้ารู้ เจ้ายังคิดจะโกหกอีกหรือ” สำหรับเรื่องที่ถูกซีถงหลอกลวงทำให้อวิ๋นเยียค่อนข้างเสียใจ เขาเคยมีความใฝ่ฝันที่งดงามที่สุด นึกว่าตนเองได้เจอจอมยุทธ์ที่ใจกว้างตัวจริง ใครจะรู้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดงเท่านั้นเอง

 

 

หลังจากความเศร้าหมดไป ก็ตามติดมาด้วยความโกรธ ถ้าจะดูละคร จำเป็นที่จะต้องดูการแสดงของเจ้าด้วยหรือ ในยุคปัจจุบันมีนักแสดงมากมายเท่าไรที่แสดงได้ดีและสมจริงกว่าเจ้า ในต้าถังแห่งนี้ มีเพียงฉันที่ปั้นเรื่องหลอกคนอื่นได้ ถ้าถูกคนอื่นปั้นเรื่องหลอกได้ก็เท่ากับถูกหยามหน้าอย่างมาก

 

 

แม้ว่าในใจไม่อยากยอมรับ แต่ความภาคภูมิใจของผู้ที่ฝ่ามิติเวลามาได้ฝังรากลึกถึงกระดูกเขาตั้งนานแล้ว ดูแล้วเป็นพวกอ่อนนอกแข็งใน สำหรับปมเขื่องที่มีมาแต่กำเนิดเช่นนี้ หลี่ซื่อหมินเห็นว่าเป็นความภาคภูมิใจของศิษย์ของผู้สูงส่ง ได้รวมกันอย่างกลมกลืนเข้ากับฐานะที่อวิ๋นเยี่ยเป็นอยู่พึงมีโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

ซีถงถูกจับมัดไว้ เชือกป่านที่นำมามัดนั้นมีขนาดใหญ่ประมาณนิ้วมือ เมื่อมองดูท่าทีที่เฉยเมยของเขา อวิ๋นเยี่ยก็หยิบเชือกหนังวัวเส้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ให้ทหารองครักษ์คลายเชือกของเขา แล้วใช้เชือกหนังวัวผูกนิ้วหัวแม่มือทั้งสองของเขาเท่านั้น หลังจากที่ซีถงแอบเดินลมปราณ เขาก็พบว่าทำอะไรไม่ได้ สองมือไร้เรี่ยวแรง ไม่ว่าอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด ในเวลานี้ สีหน้าเริ่มแสดงออกถึงความตื่นตระหนก

 

 

“อวิ๋นโหว ข้ามีเพียงความหวังดี เดินทางไกลนับพันลี้เพื่อส่งมอบศีรษะศัตรูให้เจ้า เหตุใดจึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้”

 

 

ซีถง ข้าหวังว่าชื่อของเจ้าจะเป็นชื่อจริง ไม่ใช่ตั้งขึ้นเพื่อหลอกลวงข้า เช่นนี้ในใจข้าอาจจะรู้สึกดีขึ้นหน่อย บอกข้ามาว่าพวกเจ้าอยากรู้อะไรกันแน่ ถ้าข้ารู้ก็จะบอกเจ้าแน่นอน แต่เจ้าอย่าได้ฝันว่าจะก้าวขาออกจากค่ายทหารแม้เพียงก้าวเดียว”

 

 

หลี่จิ้งนั่งหัวเราะหึๆ อยู่ที่ตำแหน่งสั่งการของแม่ทัพใหญ่ ดูการประลองฝีปากกันของอวิ๋นเยี่ยและซีถง อวิ๋นเยี่ยถึงกับโกรธเชียวหรือนี่ หลี่จิ้งนั่งดูอยู่ด้านข้างอย่างสนุกสนาน

 

 

“ข้าเผยข้อผิดพลาดตรงไหนกัน” ในสายตาที่ขุ่นเคืองของอวิ๋นเยี่ย อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นชายอกสามศอกคนหนึ่ง เลิกแก้ตัวเรื่อยเปื่อยที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

 

 

