ส่วนที่ 4 ตอนที่ 55 วาสนากับวิถีแห่งเซียน

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ไม่ว่าเขาจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ภัยคุกคามจากซีถงทำให้เขาตระหนักว่าการคุ้มครองครอบครัวของเขายังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องกลับฉางอันโดยเร็วที่สุดเพื่อจัดการวางแผนรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึงในวันหน้าเสียบ้าง

 

 

การเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่นั้นทำให้เดินทางได้ล่าช้า จึงได้แต่ให้เหล่าจวงล่วงหน้าไปก่อน โดยนำจดหมายของอวิ๋นเยี่ยเขียนถึงตระกูลเฉิง ตระกูลหนิวและรัชทายาท พร้อมกับองครักษ์จากบ้านทั้งสี่คนออกเดินทางในตอนกลางคืน ถึงเร็วขึ้นอีกสักนิดก็เตรียมการรับมือได้มากขึ้นอีกส่วน การเดิมพันคราวนี้อวิ๋นเยี่ยแพ้ไม่ได้ เถียนเซียงจื่อเป็นพวกกลุ่มคนบ้า ‘จูปิ้งหยวนโฮ่วลุ่น’ ของเฉาหยวนฟาง ได้ยินซุนซือเหมี่ยวบอกว่ามันเป็นตำราทางการแพทย์เล่มหนึ่ง ซึ่งก็เพียงแค่กล่าวเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดภายนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนบ้าพวกนี้ เพียงเพื่อของเล็กน้อยแค่นี้ถึงกับทำให้คนสามร้อยคนตายอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะพูดอะไรดี แต่ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

 

 

หลี่จิ้งเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ตนเองฟัง ไม่แน่ว่าเขาจะหวังดี มักจะรู้สึกว่าเขาอยากเห็นอวิ๋นเยี่ยและเถียนเซียงจื่อสู้กันอย่างแลกชีวิตสักครั้ง ส่วนตัวเขาเองก็นั่งดูละครลิงอยู่ข้างๆ

 

 

ตอนนี้เดินเข้ามาถึงทางตัน เคยพูดไว้แต่แรกแล้วว่าเมื่อเริ่มโกหกเพียงครั้งเดียวก็จะต้องมีคำโกหกตามมาอีกนับไม่ถ้วนเพื่อยืนยันความถูกต้องของคำโกหกแรก อวิ๋นเยี่ยยืนคอตกเสียใจภายหลังจริงๆ หรือจะบอกว่านี่เป็นการรับกรรมตามกฎแห่งกรรมที่ว่ากัน

 

 

มันเป็นเรื่องโง่ที่จะเปิดเผยความจริงในตอนนี้ ยอมแพ้ที่จะดิ้นรนต่อไปก็ยิ่งโง่กว่า ตนเองไม่มีทางถอยอีกแล้ว ได้แต่ทำการโกหกต่อไปเท่านั้น ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตำหนักหลิงเซียวในตำนานมีอยู่จริงหรือ เหลาจื่อขี่วัวเขียวออกจากด่านหานกู่ก็สำเร็จเป็นเซียนจริงหรือ ไม่ใช่ว่าถูกโจรปล้นทรัพย์สินจนถึงแก่ชีวิตหรือ มีตำหนักมังกรคริสตัลใต้ทะเลหรือไม่ เพราะเหตุใดเรือดำน้ำทั่วโลกในยุคปัจจุบันตั้งมากมายจึงไม่ได้ค้นพบ ไป๋อวี้จิงเท่านั้นที่ไม่สามารถเปรียบเทียบความงามกับดินแดนแห่งเซียนที่เล่าขานเกินจริงได้ เมื่อมนุษย์เราโกหกบ่อยๆ พูดซ้ำหลายพันครั้งก็จะกลายเป็นเรื่องจริง ถ้าฉันจะพูดซ้ำสองพันครั้งเพื่อให้มันกลายเป็นเรื่องจริงจะเป็นอะไรไป เมื่อมองดูท้องฟ้าสีแดงส้มผืนกว้าง ในใจของอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อีกครั้ง

 

 

เถียนเซียงจื่อไม่พบไป๋อวี้จิงที่ขั้วโลกเหนือ ไม่เป็นไร ยังสามารถผ่านช่องแคบเบริงไปยังอเมริกาได้ ถ้าหากปณิธานของเขากล้าแกร่งพอละก็ บางทีความรุ่งโรจน์ของการค้นพบทวีปอเมริกาของแผ่นดินจีนอาจจะตกไม่ถึงมือของโคลัมบัสก็เป็นได้ เถียนเซียงจื่อ หากครอบครัวของฉันได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะติดตามคุณไปทั่วโลก

