บทที่ 265 เชื่อมั่นเสมอ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 265 เชื่อมั่นเสมอ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน มู่หรงเสวี่ยก็กระโดดโล่นเต้นอยู่ในศาลาราวกับคนบ้า

“เสี่ยวไป๋ ข้าทำสำเร็จแล้ว! ฮ่า ฮ่า ฮ่า” มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาพร้อมกับขวดยาและอุ้มเสี่ยวไป๋ที่กำลังหลับอยู่ขึ้นมาเขย่าอย่างบ้าคลั่ง

“ข้าเห็นแล้ว ปล่อยได้แล้ว! ข้าเวียนหัว” เสี่ยวไป๋ที่กำลังฝันอยู่แล้วอยู่ดีๆ มู่หรงเสวี่ยก็มาจับมันเขย่าจนสมองแทบหลุด

มู่หรงเสวี่ยวางเสี่ยวไป๋ลงแต่ความสุขของเธอไม่ได้ลดน้อยลงเลย เธอยื่นขวดยาในมือให้เสี่ยวไป๋ที่ยังเขย่าหัวตัวเองอยู่ “ดูสิ นี่คือยาล้างไขกระดูกที่ข้าปรุงมา…”

เสี่ยวไป๋รับขวดยามาพร้อมด้วยสายตาที่คาดหวังของมู่หรงเสวี่ย แล้วดึงจุกฝาขวดออกแล้วจู่ๆกลิ่นหอมของยาก็ถูกปล่อยออกมา

ยาเม็ดกลมแวววาวให้ความรู้สึกที่น่าพอใจอย่างมาก

“นี่เป็นยาเกรดสูงหรือเปล่า?” เสี่ยวไป๋เก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ เดิมทีมันคิดว่าแค่มู่หรงเสวี่ยปรุงยาในระดับต่ำๆได้ก็ถือว่าดีแล้วแต่ไม่คิดว่าเธอจะปรุงยาในระดับเกรดสูงแบบนี้ได้

“ใช่สิ ข้าเองก็ตื่นเต้นที่ศักยภาพของหวู่เสี่ยวเหมยน่าจะเพิ่มขึ้นได้แล้ว ข้าจะเอาไปให้นาง!” มู่หรงหยิบขวดยากลับไปอย่างมีความสุขและกำลังที่จะแวบออกไป

“เดี๋ยวก่อน!” เสี่ยวไป๋ร้อง

มู่หรงหยุด หันมาถามด้วยความสับสน เธอใช้เวลาอยู่ในมิติลับหลายเดือนแล้ว แต่ข้างนอกก็คงจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางทีทุกคนอาจจะหลับไปแล้ว เธออยากที่จะแวบออกไปเงียบๆ “มีอะไรงั้นเหรอ?”

“ถึงแม้ยาล้างไขกระดูกจะช่วยเพิ่มศักยภาพได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่อันตรายนะ…”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไป “เจ้าหมายความว่าไง?”

“ไม่ใช่ทุกคนที่ทนรับความเจ็บปวดของยาล้างไขกระดูกได้ ยาจะขจัดสิ่งสกปรกภายในและของเสียทั้งหมดในร่างกายและจิตใจและทำความสะอาดเส้นลมปราณอย่างทั่วถึงซึ่งจะทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้นและเพิ่มความฟิตของร่างกายทั้งหมด มันเหมือนกับการแยกร่างคนทั้งร่างแล้วเอามาจัดเรียงใหม่…พูดง่ายๆนะ จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทางร่างกายซะก่อน…” เสี่ยวไป๋พูด หวู่เสี่ยวเหมยอ่อนแอมากจนมันเป็นห่วงจริงๆว่าเธออาจจะทนรับไม่ไหว

มู่หรงเสวี่ยกำขวดยาในมือแน่นเพราะคิดว่าแค่กลืนเข้าไปก็คงจะโอเคแล้ว อย่างที่คิดไว้เลย มันไม่มีอะไรที่จะดีเลิศขนาดนั้นหรอก “ข้ารู้แล้ว ข้าจะบอกให้เสี่ยวเหมยเลือกด้วยตัวเองแล้วกัน…”

หลังจากที่แวบออกมาจากมิติลับ มู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่าจะได้เจอทุกคนที่ยังอยู่ในห้องและไม่ยอมกลับไปพักที่ห้อง สายตาทุกคู่จ้องมาที่มู่หรงเสวี่ย

“ทำไมพวกเจ้ายังไม่กลับไปพักอีกล่ะ?” มู่หรงเห็นสายตาของทุกคนแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมา นี่เธอทำอะไรผิดหรือเปล่า?! ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แล้วทำไมทุกคนถึงมองเธอด้วยสายตาแปลกๆทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้นมาล่ะ

“นี่เจ้าโง่หรือเปล่า?”

