อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการแต่งเรื่องหลอกซีถงอีก เพราะว่าเขานั้นน่าเวทนามาก เพื่อความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงถึงได้เสาะแสวงหามาทั้งชีวิต ตอนนี้ยังจะกระโจนลงในบ่อโคลนขนาดใหญ่ของวิถีแห่งเซียนอีก แม้จะฉุดก็ฉุดไม่กลับแล้ว
การหยิบยกพจนะที่มีการอ้างอิงแต่โบราณอย่างขอไปที แต่กลับไปเหมือนกับสถานการณ์ที่บรรพชนเขาเคยพบโดยไม่ผิดเพี้ยน อวิ๋นเยี่ยอยากจะตบปากของตัวเองจริงๆ กัวจื่ออี๋ในอีกหนึ่งร้อยปีต่อมาก็เกี่ยวข้องกับตระกูลลับหรือ มิฉะนั้นคงจะไม่สามารถอธิบายฉากที่เขาเห็นได้อย่างแม่นยำถึงเพียงนี้ เรื่องราวภายในนั้นไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยจะควบคุมได้
เมื่อแก้ปมของซีถงที่ค่อนข้างคลุ้มคลั่งได้แล้ว เขายังคงอยู่ในท่าที่สองแขนถูกจับมัดไขว้หลังเหมือนซูฉินถือกระบี่เฉียง นัยน์ตากลิ้งกลอกไปมาตามการเคลื่อนไหวของอวิ๋นเยี่ยไม่ยอมหยุด ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยอยากรู้เรื่องราวของตระกูลลับในตอนนี้ เขาจะต้องตอบออกมาจนหมดเปลือกอย่างแน่นอน
คนที่หลงงมงายนั้นอันตรายมากแต่ก็ไม่น่ากลัว พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้ เพื่อความใฝ่ฝันแล้ว แม้ต้องร่างแหลกสลายกระดูกกลายเป็นผุยผงก็ไม่เสียดาย ในความคิดของพวกเขา มีเพียงอุดมการณ์ที่พวกเขาคิดว่ามีเกียรติ ไม่มีเรื่องของผลกำไรหรือขาดทุน ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
ภายใต้การสะกดจิตตัวเองที่ยังไม่คลายออก ลำแสงสีทองเส้นทางนั้นที่เชื่อมต่อกับแดนสวรรค์ดูเหมือนอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว เมื่อยืนขึ้นไม่สามารถไปถึงได้ ขาดเพียงแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น กระโดดก็ไม่ถึง ขาดเพียงแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น เดินเท้าบนพื้นก่อนแล้วจึงค่อยกระโดดก็ยังไปไม่ถึง ขาดเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
พวกเขาจะแสวงหาทุกสิ่งอย่างที่สามารถช่วยให้พวกเขายกระดับขึ้นไปตลอดกาล เมื่อได้ยินว่ายาฝึกปราณสามารถช่วยได้ พวกเขาก็กินยาฝึกปราณ เมื่อได้ยินว่ามันสามารถช่วยในการฝึกปราณได้ พวกเขาก็ฝึกปราณ เมื่อได้ยินว่าไป๋อวี้จิงเป็นทางลัดสู่แดนสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาก็เลยตามหาไป๋อวี้จิง ไม่ว่าซีถงเป็นคนที่ฉลาดมากมายเพียงไหน ภายใต้ภาพลวงตาที่ล่อลวง เขาก็ได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง สูญเสียการคิดวิเคราะห์เบื้องต้นที่พึงมีไปนานแล้ว
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่า ตอนนี้ไม่ว่าได้รู้ข้อมูลอะไรจากปากของซีถงก็ล้วนดูไม่ดีต่อบุคลิกภาพของเขา ในแววตาที่เคารพนับถือและอิจฉาของเขา อวิ๋ยเยี่ยยังได้เห็นร่องรอยแห่งความเศร้าปะปนอยู่ด้วย เขารู้สึกเศร้าและสงสารตนเอง คงจะกำลังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ที่มั่นคงต่อการไขว่คว้าวิถีแห่งเซียนอย่างเขาจึงไร้วาสนาที่จะได้พบกับกลุ่มเทพธิดานั้น ทำไมอวิ๋นเยี่ยจึงมักจะได้มาอย่างง่ายดายแต่เขากลับไม่สนใจเลย ละทิ้งไปโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ทำร้ายตัวเอง จึงได้ปล่อยซีถงไป อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่ต้องการที่จะแตกหักกับเถียนเซียงจื่ออย่างถึงที่สุด หลี่จิ้งอยากดูเรื่องตลกก็ปล่อยเขาไป