 

 

ไม่รู้ว่าเถียนเซียงจื่อซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันลี้จะเล่นสงครามเย็นหรือไม่ น่ารื่อมู่ซึ่งกำลังดีใจสนุกสนานเพราะเพิ่งกลับมาจากการเลี้ยงแกะมองใบหน้าอันมืดมนของอวิ๋นเยี่ยและรอยยิ้มแปลกๆ ที่มุมปากของเขา ก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น กรีดร้องแล้วรีบวิ่งไปหาฮ่วนเหนียงเพื่อให้นางปลอบใจ

 

 

ระยะนี้กงซูเจี่ยวุ่นวายอยู่กับการสร้างรถม้ามาตลอด รถม้าสี่ล้อที่อวิ๋นเยี่ยเสนอไว้เขาสร้างสำเร็จแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันสามารถวิ่งได้บนทุ่งหญ้าเท่านั้น ถนนบนภูเขาที่ทอดยาวหลายพันลี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินทางด้วยรถม้าสี่ล้อ

 

 

หลี่จิ้งไม่สนใจ เขาคิดว่าในเมื่อกองทัพใหญ่สามารถมาถึงที่นี่ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่รถม้าจะไม่สามารถผ่านได้ เขาชอบรถม้าสี่ล้อเป็นอย่างมาก ยืนยันว่าต้องการให้กงซูเจี่ยสร้างขึ้นใหม่อีกคัน หากมีรถม้าสี่ล้อสองคันเช่นนี้แล้วก็จำเป็นต้องเดินทางพร้อมกับกองทัพใหญ่ สำหรับเรื่องที่ว่ารถม้าจะผ่านไปได้หรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านผู้บัญชาการใหญ่จะต้องพิจารณา โดยปกติแล้วผู้บัญชาการใหญ่เอาแต่ออกคำสั่งเพียงอย่างเดียว การทำคำสั่งให้สำเร็จก็คือหน้าที่ของลูกน้องที่ต้องทำ

 

 

ผู้บัญชาการใหญ่จะกลับเมืองหลวง แน่นอนว่าต้องมีทหารม้าคุ้มกันหนึ่งพันนาย รองผู้ตรวจการของหน่วยหงหลูจะกลับเมืองหลวงจะต้องมีทหารราบสองร้อยนายคุ้มกัน หมอเทวดานักพรตซุนจะกลับเมืองหลวงกองกำลังต้องคุ้มกันด้วยความระมัดระวังอย่างแน่นอน ซึ่งทหารม้าชั้นยอดหนึ่งร้อยนายนั้นเป็นที่ต้องการอย่างแน่นอน สำหรับอวิ๋นโหวที่จะกลับเมืองหลวง ยังมีทหารเสริมที่ชราและอ่อนแออยู่ในค่ายทหารอีกจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าอวิ๋นโหวจะพาพวกเขากลับไปด้วยหรือไม่

 

 

หลี่จีไม่พอใจอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งกับการที่หลี่จิ้งถ่ายโอนทุ่งหญ้าส่วนที่แบ่งมอบให้ชนชั้นสูงของชาวเผ่าทูเจวี๋ยไปให้น่ารื่อมู่ เขามองว่าเผ่าของน่ารื่อมู่นั้นเป็นเพียงการละเล่นกันของเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ชนเผ่าที่มีเพียงร้อยกว่าคนจำเป็นต้องให้ทุ่งหญ้าที่มีรัศมีกว้างถึงหนึ่งร้อยลี้ด้วยหรือ นี่เป็นพฤติกรรมที่สิ้นเปลืองขั้นร้ายแรง ควรมอบให้กับจื๋อซือซือลี่จึงจะถูก

 

 

“เม่ากง แม้ว่าจะให้ทุ่งหญ้าผืนนั้นแก่จื๋อซือซือลี่แล้วเขาจะอยู่ได้สงบสุขหรือ พวกเรามีใครบ้างไม่ระมัดระวังในการแบ่งทุ่งหญ้านี้เพราะกลัวว่าจะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีเข้า เมื่อกลับถึงฉางอัน ถึงจะมีปากร้อยปากก็ยังไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ มีเพียงเขาที่มาขอแบ่งทุ่งหญ้าจากข้าอย่างเปิดเผย ทั้งยังแบ่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งของเขา เจ้ากล้าที่จะทำเรื่องที่อาศัยเรื่องงานมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ แต่เขาทำโดยไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีข้อแก้ตัวที่ฟังดูน่าขำก็ตาม เจ้ากับข้าจะไม่เห็นเป้าหมายของเขาเลยหรือ”

