เมื่อรถม้าขับเคลื่อนอยู่บนทุ่งหญ้าที่รกร้าง อวิ๋นเยี่ยจึงรู้สึกได้ว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ทุกแห่งหนมีแต่ลำธารเล็กๆ ไหลอยู่บนทุ่งหญ้า แสงแดดที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิได้ละลายผ้าขาวในฤดูหนาวซึ่งปกคลุมภูเขาที่อยู่ห่างไกล ทำให้เกิดแหล่งน้ำมากมายสู่ทุ่งหญ้า ปีนี้เป็นปีที่ดี หลังจากทุ่งหญ้าประสบภัยพิบัติจากหิมะขาว ปีใหม่ที่มาเยือนก็จะเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์
ไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงาม เหอเซ่ากำลังสาปแช่งฤดูใบไม้ผลิอันห่วยแตกของทุ่งหญ้าอยู่ เกวียนเทียมวัวของเขาตกลงไปในหลุมโคลน วัวที่น่าสงสารพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาแต่ก็ไม่เป็นผล เหอเซ่าจอมโลภเขาบรรจุของบนเกวียนเทียมวัวสูงเกินไปและเต็มเกินไป ถ้าเป็นไปได้ แม้แต่ตั๊กแตนบนทุ่งหญ้าเขาก็คงไม่ยอมปล่อยไป
ทหารเสริมแดนกวนจงที่เปื้อนโคลนไปทั้งตัว ตะโกนฮุยเลฮุยช่วยกันลากรถออกจากบ่อโคลน ไม่รอรีให้มีการพักและปรับกระบวนทัพก็ออกเดินทางต่อ ทุกคนต้องการออกจากทุ่งหญ้าโดยเร็วที่สุด พื้นดินที่แข็งตัวเริ่มละลาย เท้าเหยียบอยู่บนพื้นนุ่มๆ เหมือนเดินเหยียบอยู่บนพรมหนาๆ ได้ยินว่าทุกๆ ปีจะมีวัวและแกะติดอยู่ในหนองน้ำเป็นประจำ คนดวงไม่ดีก็จะโชคร้าย พริบตาเดียวคนก็หายไป สถานที่เลวร้ายเช่นนี้จากไปได้เร็วขึ้นเท่าไรก็ปลอดภัยเร็วขึ้นเท่านั้น
รถม้าสี่ล้อของหลี่จิ้งเผยให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าใคร เพียงแค่ม้าที่ลากรถก็มีถึงสี่ตัวแล้ว เพลาข้อเหวี่ยงได้แปลงพลังงานจากทุกทิศทางให้กลายเป็นแรงผลักดันของการเดินไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนที่ทั้งเร็วเบาและมั่นคง ในรถม้าไม่มีที่นั่ง มีเพียงแคร่นอน หลี่จิ้งห่มเสื้อขนสัตว์พลางมองไปยังทุ่งหญ้าด้านนอกหน้าต่าง หว่างคิ้วนั้นขมวดชนกันจนขึ้นเส้นตรงลึกลงไป ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้คลายตัวลงเลย การลงไพ่อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าของอวิ๋นเยี่ยโดยกะทันหันได้ทำให้สิ่งที่เขาวางแผนไว้รวนไปหมด แผนการยังไม่ทันเริ่มก็จบลงเสียแล้ว
คนเราควรมีน้ำใจกว้างขวางดั่งทะเล มั่นคงดุจภูผา ไม่มีจิตคิดละโมบย่อมยืนได้อย่างมั่นคง คำพูดประโยคนี้อวิ๋นเยี่ยบอกกับเขาก่อนที่จะออกเดินทาง เขาชอบประโยคนี้ แต่กลับไม่ชอบกิริยาท่าทางของอวิ๋นเยี่ย เด็กคนนี้วางท่าทีเย่อหยิ่งจองหอง ใช้น้ำเสียงราวกับเป็นผู้มีสติปัญญามาปลอบโยนเขา ทำให้หลี่จิ้งผู้ซึ่งจิตใจสงบลงไปตั้งนานแล้วเกิดประกายไฟอันน่ากลัวขึ้นมาจากจุดตันเถียน “เจ้าหนุ่ม มาวางท่าทีผู้สูงส่งต่อหน้าข้า ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือผู้สูงส่งที่แท้จริง”