“ในตอนแรกข้าคิดว่าเจ้ามาเยี่ยมข้า ในใจเต็มไปด้วยความสุข การได้พบคนรู้จักเก่าในต่างแดนช่างทำให้มีความสุขเพียงใด หากไม่มีศีรษะนี้ข้าก็ไม่ได้พบอะไรเลย เพียงแค่คิดว่ามันเป็นการเจอกันโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยใช้สายตาที่เคลือบแคลงสงสัยมองดูสหาย เพราะเมื่อเกิดความเคลือบแคลงสงสัยก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้แล้ว แต่เจ้านำศีรษะคนมา ทั้งยังเป็นศีรษะที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร ศีรษะนี้เป็นของเยี่ยถัวจริงๆ ไม่ใช่ศีรษะคนอื่นที่นำมาแทน ข้าเป็นเพียงโหวเหยียตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่ฉินสื่อฮ่องเต้ จำเป็นต้องทุ่มเทวางแผนจัดการข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้เจ้าอยากจจะจัดการข้าจริงก็ควรเตรียมพร้อมให้มากกว่านี้ อย่าให้ข้าเห็นช่องโหว่ แม้ว่าจะต้องเป็นคนโง่ที่ถูกหลอก ข้าก็ไม่ต้องการถูกสหายหลอก นี่เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่สะอาดที่สุดในใจข้า ถ้าหากเจ้าต้องการจะทำให้มันสกปรกให้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็คือศัตรูของข้า”

 

 

โทสะที่รุนแรงของอวิ๋นเยี่ยกลับทำให้ซีถงสงบลง เขาถามทีละคำทีละประโยค “เจ้ามองออกจากจุดไหน”

 

 

“เจ้าฆ่าคนมานานหลายปี หรือเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นว่าศีรษะที่ถูกตัดออกจากร่างของคนที่ตายแล้วกับศีรษะที่ถูกตัดออกจากร่างที่ยังมีชีวิตอยู่มันแตกต่างกันมาก”

 

 

“เจ้าหนุ่ม รีบพูดมา มันแตกต่างกันอย่างไร” คราวนี้ผู้ที่ถามคือหลี่จิ้ง มือซ้ายเขาถือขาแกะไว้ มือขวาจับศีรษะของเยี่ยถัวไว้มองไปมา ดูเหมือนมีความใคร่รู้เป็นอย่างมาก

 

 

“ศีรษะมนุษย์ที่ถูกตัดออกจากคอของคนที่มีชีวิตกล้ามเนื้อจะหดตัว ไม่ว่าดาบจะเร็วเพียงใด ก็ไม่สามารถตัดให้เกิดรอยขาดที่เรียบกริบเช่นนี้ได้ มีแต่การตัดจากคอของคนตายแล้วเท่านั้นจึงจะมีรอยขาดที่เรียบกริบเช่นนี้ได้ ซีถง เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือ เจ้าอาจจะลืมไป ข้าเป็นหมอที่ใช้การได้คนหนึ่ง เยี่ยถัวมีอายุขัยเหลือไม่ถึงสองเดือน เจ้าคิดว่าข้าจะดูไม่ออกหรือ หรือว่าพวกเจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่จริงๆ “

 

 

หลี่จิ้งเคี้ยวเนื้อแกะ ดูที่คอของคนตายไปพลาง พยักหน้าไม่หยุดไปพลาง คนที่ไม่รู้จะเข้าใจว่าเขากำลังกัดกินศีรษะคน

 

 

“พวกข้าคือตระกูลลับ ตั้งแต่วันที่สามที่เจ้าบอกสถานที่แห่งนั้นให้แก่พวกเรา ก็มีคนสี่สิบคนออกเดินทางไปสำรวจเส้นทางล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้ผ่านไปสามเดือนแล้วแต่ไม่มีใครกลับมาอีกเลย มีแต่อินทรีเท่านั้นที่นำจดหมายกลับมา พวกเราอ่านเนื้อหาในนั้นไม่เข้าใจ ต้องการให้เจ้าอธิบายให้ฟัง ความแข็งแกร่งของตระกูลลับนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถจินตนาการได้ หากเจ้าไม่ต้องการให้คนในครอบครัวเกิดเรื่อง ก็จงบอกข้าว่าหมีขาวคืออะไร” ซีถงมองผู้คนในกระโจมอย่างเย็นชา