“อยู่ดีๆก็เข้าไปในมิติลับ ไม่คิดจะบอกเหตุผลพวกเราหน่อยเหรอ?!!”

“อยู่ดีๆก็ลุกหนีไปกลางวงแบบนั้น…”

“ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าจะไปตามหายังไงด้วย”

“ไอ้สมองหมูเอ๊ย!”

“โง่เอ๊ย!”

“ไอ้นกโง่!”

“…”

มู่หรงเสวี่ยที่ถูกทุกคนล้อมรอบอยู่ไม่ได้ตอบโต้อะไรอยู่นาน หลังจากเวลาผ่านไปนานเธอก็พูดออกมา “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่นกโง่…”

“เงียบไปเลย! เจ้านกโง่” คนทั้งหกพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน!

มู่หรงเสวี่ยทรุดลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกอดเข่าตัวเอง เธอมองไปที่ทุกคนด้วยสายตาเศร้าสร้อย “พวกเจ้าไม่รักข้าแล้ว พวกเจ้าทุกคนมันใจร้าย…”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระโดดเข้ามาเขกหน้าผากเธอ ไม่นานเฟิงจื่อหลิงก็ดึงเธอลุกขึ้นมา “อย่าทำเสียงดัง!”

“ถ้าพวกเจ้าไม่สร้างปัญหา ข้าก็ไม่ทำเสียงดังหรอก!” มู่หรงเสวี่ยทำหน้าตาบูดบึ้ง

“ไปพักได้แล้ว! พรุ่งนี้ข้าต้องไปลงชื่อ!” เฟิงจือหลิงพูด

“เดี๋ยว!”

ทุกคนหันกลับมามองมู่เทียนอีกครั้งและสายตาของทุกคนก็ดุดันมากราวกับว่าถ้าเธอพูดอะไรที่ไม่เข้าหู พวกเขาก็พร้อมที่จะโจมตีเธอ

“โอ้ ใช่แล้ว! เจ้าพวกโหดร้ายข้ามีอะไรจะบอก…” มู่หรงเสวี่ยิ้มพร้อมทำหน้าทะเล้น

ไม่ไหวแล้ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว!

เฟิงจือหลิงดึงหน้ามู่เทียนทั้งสองข้าง

“หื้อหื้อ…เจ็บ…มาก…ปล่อย…”

หลังจากนั้นสักพัก เฟิงจือหลิงก็ปล่อยมือ “เจ้าพูดปกติได้ไหม?”

น้ำตาของมู่หรงเสวี่ยไหล่ลงมาอาบแก้มพร้อมใบหน้าที่แดงจากการถูกหยิก มองไปที่ทุกคนโดยไม่สนใจความโหดร้ายนี้

เฟิงจือหลิงเข้าใจหัวใจตัวเองจึงรีบหลบสายตาทันทีแต่หัวใจที่เต้นรัวคงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะสงบลง

เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่สนใจความเศร้าสร้อยของเธอ มู่หรงเสวี่ยก็ทำปากเบี้ยวและหยิบขวดยาออกมาอย่างไม่เต็มใจนักพร้อมทั้งพูดออกไปว่า “นี่คือยาล้างไขกระดูกที่ข้าปรุงในมิติลับ พวกเจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร? มันคือ…”

เธอเตรียมคำประกาศที่จะเอามาพูดยาวเหยียดเพื่อที่จะอธิบายผลงานชิ้นเอกของเธอ ใครจะไปรู้ว่าเพียงแค่ทันทีที่เธอพูดคำว่า “ยาล้างไขกระดูก” ออกไป ขวดยาในมือของเธอก็ถูกแย่งไปทันที พวกเขาล้อมวงกันเข้ามาอีกครั้ง เหมือนกับภาพเหตุการณ์ครั้งก่อนและครั้งนี้ก็ไม่รวบเธออีกเหมือนเดิม