 

 

เมื่อหลี่จิ้งพูดมาถึงตรงนี้เขาก็หยุดพูด เหล่มองหลี่จีส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ

 

 

 “เด็กคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการซื้อทรัพย์สินให้ครอบครัว มีอุตสาหกรรมอยู่ที่นี่หากวันหน้าเกิดมีความหายนะขึ้นในเมืองหลวงเขาก็ยังคงมีที่ซุกหัวนอน นี่เป็นวิธีการที่ตระกูลใหญ่ใช้อยู่บ่อยๆ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ  เพียงแต่เขาใจใหญ่เกินไป ไม่เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงพิโรธ”

 

 

“เจ้ายังดูถูกเด็กคนนี้เกินไป ข้ากล้าพนันกับเจ้า ฝ่าบาทจะไม่ทรงสนพระทัยกับเรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะทรงพอพระทัยเป็นอย่างมากด้วย ขุนนางทั้งราชสำนักจะไม่มีคนที่จะหาเรื่องเขา เจ้าดูพฤติกรรมของถังเจี่ยนและสวี่จิ้งจง ก็จะรู้ได้ว่าพวกเขาเห็นดีเห็นงามด้วย”

 

 

หลี่จีขมวดคิ้วและครุ่นคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่ อย่างไรเสียก็เป็นยอดแม่ทัพแห่งยุค เพียงพริบตาเขาก็เรียบเรียงเหตุผลได้และพูดกับหลี่จิ้งด้วยความตกตะลึงว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งใจทำ ในที่สุดเขาก็ทำสิ่งที่ทุกคนจะต้องทำแน่ การกระทำของเขามีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เป็นไปตามการคาดเดาของทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงหุบปากและเห็นดีเห็นงามด้วยซึ่งก็รวมถึงฝ่าบาทด้วย หากฝ่าบาททรงรู้ข่าวไม่แน่ว่าอาจจะถอนพระปัสสาสะด้วยความโล่งอกก็เป็นได้ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าจะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้เช่นนี้”

 

 

“ช่วยเขาดูแลคนรักตัวน้อยของเขา เด็กคนนี้เป็นคนมีนิสัยเข้าข้างคนของตัวเองโดยไม่มองหน้ามองหลังเป็นอย่างมาก ถ้าคนรักตัวน้อยของเขาเป็นอะไรไป พวกเจ้าที่อยู่บนทุ่งหญ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข ถ้าชาวเผ่าทูเจวี๋ยฆ่าคนรักตัวน้อยของเขาตาย เช่นนั้นชนเผ่านี้ก็รอการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ได้เลย เจ้าจะต้องอธิบายเรื่องที่น่าหวาดกลัวนี้ให้จื๋อซือซือลี่เข้าใจ หากเขาพลาดทำลงไปและทำในสิ่งที่เกินขอบเขต ข้ากับเจ้าก็ช่วยเขาไม่ได้”

 

 

“หากพูดถึงเรื่องการได้รับพระเมตตา เราทั้งสองต่างก็ขี่ม้าตามไม่ทัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีสัมพันธ์อันดีกับฝ่าบาท ฮองเฮา รัชทายาท เว่ยอ๋อง สู่อ๋อง ในความสัมพันธ์อันนี้ไม่มีเรื่องของผลประโยชน์หรือผลงานอยู่ จึงเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง ในใต้หล้านี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้”

 

 

“ท่านพี่ เจ้าจะจัดการกับซีถงคนนี้อย่างไร แม้เขาถูกควบคุมตัวอยู่แต่ก็ยังคงเป็นม้าพยศ สู้กำจัดทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นภัยทีหลังเสียจะดีกว่า”

 

 

“ข้าอยากจะเห็นความสามารถของอวิ๋นเยี่ยจริงๆ ข้าบอกเขาแล้วว่าคู่ต่อสู้ของเขาก็คือเถียนเซียงจื่อ จะดูว่าเขาจะรับมืออย่างไร”

 

 

“สมมติว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เขาจะต้องโกรธมาถึงท่านแน่นอน วิธีการที่หาแพะมารับบาปแทน ข้าไม่คิดว่ามันจะใช้ได้ผล”