 

 

หลี่จิ้งโบกมือให้องครักษ์ถอยออกไป ในกระโจมจึงเหลือเพียงสามคน

 

 

อวิ๋นเยี่ยถอยกลับไปนั่งลงข้างๆ ท่อนไม้ที่เป็นที่นั่ง ยิ้มพลางพูดว่า “นับตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าหากคนครอบครัวข้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น รวมถึงการหกล้มระหว่างทางโดยบังเอิญ ข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้า เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่ให้ใครมาข่มขู่ง่ายๆ เพียงแค่มีเรื่องที่เกินกว่าที่ข้าจะอภัยให้ได้เกิดขึ้น การแก้แค้นที่พวกเจ้าจะได้รับ รับรองว่าจะต้องโหดร้ายชนิดที่พวกเจ้าแม้ฝันก็ไม่เคยฝันถึงเลยทีเดียว”

 

 

คำพูดนั้นพูดพลางหัวเราะ แต่หลี่จิ้งกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นชาจากข้างใน ซีถงหรี่ตาจนเหลือเล็กเหมือนเส้นด้าย พูดว่า “เจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราอยู่ที่ไหน แล้วจะแก้แค้นอย่างไร”

 

 

“ไม่มีความลับนิรันดร์ในใต้หล้านี้ มีคนรู้ ต้องมีคนรู้อย่างแน่นอน ในใต้หล้านี้ยังมีตระกูลที่เก็บตัวอยู่อีกมากมาย ข้าจะถามทีละตระกูลๆ จนกว่าจะถามจนได้ความ”

 

 

ดูเหมือนว่าอวิ๋นเยี่ยจะหมดความสนใจในตัวซีถงแล้ว หันหลังแล้วกำลังจะออกไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็พูดกับซีถงอีกว่า “อย่าคิดว่าพวกเจ้านั้นแข็งแกร่ง พวกเจ้ายังไม่เคยเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าความแข็งแกร่ง ข้าจะรอให้พวกเจ้ามาทำร้ายคนในครอบครัวข้า ขอเพียงแค่มีการบาดเจ็บ ข้าจะขยายความเสียหายคืนกลับไปหาพวกเจ้านับพันเท่า”

 

 

“เดี๋ยวก่อน บอกข้าที หมีขาวคืออะไร อะไรคือปลาคุน[1] ที่นั่นมีของพวกนี้จริงๆ หรือ ขอเพียงเจ้าบอกข้า ข้าซีถงขอสาบานด้วยเกียรติของบรรพบุรุษเลยว่าจะไม่ยุ่งกับคนในครอบครัวของเจ้าอย่างเด็ดขาด”

 

 

หลี่จิ้งนั่งเอามือเท้าคางอยู่ที่โต๊ะ ชมดูอย่างคึกคักมาก

 

 

“หมีขาวเรียกอีกอย่างว่าหมีขั้วโลกเหนือ ทั้งตัวของพวกมันจะปกคลุมด้วยขนสีขาว พวกมันดุร้ายกว่าหมีทั่วไป ตัวหนักพันจิน ตัวที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีน้ำหนักมากกว่าสองพันจิน ส่วนปลาคุน หน่วยสำรวจเส้นทางของเจ้าคงเรียกปลาวาฬเป็นปลาคุนแล้ว ได้ยินว่าปลาวาฬตัวที่ใหญ่ที่สุดหนักถึงหลายแสนจิน ตอนนี้เรือที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเราสร้างนั้นยังใหญ่ไม่เท่ามัน ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าไปถึงที่นั่นแล้ว ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ทั้งยังเป็นกลางคืนอยู่ตลอดเวลา สี่สินคนนั้นคงจะกลับมาไม่ได้แล้ว”

 

 