ทำไมฉันต้องสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งให้กับตัวเองด้วย จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ปฏิบัติกับฉันด้วยความเป็นมิตรอยู่ ยังไม่เห็นว่าพวกเขาประสงค์ร้ายอะไร นี่เป็นกลุ่มที่น่าสงสาร ในขณะที่ความหวังกำลังจะถูกทำลายลงก็ได้พบเป้าหมายใหม่
ขอเพียงแค่ปรับเปลี่ยนทิศทางในวันข้างหน้าของพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือจะบอกว่ามันจะไม่เป็นวาสนาที่ดีต่อต้าถังเลย ความตั้งใจดั้งเดิมของโคลัมบัสในการค้นหาประเทศจีนที่มีทองคำอยู่ทุกแห่งหนไม่ใช่หรือ คาดว่าพวกเขาก็คงอยากเห็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เช่น พีระมิด สโตนเฮนจ์ สวนลอยบาบิโลน อะไรจำพวกนี้ รวมถึงสถานที่ที่งดงามราวกับสวรรค์บนดินอีกหลายแห่ง ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะทำให้พวกเขาได้เป็นเซียนอย่างแท้จริง
จึงหาเหล้าหนึ่งกาและน่องแกะหนึ่งน่องยัดเยียดให้ซีถง เมื่อเขาเห็นเขายังคงดูเหม่อลอยอยู่ จึงพูดกับเขาว่า “ข้าไม่ถามเรื่องของพวกเจ้าแล้ว ข้าต้องทำงานของข้า ไม่มีเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าแสวงหาวิถีแห่งเซียน ข้าแสวงหาเส้นทางแห่งความสำเร็จของมนุษย์เรา หวังว่าวันหนึ่งพวกเจ้าจะไปถึงยังแดนสวรรค์ได้ ข้าแค่หวังว่าตนเองจะสร้างชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้ คราวหน้าถ้ามีสิ่งใดที่จะถามมาหาข้าได้โดยตรง อย่าทำเรื่องเหลวไหลวุ่นวายเหล่านี้ ทำให้ข้าหงุดหงิดใจ พวกเจ้าเองก็วุ่นวายด้วย ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องระวังในดินแดนของขั้วโลกเหนือ ก่อนอื่นเจ้าต้องเตรียมพร้อมก่อน การเตรียมการนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ตั้งแต่เรื่องยาจนถึงเรื่องเสบียงอาหาร รวมถึงอาวุธและอุปกรณ์ป้องกัน ทุกวันต้องวางแผนการโดยละเอียด ทั้งยังต้องวางแผนล่วงหน้าหากต้องพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งเหล่านี้มีความซับซ้อนมาก ไม่ใช่ว่าพูดเพียงประโยคสองประโยคก็สามารถพูดได้อย่างชัดเจน”
“อวิ๋นโหว ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ สิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้เจ้ากลับใส่พานมอบให้แต่โดยดีเช่นนี้หรือ” เมื่อซีถงได้ยินคำพูดของอวิ๋นเยี่ย เขาแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้ความลับนี้ก็มีแต่จะเก็บเอาไว้ในใจและสืบทอดต่อให้กับลูกหลาน การเห็นเป็นเหมือนเศษขยะแล้วโยนทิ้งออกมาเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ซีถงจะรู้สึกสงสัย