 

 

“เขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่เด็กคนนี้ก็เป็นสุนัขเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง ขอเพียงเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัว เขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ ไม่น่าแปลกใจที่จะต้องฆ่าศัตรูให้สิ้นซากให้ได้”

 

 

ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกำลังคุยอยู่กับซีถง แขนทั้งสองของซีถงถูกมัดไพล่หลังอยู่ โดยข้างหนึ่งถูกงอพาดอยู่ด้านหลังศีรษะและอีกข้างถูกงอไพล่หลังพาดอยู่บนแผ่นหลัง กลายเป็นท่าทางการถือกระบี่ไขว้หลังเฉียงขึ้น นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างยังคงถูกผูกด้วยเชือกหนังวัวอย่างแน่นหนา การที่ต้องอยู่ในท่านี้นั้นทรมานมาก ซีถงกลับอยู่ในท่านี้เป็นเวลานานถึงสี่ชั่วยามโดยไม่ใส่ใจอะไรเลย

 

 

“ซีถง ผู้นำของเจ้าชื่อว่าเถียนเซียงจื่อ มันแปลกมาก คนคนนี้เสียชีวิตไปเป็นพันๆ ปีแล้ว ทำไมผู้นำคนใหม่ของเจ้าถึงยังชื่อว่าเถียนเซียงจื่ออีก” อวิ๋นเยี่ยนำปากของกาน้ำใส่เข้าไปในปากของซีถงเพื่อป้อนน้ำให้เขาดื่ม และเริ่มถามคำถามหลังจากซีถงหายใจนิ่งแล้ว

 

 

“อวิ๋นโหว ข้าซีถงก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าอย่าได้ฝันว่าจะได้รู้รายละเอียดของตระกูลลับจากข้าเลย เจ้าเองก็นับเป็นคนฉลาด อย่าให้ข้าแต่คำลวงมาโกหกเจ้าเลย”

 

 

“เช่นนี้ดีไหม เราทำการแลกเปลี่ยนกัน เจ้าถามคำถามข้าข้อหนึ่ง แล้วข้าจะตอบเจ้าอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นข้าถามคำถามเจ้าข้อหนึ่ง เจ้าก็ตอบข้าด้วยความสัตย์จริงเช่นกัน ดีหรือไม่” นี่คือวิธีที่อวิ๋นเยี่ยคิดอยู่เป็นนานจึงคิดออกมาได้ เขากำลังพนันอยู่ว่า ความกระตือรือร้นเกี่ยวกับเรื่องการมรรคผลเป็นเซียนของซีถงแท้จริงแล้วมีมากน้อยเพียงไหน

 

 

ซีถงก้มศีรษะลงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ก็ได้ ข้าซีถงขอสาบานว่า ถ้ามีการโกหกแม้เพียงประโยคเดียว ขอให้ฟ้าผ่าตาย” หลังจากพูดจบก็เบิกตากว้างจ้องมองอวิ๋นเยี่ย เกรงว่าอวิ๋นเยี่ยจะเปลี่ยนใจ

 

 

“ข้าอวิ๋นเยี่ยขอสาบานว่าจะต้องตอบคำถามของซีถงอย่างสมบูรณ์และถูกต้อง หากมีคำลวงแม้เพียงประโยคเดียว ขอให้ฟ้าผ่าตาย” เมื่อเห็นว่าสาบานแล้ว เห็นได้ชัดว่าซีถงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่สนใจว่าจะต้องเปิดเผยความลับของตระกูลลับออกมามากน้อยแค่ไหน สนใจแต่เพียงว่าจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับ ไป๋อวี้จิงมากน้อยแค่ไหน

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะถามก่อน ตระกูลลับของพวกเจ้าได้ส่งสายลับไว้ในบ้านของข้าหรือไม่” นี่เป็นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยกังวลมากที่สุด

 

 

“ไม่มี ไม่มีแน่นอน แต่สำนักศึกษามี ครอบครัวเจ้าไม่มี คราวนี้เป็นข้าถามเจ้าบ้าง เจ้ารู้เรื่องหมีขาวและปลาคุนได้อย่างไร” ซีถงกลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะเปลี่ยนใจ จึงบอกกับอวิ๋นเยียเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่ามีสายลับอยู่ในสำนักศึกษา

 

 