“ฮ่าๆๆ มีก็พอ ที่แท้หมีขาวและปลาคุนเผิงนั้นมีอยู่จริง ดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักก็ควรจะต้องอยู่ในดินแดนรกร้างไม่ใช่หรือ อวิ๋นโหว หนี้น้ำใจนี้ข้าจะจำไว้ ภายหน้าจะต้องตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่” ซีถงพูดจบก็ดูเหมือนจะเกิดอาการบ้าคลั่ง หากไม่เป็นเพราะนิ้วหัวแม่มือของสองมือถูกผูกไว้ คงจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นนานแล้ว

 

 

อวิ๋นเยี่ยมองดูซีถงที่ตกอยู่ในความคลุ้มคลั่งอย่างน่าเวทนา คนเหล่านี้เพื่อให้บรรลุถึงความเป็นอมตะ แม้ความตายก็ไม่เกรงกลัว ไม่รู้จะพูดอะไรดีกับคนจำพวกนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าลัทธิฝ่าหลุนกงในยุคปัจจุบันจะมีตลาดที่กว้างใหญ่เช่นนี้ คนบ้าที่จิตวิปริตเช่นนี้ปล่อยให้พวกเขาไปตายเถอะ ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวของซีกโลกเหนือของแท้จะทำให้พวกเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนในราคาแพง หากบอกว่าครั้งที่แล้วถูกบีบบังคับจนหมดทางเลือก จึงต้องหลอกให้พวกเขาไปขั้วโลกเหนือยังคงทำให้รู้สึกผิดอยู่บ้างละก็ ตอนนี้ในใจไม่มีสิ่งตะขิดตะขวงใจใดๆ อีกต่อไป

 

 

เมื่อออกจากกระโจม หลี่จิ้งพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เช่นนั้นน้องสามของข้าก็ไปยังสถานที่ห่วยแตกนั่นน่ะหรือ”

 

 

“ไม่รู้ ข้าไม่รู้จักน้องสามของเจ้า ใต้หล้านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่น้องสามของเจ้าคนเดียวที่มีหนวดเคราเต็มหน้ากระมัง สถานที่ที่พวกเขาอยากจะไปเป็นที่ที่อันตรายกว่าปกติมาก มันเป็นป่าร้างจริงๆ แต่ว่าที่นั่นก็ยังมีคนอยู่ซึ่งไม่ต่างอะไรกับคนป่าเลย การเอาชีวิตรอดจากปากเหยี่ยวปากกาได้ยังไม่มากพอที่จะนำมาอธิบายถึงอันตรายของสถานที่นั้นได้ ถ้าน้องสามของเจ้าไปจริงๆ ท่านก็สร้างป้ายวิญญาณให้เขาจะดีกว่า” ในเวลานี้ อวิ๋นเยียอยู่ในความรู้สึกที่ย่ำแย่มาก เมื่อคิดถึงว่าซีถงถึงกับเอาชีวิตคนทั้งครอบครัวมาข่มขู่ตัวเอง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นคำถามที่หลี่จิ้งถาม เขาจึงตอบออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิด

 

 

เป็นถึงผู้บัญชาการใหญ่แท้ๆ แต่กลับถูกเพิกเฉย หลี่จิ้งย่อมขายหน้าจนโกรธเป็นธรรมดา จึงตะโกนเสียงดังว่า “ทหาร!” ก็มีองครักษ์วิ่งมารับคำสั่งทันที

 

 

“ตัดหัวของชายที่อยู่ในกระโจมเสียบประจานไว้บนเสาธงให้ข้าเดี๋ยวนี้”

 

 

อวิ๋นเยี่ยรีบห้ามไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามางัดข้อกับชายคนนั้น มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดศีรษะซีถง หากพรรคพวกของเขาไปฉางอันเพื่อล้างแค้น ไม่มีการเตรียมการที่บ้านแม้แต่น้อย ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเสี่ยวยา ตัวเองคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว

 

 

“ผู้บัญชาการใหญ่ พรุ่งนี้พวกเรากลับฉางอันแล้วพาชายคนนี้ไปด้วย อย่างน้อยก็มีตัวประกันอยู่ในมือ สถานะของชายคนนี้คาดว่าคงไม่ต่ำต้อยเป็นแน่ เมื่อถึงเวลาในการเจรจาต่อรอง พวกเราก็ยังถือว่ามีเงินทุนอยู่นิดหน่อยจริงไหม”