“ข้าเคยรับปากอาจารย์ไว้ว่าจะไม่ไปเสาะแสวงหาเรื่องการมีชีวิตอมตะ พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นคนต่ำช้า เจ้าเห็นมันเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าแต่ในความคิดข้ามันไร้ค่า นอกจากนี้เจ้ายังขู่คุกคามครอบครัวข้าด้วย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าต้องเอาชีวิตคนในครอบครัวข้าไปเสี่ยงเพียงเพื่อกองขยะเหล่านี้หรือ
ชีวิตอมตะ ชีวิตอมตะในความคิดข้าหากนำมาแลกกับเส้นผมเพียงเส้นเดียวของน้องสาวข้ายังรู้สึกว่าขาดทุนย่อยยับเสียด้วยซ้ำ มีแต่ผู้ที่อยากจะเป็นก้อนหินอย่างพวกเจ้าเท่านั้นจึงได้เห็นมันเป็นของล้ำค่า ในเมื่อพวกเจ้าฝักใฝ่ต้องการที่จะเป็นก้อนหินเช่นนั้นก็ไปเถอะ เมื่อส่งเสริมเหล่าก้อนหินแล้วข้าก็จะได้ผ่อนคลายไม่ใช่หรือ พรุ่งนี้ข้าจะไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้แล้ว อยากจะขอพบเถียนเซียงจื่อสักครั้งเรื่องบางอย่างพูดให้ชัดเจนเอาไว้หน่อยจะดีกว่า ข้ารู้ว่าพวกเจ้านั้นไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ เวลานัดพบก็เอาเป็นระหว่างที่ข้าเดินทางกลับฉางอันก็แล้วกัน เวลาและสถานที่พวกเจ้าเลือกได้เลย เพียงแต่ไม่ต้องสร้างประเพณีแปลกๆ เช่น ต้อนรับแขกด้วยชีวิตคนอะไรจำพวกนั้น มีน้ำชาให้ดื่มอย่างธรรมดาทั่วๆ ไปก็พอแล้ว”
ซีถงสับสนอย่างแท้จริง จากคำพูดของอวิ๋นเยี่ยฟังไม่ออกเลยว่าจะมีแผนร้ายใดๆ เหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง ได้แต่อ้าปากแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จนกระทั่งถูกอวิ๋นเยี่ยฉุดกระชากลากถูไล่ออกจากค่ายทหารไป มองดูทุ่งหญ้าที่มืดมิด ได้ยินเสียงหมาป่าร้องอย่างโหยหวนมาแต่ไกล เขาจึงมั่นใจว่าเขาไม่ได้ฝันไป
รัดสายคาดเอวให้แน่น หยิบดาบยาวที่ถูกอวิ๋นเยี่ยโยนออกมาขึ้นจากข้างๆ กายเขา เมื่อมองดูตำแหน่งของดาวบนศีรษะแล้วค่อยๆ เดินหายเข้าไปในความมืดที่ไร้ขอบเขต
หลี่จิ้งที่ยืนอยู่ในเงามืดถอนหายใจแล้วกลับไปที่กระโจม
เมื่อเรื่องราวที่เป็นทุกข์อยู่ในใจได้ถูกกำจัดออกไปอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกผ่อนคลาย เดินฮัมเพลงเถียนมี่มี่กลับไปยังกระโจมของตัวเอง คืนนี้ต้องไล่น่ารื่อมู่กลับไป เมื่อคืนไม่ได้นอนหลับให้สบาย ผู้หญิงที่มีนิสัยชอบแย่งผ้าห่มกับคนอื่นรีบไล่กลับไปจะดีกว่า การนอนคนเดียวบนเตียงขนาดใหญ่มันเป็นสุขเพียงไหนกัน
ยังโชคดีที่น่ารื่อมู่ไม่อยู่ ได้ยินฮ่วนเหนียงบอกว่านี่เป็นความเคยชินของคนในทุ่งหญ้า เมื่อผู้หญิงได้เข้าเรือนหอในคืนแรกแล้วต้องกลับไปนอนที่กระโจมของตัวเองเป็นเวลาสองวัน เป็นนิสัยที่มีเหมือนมนุษย์ที่พัฒนาแล้วจริงๆ ต้องให้เป็นเช่นนี้ต่อไป
เมื่อได้นอนบนเตียงที่นุ่มสบายอวิ๋นเยี่ยเกือบจะครางออกมาอย่างสบายใจ นอนแผ่หลาแยกแขนขาอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ทำไมมันถึงรู้สึกสบายเช่นนี้
ความสุขเช่นนี้ได้ดำเนินต่อไปยังไม่ทันถึงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปก็พังทลายลงเสียแล้ว
เฉิงฉู่มั่วหนีบผ้าห่มไว้ที่ใต้รักแร้มาหาอวิ๋นเยี่ยที่กระโจม เมื่อเขาเข้ามาก็โยนผ้าห่มลงบนเตียงและถอดรองเท้าออกภายในพริบตา กลิ่นเหม็นเหมือนปลาเค็มก็ลอยตลบอบอวลอยู่ในกระโจม อวิ๋นเยี่ยกลั้นลมหายใจ ชี้ไปที่อ่างน้ำพลางจ้องเฉิงฉู่มั่วด้วยความโกรธ