“เป็นสิ่งที่ได้รับการสอนมาจากอาจารย์ ท่านเคยไปดินแดนตอนเหนือสุดแห่งนั้น” อวิ๋นเยี่ยมองไปด้านนอกกระโจม เห็นดวงดาวกะพริบแวววับเต็มท้องฟ้าจึงค่อยโล่งอก ไม่มีเสียงฟ้าร้อง

 

 

“เจ้าบอกข้าเกินมาหนึ่งประโยค ข้าก็จะบอกเจ้าอีกหนึ่งประโยค ดินแดนขั้วโลกเหนือนั้นเป็นกลางคืนที่มืดมิดครึ่งปีและเป็นกลางวันครึ่งปี ตั้งแต่เดือนสามถึงแปดของทุกปีเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะไปที่นั่น ข้าต้องถามอีก ทำไมพวกเจ้าจึงหมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งเซียนเช่นนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเส้นทางนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่งก็ไม่ยอมล้มเลิก”

 

 

เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าซีถงรู้สึกผ่อนคลายลง เขาพูดว่า “ตั้งแต่ท่านบรรพชนเถียนเซียงจื่อได้พบกับท่านเซียนและละทิ้งตระกูลมั่วไปแล้วนั้น ตระกูลลับที่สืบต่อมาทุกรุ่นก็จะเห็นเรื่องการมรรคผลเป็นเซียนเป็นเป้าหมายหลัก ใครจะรู้ว่าวิถีแห่งเซียนนั้นยากเข็ญยิ่งนัก มีเพียงบรรพชนท่านนั้นท่านเดียวที่ได้มีวาสนาก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ สำหรับเถียนเซียงจื่อทุกยุคทุกสมัยต่างก็เสียชีวิตไปพร้อมกับความคับแค้นใจ กว่าจะมาถึงรุ่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อได้ยินเรื่องไป๋อวี้จิงจากปากของเจ้า จะให้ปล่อยไปได้อย่างไร จะบอกให้รู้ว่าขณะที่บรรพชนรุ่นแรกที่มรรคผลนั้นทิ้งไว้เพียงหยกชิ้นเดียว ซี่งด้านบนมีข้อความเขียนไว้ว่าไป๋อวี้จิง เมื่อรวมกับเรื่องที่เยี่ยถัวตั้งใจไปยังสระสวรรค์ของเจ้าแม่ซีหวังหมู่เพื่อพิสูจน์ต้นกำเนิดของเจ้า ต้องเผชิญหน้ากับสวรรค์พิโรธ หิมะถล่ม ทะเลเพลิง สัตว์ประหลาด ครบทุกอย่าง เขาพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างสุดชีวิต กลับไม่คิดว่าหลังจากที่ได้พบเจ้าแล้ว เขาก็ถูกพิษเสียชีวิตในเวลาไม่ถึงสี่สิบวัน นี่ไม่ใช่สวรรค์ลงโทษ แล้วมันคืออะไร” เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ ใบหน้าของซีถงกำลังเปล่งประกาย การที่สภาพจิตใจได้รับการปลอบประโลมทำให้เขาลืมความเจ็บปวดบนร่างไปเลย

 

 

“ท่านเซียนที่บรรพชนเจ้าได้พบเจอคงจะไม่ใช่เทพธิดากลุ่มหนึ่งที่เดินเล่นอยู่บนปุยเมฆ เมื่อพวกนางพบกับบรรพชนของเจ้าโดยบังเอิญ ก็บอกว่าเขามีวาสนากับเทพเซียน อีกทั้งเทพธิดาเหล่านั้นแต่ละคนหน้าตางดงามมาก ทั้งยังสวมสร้อยหยกด้วยหรอกนะ” จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็นึกถึงกัวจื่ออี๋แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถังตอนกลางซึ่งได้อ้างว่าเขามีวาสนากับเทพเซียนไม่ใช่หรือ ทั้งยังอธิบายว่ามีจมูกและดวงตา อวิ๋นเยี่ยท่องจำเรื่องไร้สาระท่อนนี้ออกมา ต้องการที่จะหัวเราะเยาะซีถง

 

 

ใครจะรู้ว่าคนโบราณจะไม่มีเส้นประสาทในการรับรู้ระหว่างเรื่องตลกกับเรื่องจริง

 

 

นัยน์ตาของซีถงเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา ได้แต่อ้าปากพงาบๆ พูดอะไรไม่ออก

 

 

“ไม่จริงใช่ไหม อาจารย์ของเจ้าก็เคยเจอหรือ ทั้งยังเป็นหญิงงามกลุ่มนี้อีกด้วยงั้นหรือ”