อวิ๋นเยี่ยนั่งเอนกายแหงนหน้าอยู่บนเกวียนเทียมวัว สองมือหนุนศีรษะ ตั้งแต่เขามาถึงโลกแห่งนี้ เขาก็รู้สึกว่าท้องฟ้าสีฟ้าครามและเมฆสีขาวของที่นี่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่พอ ขอเพียงแค่มีเวลาว่าง เขาก็ไม่พลาดโอกาสที่จะชื่นชมพวกมัน
ฟากฟ้าทางใต้ มีม้าตัวหนึ่งกำลังเชิดหน้าส่งเสียงร้องฮี้ๆ ราวกับว่ากำลังเรียกหาเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง อวิ๋นเยี่ยกำลังคิดจะปลุกเฉิงฉู่มั่วที่นอนอยู่ด้านข้างให้ตื่นขึ้นมาชื่นชมก้อนเมฆสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นรูปม้าคะนอง ใครจะรู้ ดูเหมือนว่าจะมีลมพัดแรงอยู่บนท้องฟ้า ม้าคะนองที่ดูแข็งแกร่งทรงพลังพริบตาเดียวก็กลายเป็นหมูอ้วนตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมูอ้วนที่น่าเกลียดและประหลาดมากๆ ปากหมูยาวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ลมก็พัดอย่างต่อเนื่อง สัตว์ประหลาดตัวนั้นค่อยๆ กลืนกินเข้าไปกับกลุ่มเมฆใหญ่ ดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไรอีกต่อไป
เสียงร้องเพลงของน่ารื่อมู่ดูเหมือนจะยังวนเวียนอยู่ข้างๆ หู หญิงโง่คนนั้นเห็นการจากลาเป็นเรื่องตลก ราวกับว่าอวิ๋นเยี่ยไม่ได้กลับไปฉางอันที่อยู่ห่างไกล เพียงไปที่บ้านของเพื่อนบ้าน เมื่อฟ้ามืดก็จะกลับมา
อวิ๋นเยี่ยก็ตกใจขึ้นในทันใด หญิงโง่เขลาคนนี้อาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ว่าที่นี่ไกลจากฉางอันเพียงไหน ถ้าตอนกลางคืนเขาไม่กลับไป นางจะร้องไห้จริงๆ และร้องไห้ออกมาดังๆ ด้วย ทำไมต้องเป็นห่วงนางแทนที่จะกังวลกับซินเย่ว์ที่แยกกันจากกันเป็นเวลาครึ่งปีกว่า พอคลำดูที่อกเสื้อ ถุงผ้าปักยังอยู่ ถุงผ้าปักนิ่มๆ ถูกผมที่มีแรงยืดหยุ่นของซินเย่ว์รัดเอาไว้จนตึง เมื่อกดลงไปเบาๆ พอปล่อยมือมันจะเด้งคืนตัวกลับมา เป็นเวลาครึ่งปีกว่าแล้วถุงผ้าปักอันนี้เว้นเสียแต่จะสกปรกไปบ้างแล้ว รูปร่างก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
แรงยืดหยุ่นของเส้นผมไม่ได้ลดเลย แล้วหัวใจของอวิ๋นเยี่ยจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร ซินเย่ว์คือภรรยาของเขา เก็บไว้ในใจก็พอ จะพูดพร่ำเพรื่อไปเพื่ออะไร ทั้งสองคนยังมีเวลาอีกหลายสิบปีที่จะได้อยู่ร่วมกัน ยิ่งเป็นความรู้สึกที่เรียบง่ายเท่าไรยิ่งอยู่ได้นานเท่านั้น จูงมือกันหลายสิบปีอย่างเรียบง่าย ดูดีมีความหมายกว่าความรักที่เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วมากนัก