แต่เธอก็มองจากด้านข้างและมั่นใจว่าเห็นท่าทางตื่นเต้นของหวู่เสี่ยวเหมย ความโดดเดี่ยวก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปแล้ว เธอรู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้วที่เธอปรุงยานี้ออกมาจากหัวใจ ตราบใดที่เธอสามารถแก้ปมในใจของเธอได้

หลังจากเวลาผ่านไปนาน ทุกคนก็สงบลงและมองมาที่มู่เทียนด้วยสายตาซาบซึ้ง ทุกคนรู้ว่ายานี้ต้องเป็นยาสำหรับพวกเขาแน่ๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าตื้นตันจริงๆ ต่อไปข้าคงไม่ถูกเรียกว่าไอ้โง่อีกแล้วนะ”

ก่อนที่จะพูดจบ ทุกคนก็พุ่งเข้ามากอดเธออย่างรุนแรง “ขอบคุณมากนะมู่เทียน…”

“มู่เทียน ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะรักเจ้าตลอดเวลาเลย”

แล้วก่อนหน้านี้ไม่ได้รักหรือไง?!!

“มู่เทียน เจ้าคือพระเจ้าของข้าจริงๆ ข้าจะจุดธูปสามดอกไหว้เจ้าทุกวันเลย!”

มู่หรงเสวี่ยสะดุด รู้สึกว่านี่จะแช่งให้เธอรีบตายหรือยังไง?! ทำไมต้องมากราบไหว้กันด้วย?!!

“มู่เทียน…”

“มู่เทียน…”

ทุกคนกอดเธอแน่น มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงน้ำเปียกๆที่หยดลงมาที่ไหล่ของเธอด้วย ช่างมันเถอะ ยกโทษให้พวกเขาที่ปากไม่ดีไปเถอะ ยังไงซะหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นของเพื่อน

หลังจากผ่านไปสักพัก ทุกคนก็ปล่อยเธอ และสีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเขินอายที่ตื่นเต้นกันเมื่อกี้

“แต่พวกเจ้ารู้ถึงอันตรายหลังจากที่กินยายาล้างไขกระดูกเข้าไปใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ทุกคนต่างก็พยักหน้า ยาล้างไขกระดูกเป็นยาที่ทุกคนในทวีปเฟิงหยุ่นรู้จักดีแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้มันได้ พูดได้ว่ายายาล้างไขกระดูกเกือบที่จะสูญสิ้นไปแล้ว ปัจจุบันนี้ในทวีปเฟิงหยุ่นมีนักเล่นแร่แปรธาตุในระดับ 7 อยู่เพียงไม่กี่คนและพวกเขาก็อาจจะปรุงไม่สำเร็จด้วยซ้ำ

ดังนั้นยายาล้างไขกระดูกจึงมีราคาสูงเสียดฟ้า แม้แต่ตระกูลใหญ่ๆอย่างตระกูลเฟิงก็ยังมีเพียงแค่สองเม็ดเท่านั้นซึ่งถือเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่ถูกเก็บรักษาไว้ด้วยผู้เชี่ยวชาญ

“ข้าใช้มันได้จริงๆงั้นเหรอ?” ดวงตาของหวู่เสี่ยวเหมยที่มองมู่เทียนเต็มไปด้วยความหวัง พวกเขาโชคดีมากจริงๆที่ได้มาเจอเขา

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ข้าปรุงมาให้เจ้าโดยเฉพาะ ถึงแม้จะทำพลาดไปหลายครั้ง แต่โชคดีที่สุดท้ายก็ทำสำเร็จ…เสี่ยวเหมย ข้าได้ยินเสี่ยวไป๋บอกว่าความเจ็บปวดไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะทนรับได้ แล้วเจ้าได้…ตัดสินใจไว้หรือยัง?” พูดตามตรงเธอกังวลมาก

“ข้าอยากที่จะแข็งแกร่ง!” ตราบใดที่มันทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น เธอก็พร้อมจะทนไม่ว่ามันจะเจ็บปวดมากแค่ไหน

ความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่ความแข็งแกร่งจากการฝึกตนแต่เป็นความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ มู่หรงเสวี่ยมั่นใจมากว่าหวู่เสี่ยวเหมยจะต้องเบ่งบานได้อย่างสดใส