เสี่ยวเฉิงเบ้ปากบ่นกระปอดกระแปดเดินไปล้างเท้าอย่างไม่เต็มใจ รองเท้าคู่นั้นถูกฮ่วนเหนียงที่เอามือบีบจมูกแล้วถือออกไป ภายใต้อากาศหนาวเย็นต้องเปิดม่านทิ้งไว้เป็นเวลานานกว่าจะระบายกลิ่นเหม็นเหมือนหมาเน่านั้นออกไปจนหมด
“เสี่ยวเยี่ย ข้าไม่อยากกลับไป ข้าอยากอยู่บนทุ่งหญ้า เจ้ากลับไปบอกกับแม่ข้าที” เฉิงฉู่มั่วนอนพูดเบาๆ อยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ย
“ฝันไปเถอะ เจ้าคิดว่ามันง่ายหรืออย่างไรกว่าที่ข้าจะขอตัวเจ้ามาจากมือของหลี่จีได้ ในบรรดาท่านลุงท่านอาเหล่านี้คนที่ข้าไม่ชอบมากที่สุดก็คือหลี่จี มันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะทำงานภายใต้การดูแลของเขา คน คนนี้มีนิสัยที่เลวร้ายอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือชอบใช้ผู้เยาว์ที่ใกล้ชิดกับตัวเขามาสร้างความน่าเกรงขามให้กับกองทัพ ข้าไม่อยากให้เจ้าถูกจับทำเป็นตัวอย่าง ยอมตามข้ากลับฉางอันแต่โดยดี นอกจากนี้ เจ้าเองก็ใกล้จะต้องแต่งงานในไม่ช้าแล้ว กลับไปเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานจึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำ”
เรื่องนี้เคยพูดกับเฉิงฉู่มั่วมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ผลงานที่ควรได้ก็ได้ไปแล้ว สงครามที่ควรต้องเข้าร่วมก็จบสิ้นแล้ว มันไม่มีความหมายที่จะอยู่บนทุ่งหญ้าอีกต่อไป เสียเวลาในวัยเยาว์ไปเปล่าๆ เจ้าโง่นี่ก็ไม่ยอมฟังให้เข้าหูเสียที ไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมกลับฉางอัน
“ข้ากลับไปก็ต้องถูกที่บ้านควบคุมความประพฤติ เจ้าก็รู้นิสัยข้า ท่านแม่ข้าดูแลอย่างเข้มงวดมาก การจะออกไปข้างนอกนั้นก็เลิกฝันไปได้เลย แทนที่จะกลับไปเจอเหตุการณ์อย่างนั้นไม่สู้อยู่ที่ทุ่งหญ้าอย่างอิสระเสรีทำสงครามยังจะดีเสียกว่า” เฉิงฉู่มั่วเริ่มโต้แย้งข้อสรุปของอวิ๋นเยี่ยอีกแล้ว
“หุบปาก เจ้าฝันไปเสียเถอะ ยังคิดว่าจะได้อยู่บ้านอีกหรือ เมื่อกลับไปเจ้าจะต้องไปรายงานตัวที่สำนักศึกษา ปีนี้เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย คราวนี้เจ้าต้องตั้งใจเข้าเรียนเพิ่มเติมวิชาที่ขาดเรียนไปให้ครบ อย่าทำจนสู้ไม่ได้แม้แต่น้องชายตัวเอง มันน่าขายหน้าเกินไป”
“เจ้าไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะ ที่แท้กลับไปคราวนี้ข้าต้องไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษา คราวนี้เยี่ยมไปเลย เมื่อไปถึงถิ่นของเจ้าพี่ชายจึงค่อยโล่งใจ พรุ่งนี้กลับฉางอันกันเลย ทุ่งหญ้าที่ห่วยแตกแบบนี้ข้าก็อยู่จนสุดจะทนแล้ว แม้แต่อาหารที่น่ากินสักมื้อยังไม่มีเลย อยากกินหมูสามชั้นคั่วเนื้อแดงที่เจ้าทำจริงๆ”
อวิ๋นเยี่ยโกรธจนเต้นผางไล่เตะบั้นท้ายเฉิงฉู่มั่วอยู่หลายที พูดกับเขาว่า “เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้นอนให้เต็มที่ เจ้ายังจะมาบ่นกระปอดกระแปดอีก จะให้ข้านอนหรือไม่ พรุ่งนี้ต้องรีบเดินทาง นอนได้แล้ว”