 

 

“หากต้องการให้ชายคนนี้มีชีวิตอยู่ ก็บอกข้ามาตามตรงถึงต้นสายปลายเหตุ ห้ามตกหล่น”

 

 

อวิ๋นเยี่ยลืมไปว่าความสามารถครึ่งหนึ่งของหลี่จิ้งมาจากการอบรมสั่งสอนของหานฉินหู่ ซึ่งมีรากฐานมาจากลัทธิเต๋า เมื่อได้ยินเรื่องเล่าประหลาดๆ ที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ มีหรือจะไม่อยากรู้อยากเห็น

 

 

ด้วยความจนปัญญา จึงต้องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตนพบเจอมาให้หลี่จิ้งฟังอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าหลี่จิ้งจะหัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า “ตระกูลที่เจ้าบอกว่าเก็บตัวอยู่นั้นข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง ตั้งแต่เมื่อสมัยราชวงศ์สุยพวกเขาก็ปรากฏตัวต่อสาธารณะชนขึ้นบ่อยครั้ง ในตอนนั้นพวกเขาต่อสู้เพื่อแย่งชิง ‘จูปิ้งหยวนโฮ่วลุ่น’ ตำราเล่มนี้ประพันธ์โดยหมอหลวงแห่งราชวงศ์สุย ว่ากันว่าในตำรานี้บันทึกถึงกลวิธีมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งในการชุบชีวิตคนตายได้ เพื่อตำราเล่มนี้แล้ว ผู้ที่พัวพันทั้งสิ้นมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่าสามร้อยคน ในตอนนั้นข้าได้ถูกสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เมื่อไล่ล่าไปจนถึงเขาไท่สิง พวกเขาก็หายไปอย่างไร้เงื่อนงำ ข้ารู้เพียงว่าชื่อผู้นำของพวกเขาคือเถียนเซียงจื่อ เจ้าเรียกพวกเขาว่าชาวเผ่าเถียนก็ได้ พวกเขาเป็นลูกหลานของตระกูลมั่วในโบราณ ได้ยินว่าพวกเขาทรยศต่อคำสอนของบรรพบุรุษ เห็นเรื่องแรงงานเป็นความอัปยศ เห็นความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่ทรงเกียรติ ซึ่งย้อนแย้งต่อหลักคำสอนของตระกูลมั่ว พวกเขาใช้กลวิธีที่ลึกลับซับซ้อนของตนเองในการแสวงหาความมั่งคั่งและอำนาจ กล่าวกันว่าพวกเขามีความสามารถเสกหินให้เป็นทองคำได้”

 

 

“ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ในใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องแปลกประหลาดที่ว่าเสกหินให้เป็นทองคำได้อยู่หรอก ถึงแม้จะเห็นด้วยตาของตัวเองก็อย่าหลงเชื่อ ดวงตาคนเราบางครั้งก็เกิดการมองที่ผิดพลาดได้ และจะหลอกลวงโดยที่เจ้าเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วย ถ้าหากกลับไปถึงฉางอันแล้วท่านมีเวลาว่าง ข้าจะแสดงความสามารถในการเสกหินให้เป็นทองคำให้ท่านดู ข้าจำได้ว่าเถียนเซียงจื่อเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของตระกูลมั่วไม่ใช่หรือ กลายเป็นคนทรยศตระกูลได้อย่างไรกัน”

 

 

“ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าหากเจ้าอยากรู้ ก็คงได้แต่ถามคนที่อยู่ในกระโจมนั้นเท่านั้น” หลังจากหลี่จิ้งบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้อวิ๋นเยี่ยฟัง ก็รีบสลัดตัวเองให้พ้นจากเรื่องนี้ในทันใด

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพียงแต่ในตอนนี้เขาหาต้นตอของเรื่องไม่เจอ จึงได้แต่ฟังและเชื่อไปตามนั้น

 

 

 

 

——

 

 

[1] ปลาคุน เป็นปลาในเทพนิยายที่มีขนาดใหญ่มาก อาศัยอยู่ในมหาสมุทรทางเหนือ