“แล้วพวกเจ้าล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถามหลินหนานและคนอื่นๆ ถึงแม้คนอื่นๆจะไม่ได้แย่เท่าหวู่เสี่ยวเหมยแต่พวกเขาก็อยู่แค่ในระดับกลางๆเท่านั้น

“เสี่ยวหลินกับข้าไม่ต้องการหรอก!” เฟิงจือหลิงบอกว่ายายาล้างไขกระดูกมีผลกับเขาและน้องสาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เดิมทีพวกเขามีรากวิญญาณสวรรค์ที่คุณภาพสูงอยู่แล้ว

“พวกเราต้องการ!” หลินหนาน, จ้าวฉีและจู้หมิงมองหน้ากันและพูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “โอเค งั้นก็เข้าไปในมิติลับตอนนี้เลย ยังพอมีเวลาก่อนที่จะสว่าง ถ้าเราเข้าไปในมิติลับเราก็จะมีเวลาให้พวกเจ้าได้ใช้ยาล้างไขกระดูก!”

พี่น้องตระกูลเฟิงก็เข้าไปด้วย หลักๆก็เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ มู่เทียนและพี่น้องเฟิงจะคอยคุมกัน

เมื่อมองไปในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ พวกเขานั่งไขว่ห้างและรับยาล้างไขกระดูกมาทันที

มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่หน้าของพวกเขาด้วยความกังวล ไม่นานเธอก็เห็นว่าร่างกายของหวู่เสี่ยวเหมยเริ่มที่จะบิดและสีหน้าของเธอก็เริ่มที่จะซีดมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเองก็ซีดเช่นกัน เธอเดินเข้าไปด้วยความกังวลแต่เฟิงจือหลิงจับมือเธอไว้ “อย่าขยับ พวกเขาจะไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง…”

“โอ๊ย!”

พวกเขาอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

เธอกัดริมฝีปากและสายตาจ้องไปทุกคนโดยไม่คลาดสายตา แต่ก็เข้าใจว่าเธอจะเข้าไปรบกวนพวกเขาไม่ได้ เธอเพียงแค่จับมือเฟิงจือหลิงไว้แน่นแต่ก็สงบอารมณ์ไม่ได้เธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

เฟิงจือหลิงรีบดึงมู่เทียนขึ้นและลากไปทางน้ำตกทันที

เฟิงจือหลินพูดไม่ออกและมองตามหลังพี่ชายไป จะให้เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวอยู่ตรงนี้งั้นเหรอ โอเคเหรอ?!! ผู้ชายสองคนวิ่งหนีไปแล้ว ปล่อยให้เธอที่เป็นผู้หญิงเฝ้าดูฉากที่เจ็บปวดนี้คนเดียว นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!!

มู่หรงเสวี่ยถาม “ทำไมเจ้าถึง ข้าอยากที่จะปกป้องพวกเขา…” เธอพูดออกมาและอยากที่จะรีบวิ่งกลับไป

เฟิงจือหลิงไม่ปล่อยเธอแต่พูดออกมาเสียงเบา “ไม่ต้องกลับไปหรอก ถึงแม้การกินยายาล้างไขกระดูกจะเจ็บปวดอย่างมาก แต่มันก็ไม่ถึงกับตายหรอก ไม่ต้องห่วง พวกเขาทุกคนจะต้องโอเค!” เขาไม่เข้าใจครอบครัวใหญ่แบบพวกเขาเลย

“แต่ถ้าเผื่อมี…”

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าสัญญา!” เฟิงจื่อหลิงจ้องตรงมาที่มู่เทียน!