เฉิงฉู่มั่วนั้นคุ้นเคยกับการที่จู่ๆ อวิ๋นเยี่ยก็โกรธขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุมานานแล้ว แต่ก็ยังดื้อด้านถามว่า “เมื่อคืนหญิงชาวป่าคนนั้นปรนนิบัติเจ้าถูกใจหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ จึงได้แต่ซุกตัวเองเข้าไปในผ้าห่มและแกล้งทำเป็นหลับ
ไม่ได้ฝันอะไรเลยแม้แต่เรื่องเดียวตลอดคืน จนกระทั่งฮ่วนเหนียงเข้ามาปรนนิบัติให้ทั้งสองแต่งตัว เห็นทั้งสองคนยังนอนหลับโดยไม่รู้สึกตัว จึงได้แต่นำผ้าเปียกเช็ดหน้าให้ทั้งสองคน จึงได้ทำให้สองพี่น้องตื่นขึ้น
ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่ด้านนอกกระโจมกลับเต็มไปด้วยเสียงผู้คน เหอเซ่ากำลังตะโกนเสียงดังให้เหล่าทหารเสริมผูกสินค้าแต่ละอย่างให้ดี อย่าได้หลงเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้นนะ
น่ารื่อมู่ยืนอยู่ที่หน้ากระโจมนานแล้ว ส่งยิ้มที่ดูโง่ๆ ให้อวิ๋นเยี่ยอย่างไม่คิดอะไร สาวน้อยจอมโง่คนนี้ไม่รู้ว่าคนรักของนางจะเดินทางไกลจากไปในวันนี้แล้ว น่ารื่อมู่ไม่คำนึงถึงดวงตานับไม่ถ้วนที่จ้องมองอยู่ พุ่งเข้ามากอดอวิ๋นเยี่ยไว้แน่น พูดภาษาทูเจวี๋ยที่เขาฟังไม่เข้าใจเสียยืดยาว จากนั้นก็หยิบแส้พาฝูงแกะที่นางรักออกไปกินหญ้า
ฮ่วนเหนียงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “น่ารื่อมู่ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ บอกว่านางจะอยู่ที่ทุ่งหญ้ารอให้เจ้ากลับมา นางจะเลี้ยงวัวและแกะให้เจ้าให้มากๆ แล้วแบ่งมอบพวกมันให้ลูกๆ ของพวกเจ้า ภายหน้าพวกเจ้าต้องมีลูกๆ มากมาย ดังนั้นนางจึงต้องพยายามเลี้ยงพวกมันอย่างเต็มที่ จึงไม่ได้ไปส่งเจ้า”
อวิ๋นเยี่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นสั่งให้ทหารเสริมจูงม้าของเขามาและมอบให้ฮ่วนเหนียงและพูดกับนางว่า “อยู่ที่ทุ่งหญ้าเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ถ้าหากอยากกลับบ้านก็บอกข้าข้าจะส่งคนมารับเจ้า เจ้ามอบม้าตัวนี้ให้น่ารื่อมู่บอกนางว่าถ้าหากนางพบผู้ชายที่ดีอย่าได้ลังเล หากอยากแต่งงานก็แต่งเลยไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
ฮ่วนเหนียงโบกลาให้อวิ๋นเยี่ยทั้งน้ำตาจากนั้นก็ขี่ม้าตามน่ารื่อมู่ที่ออกไปไกลแล้ว สาวโง่คนนี้ตอนนี้คงต้องร้องไห้อยู่แน่
เฉิงฉู่มั่วเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะและยืนอยู่ด้านข้างของอวิ๋นเยี่ยเหยียดคอยาวมองเงาหลังของฮ่วนเหนียง แต่ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ตบไหล่ของอวิ๋นเยี่ยและจากไปก่อน
อวิ๋นเยี่ยเห็นถังเจี่ยนกำลังแย่งรถม้าอยู่ ทั้งยังเห็นสวี่จิ้งจงกำลังลากถุงใส่ของใบใหญ่โยนขึ้นรถ กงซูเจี่ยกำลังปรับสอบลูกศรของเขา ซุนซือเหมี่ยวแบกกล่องยา กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขายกกล่องใหญ่ๆ เล็ก ๆ กำลังคัดแยกประเภทแล้วนำขึ้นรถม้า ทุกกล่องที่บรรจุไว้ซุนซือเหมี่ยวได้เขียนเครื่องหมายไว้บนกล่องเพื่อไม่ให้กลับไปถึงสำนักศึกษาแล้วเกิดสับสนในภายหลัง
ออกมานานครึ่งปีกว่าแล้ว ถึงเวลากลับแล้ว