หลี่จิ้งที่อยู่ในรถม้าตอนนี้จะต้องรู้สึกหดหู่มากเป็นแน่ แผนการที่เตรียมเอาไว้อย่างดีนั้นเละเทะตั้งแต่อยู่ในมุ้ง ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกทรมานมากแน่ เขาไม่เข้าใจว่าชาวฮั่นทุกคนไม่อยู่ในรายชื่อศัตรูของอวิ๋นเยี่ย ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ขอเพียงพวกเขาไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับเขา อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยรอยยิ้ม ไม่จำเป็นต้องทำให้ใครถึงตายเลย ชาวฮั่นก็เหลือกันอยู่เพียงจำนวนเท่านี้ ตอนนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็มีเชื้อสายเผ่าหู ถ้าหากคนกันเองยังเข่นฆ่ากันเองอีก ก็คงใกล้จะสูญเผ่าพันธุ์กันเต็มที
บางทีท้องฟ้าของทุ่งหญ้าอาจทำให้จิตใจของอวิ๋นเยียที่เดิมทีก็ไม่ได้ใจกว้างเสียเท่าไรนักให้หมดไป เรื่องที่ทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาเรียนรู้ที่จะหัวเราะและปล่อยผ่านไปแล้ว คำพูดก่อนหน้านี้หานซันและสือเต๋อหลวงจีนสองรูปเคยกล่าวไว้ ตนเองคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้ปลงตกแล้ว อย่าได้ไปใส่ใจต่อผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีข้า ด่าข้า เมื่อผ่านไปอีกหลายปีค่อยมองพวกเขาอีกครั้ง บรรดาผู้ที่ด่าข้า เตะข้า ถีบข้า อีกสามสิบปีให้หลัง แม้ข้ากระดกบั้นท้ายให้ พวกเขาก็คงเตะไม่ไหวแล้วกระมัง
ระหว่างที่อวิ๋นเยี่ยกำลังคิดเหลวไหลไร้สาระ เสียงกรนของเฉิงฉู่มั่วที่ดังอยู่เป็นเพื่อนก็ทำให้เขาผล็อยหลับไปท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น
เสียงผิวปากดังกังวานทำให้อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วตื่นขึ้น เห็นเพียงเนินเขาข้างหน้ามีคนกลุ่มใหญ่ถือดาบและหอกอยู่ในมือ กำลังมุ่งหน้าเข้ามา ชายหลายคนที่ขี่ม้าในกลุ่มคนนั้นตะโกนเสียงดังพุ่งลงมาจากภูเขา ดาบยาวในมือสะท้อนแสงวิบวับภายใต้แสงแดดที่ส่องประกาย
โจรป่า อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วหันมามองหน้ากัน มีโจรป่าที่กล้าปล้นกองทัพด้วยหรือ คนเหล่านี้ไม่เห็นทหารม้าหนึ่งพันคนที่อยู่ข้างหน้าหรือ
“เสี่ยวเยี่ย ไม่มีทหารม้า ไม่รู้ว่าทหารม้าไปไหนหมด ให้ตายสิ ตอนนี้พวกเรากลายเป็นกองคาราวานไปแล้ว” เฉิงฉู่มั่วยืนอยู่บนรถเทียมวัว มองไปที่ด้านหน้าแล้วจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ทหารม้าเหล่านั้นหายไปไหนแล้ว บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าพวกเขาเป็นองครักษ์ที่ต้องอารักษ์ขาท่านผู้บัญชาการใหญ่ หากท่านผู้บัญชาการใหญ่เป็นอะไรไป พวกเขาอย่าได้หวังมีชีวิตอยู่ต่อเลย” อวิ๋นเยี่ยก็หันหลังกลับมองหาทหารม้าซึ่งก็ไม่เห็นแม้แต่เงาจริงๆ โจรป่าเหล่านั้นยังคงมุ่งหน้าบุกเข้ามาทางด้านหน้าของกองกำลัง แม้ว่าจะไม่มีทหารม้า ทหารเสริมเหล่านี้ก็เป็นชายที่ผ่านสมรภูมิมาแล้ว อยู่ภายใต้คมหอกคมดาบไม่ใช่เพียงปีหรือสองปี เมื่อเห็นโจรป่าที่บุกมาอย่างโกลาหลก็ไม่ลนลานแม้แต่น้อย เพียงแค่ชักดาบออกของตัวเองออกมาพร้อมกัน และคุ้มกันโดยให้กองกำลังอยู่ด้านข้างหลัง