คำพูดที่หนักแน่นทำให้มู่หรงเสวี่ยสงบลงมากหลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เห็นว่ามือของพวกเขายังจับกันอยู่ เธอสะบัดมือแต่ก็ไม่หลุดจึงพูดขึ้นมา “ปล่อยเถอะ ผู้ชายสองคนมายืนจับมือกันเนี่ยนะ แล้วเจ้าก็ไม่ได้หล่อขนาดนั้นด้วย!” เธอไม่ได้คิดอะไรมาก หลักๆก็เพราะตอนนี้เธอก็เป็นผู้ชายด้วย บางทีเมื่อกี้เธออาจจะกังวลมากเกินไป เธออยากที่จะไปดูสถานการณ์ของของหวู่เสี่ยวเหมย ดังนั้นเฟิงจือหลิงจึงกลัวว่าเธอจะไปรบกวนทุกคนดังนั้นเขาจึงลากเธอออกมา

เฟิงจือหลิงทำราวกับว่าถูกน้ำร้อนลวก เขารีบสะบัดมือมู่เทียนออกอย่างแรงแล้วก็เดินออกห่างเธอไป

ปล่อยให้มู่หรงยืนงงอยู่คนเดียว จนมู่หรงถึงกับก่นด่าอยู่ในใจ: ประสาท!

อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยก็ยังเป็นห่วงอยู่นิดหน่อย เธอเดินกลับไปหาหลินหนาน เธอไม่ได้เข้าไปใกล้แต่มองอยู่ห่างๆ สองพี่น้องเฟิงก็อยู่ไม่ห่าง

เมื่อเวลาผ่านไป นี่ก็อาทิตย์หนึ่งแล้ว มู่หรงเสวี่ยปลุกเสี่ยวไป๋ขึ้นมาถามซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หลายรอบ เมื่อเสี่ยวไป๋ตอบที เธอก็รู้สึกโล่งอก

จู่ๆพลังวิญญาณของหลินหนานก็เริ่มที่จะหมุนวนอย่างดุเดือดและร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะเปล่งแสงสว่าง มู่หรงเสวี่ยคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ดี นี่เป็นเรื่องของการพัฒนา เธอลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นและมองไปที่หลินหนานอย่างกังวลใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าพัฒนาขึ้นแล้ว!” หลินหนานพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าและพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาก็พุ่งขึ้นไปในอากาศห่างไปไกล

ส่วนคนที่เหลือก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นตามมาทีละคนๆ และลมหายใจของพวกเขาก็เริ่มที่จะแข็งแกร่งมากขึ้น

ในตอนนี้หลินหนานขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นต้นของระดับสีฟ้าแล้ว จ้าวฉีและจู่หมิงเองก็ขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นต้นของระดับสีฟ้าด้วยเหมือนกัน หวู่เสี่ยวเหมยพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก เธอขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นสูงสุดของระดับสีฟ้าได้เลยทีเดียว!

หวู่เสี่ยวเหมยตื่นเต้นมากคนกระโดดเข้ากอดมู่เทียน ดวงตาของเธอเปียกชุ่ม “มู่เทียน ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณเจ้ายังไง…”

มู่หรงเสวี่ยเองก็มีความสุขกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน “ฮ่าฮ่า เป็นพวกเจ้าเองต่างหากที่พยายามอย่างหนัก!!! นี่เป็นเรื่องที่จะต้องมีความสุขด้วย ไม่ต้องร้องไห้…” มู่หรงเสวี่ยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของหวู่เสี่ยวเหมยและพูดปลอบเธอ

หน้าของหวู่เสี่ยวเหมยเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ เธอเริ่มรู้สึกตัวและรีบลุกขึ้นอย่างเร็ว “ข้า…ข้า…คือ…”

ไม่ห่างจากนักหลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์ สีหน้าของเฟิงจือหลิงก็หม่นลง

“ยินดีด้วยนะสำหรับความก้าวหน้า คืนนี้เราจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวกันเพื่อเป็นการฉลองนะ!” มู่หรงพูดเสียงดัง

ใบหน้าของทุกคนต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ในหัวใจของหลินหนานและคนอื่นๆ มู่เทียนไม่ใช่แค่คนที่พวกเขาติดตามแต่ความเป็นเพื่อนของพวกเขามันเริ่มที่จะเติบโตขึ้นอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่เริ่มจะเปลี่ยนไป

ในตอนกลางคืน ทุกคนต่างก็ย่างเนื้อ, ร้องเพลง, เต้นรำและมีความสุขกัน จนกระทั่งทุกคนเมาและหลับไป

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่เธอจะคลายความกังวลเรื่องพ่อแม่ที่หายไปและฮวงฟูอี้ไปได้

อย่างไรก็ตามเธอก็เชื่อเสมอว่าวันที่พวกเธอจะได้พบกันจะต้องมาถึง