เสียงอื้ออึงที่คุ้นเคยดังขึ้น เห็นเพียงด้านหลังของโจรป่าที่เป็นหัวหน้ามีหอกยาวอันหนึ่งพุ่งฝ่าเข้ามา ทำให้เลือดของเลขาฯกองกำลังสาดกระเด็น ตัวคนนั้นก็ลอยขึ้นฟ้าด้วยแรงกระแทกอันทรงพลัง ม้าศึกที่ไร้คนควบคุมก็ยังพุ่งไปข้างหน้าต่อ
โจรป่าที่เหลือตะโกนเสียงดังขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังตะโกนอะไร ดูเหมือนจะพูดประมาณว่าพี่ใหญ่อะไรทำนองนั้น เฉิงฉู่มั่วไม่แม้แต่จะสวมเกราะ ก็คว้าดาบยาวของเขากระโดดลงจากรถเทียมวัว ไม่สนใจอวิ๋นเยี่ยที่นั่งด่าอยู่ข้างหลังเลยแม้แต่น้อย
ลูกธนูยังคงถูกยิงไม่หยุด ทุกครั้งที่เสียงเอ็นธนูดังขึ้นก็จะพรากชีวิตไปหนึ่งชีวิต พวกมือสมัครเล่นเหล่านี้มีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของทหารเสริมได้ เฉิงฉู่มั่วและหัวหน้าองครักษ์ของเหล่าหนิวสองคนเดินถือดาบยาวคนละเล่ม เดินเข้าไปในกลุ่มโจรป่าฟาดฟันไม่เลือก ทหารเสริมที่อยู่โดยรอบใช้ธนูยิงโจรป่าที่หนีกระจัดกระจายจนตายหมดทุกคน
ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป โจรป่าก็ถูกฆ่าจนหมดสิ้น นอกจากทหารเสริมสองคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วก็ไม่มีอะไรสูญเสีย
ขณะนับจำนวนคน ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้น “หมาน้อยไปไหนแล้ว” ทุกคนจึงพบว่าหมาน้อยที่เมื่อครู่ถูมือรำหมัดเตรียมจะฆ่าคนได้หายตัวไป ทหารเสริมชราคนหนึ่งรีบไปเปิดพลิกศพในกองศพดู คิดว่าหมาน้อยถูกฆ่าตายแล้ว เมื่อพลิกดูทุกศพแล้ว็ไม่มีร่องรอยของหมาน้อย คนตัวเป็นๆ จะบอกว่าบินหนีไปหรืออย่างไร
“ไม่แน่ว่าจะหลบหนีไปก่อนที่จะสู้กันก็ได้ คนขี้ขลาดเช่นนี้ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” มีคนในกลุ่มแสดงความเห็นที่ต่างออกไป
ทหารเสริมชราหันหน้าไปค้อนขวับใส่ผู้ที่พูดจนนัยน์ตาดำแทบจะหายเข้าไปในนัยน์ตาขาวแล้ว ชั่วพริบตากองกำลังทหารเสริมก็เงียบงัน เกียรติศัพท์ของทหารเสริมชราท่านนี้ก็ยังคงโด่งดังมากในกองกำลังนี้
“ส่งหน่วยข่าวกรองออกไปในระยะสามลี้ ค้นหาหมาน้อยในบริเวณโดยรอบ” ทหารเสริมชราหันไปสั่งทหารเสริมที่ขี่ม้า ก็มีทหารม้าห้าคนกระจายตัวออกไปโดยรอบในทันใด
ฉวยโอกาสขณะที่กำลังค้นหาคน อวิ๋นเยี่ยเดินมาที่ข้างรถม้าของหลี่จิ้ง สอบถามหลี่จิ้งเกี่ยวกับที่อยู่ของทหารม้าพันนาย
หลี่จิ้งนั้นนอนซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มขนสัตว์ พูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างเฉื่อยชาว่า “ทหารม้าหนึ่งพันคนนั้นข้าสั่งให้พวกเขาไปรอฟังคำสั่งอยู่ที่เขตอวิ๋นจงแล้ว เจ้ายังจะถามอะไรอีก”
“ผู้บัญชาการใหญ่ ท่านไล่ทหารคุ้มกันไปแล้ว แล้วจะรับประกันความปลอดภัยของกองกำลังพวกเราได้อย่างไร นอกจากนี้ในกองกำลังนี้ยังมีท่าน ถังเจี่ยน นักพรตซุนและพวกสวี่จิ้งจง หากเกิดอะไรขึ้น แม้ข้าตายหมื่นครั้งก็ไม่สามารถไถ่โทษได้” อวิ๋นเยี่ยโกรธจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว “หากท่านอยากจะไล่ทหารคุ้มกันออกไป ก็น่าจะบอกข้าสักคำ คราวนี้ยังดีที่เป็นแค่โจรป่า หากเป็นชนเผ่าทูเจวี๋ยที่เหลือรอดอยู่ เช่นนั้นกองกำลังก็จะตกอยู่ในอันตราย”
“มีอันตรายบ้าอะไรกัน เขตอวิ๋นจงสิจึงจะเป็นอันตราย เมื่อครั้งที่ข้ายกทัพออกไปที่ทุ่งหญ้า ได้โยกกองกำลังของเขตอวิ๋นจงออกมาจนหมดสิ้น ตอนนี้ปล่อยให้เป็นเมืองที่ว่างเปล่า หากชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะวันตกต้องการแย่งชิงดินแดนและบังเอิญยึดได้เขตอวิ๋นจง นี่สิจึงเป็นเรื่องใหญ่ แค่กองกำลังเล็กๆ ของเจ้ามีหรือจะสำคัญกว่าเขตอวิ๋นจง ข้าเห็นทหารเสริมที่เจ้าจ้างมาแต่ละคนเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ โจรป่ากลุ่มเล็กๆ ควรจะไม่อยู่ในสายตาเจ้าจึงจะถูก มาพูดพร่ำเพ้ออะไรอยู่ข้างรถข้าอยู่ได้ รีบไสหัวไป เพิ่งจะได้หลับกลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีก ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจคนชราบ้างเลย” ปากก็บ่นพึมพำๆ คำพูดเหล่านี้ แต่ตัวนั้นได้มุดกลับเข้าไปในกองผ้าห่มแล้วนอนต่อ
หมาน้อยที่อยู่บนเนินเขากำลังพยายามส่งเสียงตะโกน กวักมือ อวิ๋นเยี่ยและเฉิงฉู่มั่วขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังเนินเขา เมื่ออ้อมเชิงเขาไป อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ด้านหลังของเนินเขามีกองศพอยู่เกลื่อนกลาด ดูการแต่งกายแล้วเป็นพ่อค้าชาวเปอร์เซีย ทั้งยังมีหญิงชาวเปอร์เซียร่างเปลือยเปล่าสองสามคนนั่งขดตัวสั่นเทาไปทั้งร่างอยู่ด้วยกัน
มีชายที่ร่างอาบเลือดคนหนึ่งนอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหมาน้อย ถูกหมาน้อยเหยียบปากไว้ส่งเสียงอู้อี้ๆ พยายามพูดอะไรบางอย่าง
ไม่ต้องบอกอวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจแล้ว โจรป่าเหล่านี้เพิ่งปล้นฆ่ากองคาราวานเปอร์เซียและพวกมันก็พบพวกอวิ๋นเยี่ยเข้า ด้วยความคิดที่ว่าปล้นหนึ่งคนก็ต้องเหนื่อยปล้นสองคนก็ต้องเหนื่อยเช่นเดียวกัน จึงตั้งใจจะกำจัดพวกอวิ๋นเยี่ยด้วยจะได้ร่ำรวยในคราวเดียว คิดไม่ถึงว่าจะเจอของแข็งเข้าให้อย่างแรง เมื่อกองกำลังทั้งหมดถูกกำจัดทิ้ง หมาน้อยนั้นไล่ตามโจรป่าที่วิ่งหนีมาคนหนึ่ง จึงได้พบที่นี่เข้า
อวิ๋นเยี่ยส่งสัญญาณให้หมาน้อยยกเท้าออกไป ตั้งใจจะถามโจรป่าคนนี้เสียหน่อย หมาน้อยไม่ได้ยกเท้าหนีและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ปากของผู้ชายคนนี้สกปรกมาก หากข้าเอาเท้าออก เขาจะล่วงเกินท่านได้ จะให้ท่านถูกโจรป่าลบหลู่ดูหมิ่นได้อย่างไร”
“ไม่เป็นไร หมาน้อย ถ้าหากเขากล้าใช้คำหยาบแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะถลกหนังเขาเอง” อวิ๋นเยี่ยพูดพลางขมวดคิ้ว
ทันทีที่เท้าของหมาน้อยยกออกมา ชายคนนั้นก็หมอบกราบบนพื้นโขกศีรษะขอให้ไว้ชีวิตเขาไม่ยอมหยุด