บทที่ 266 พร้อมที่จะสู้
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วพวกเขาก็แวบออกมาจากมิติลับ แสงแดดสาดแสงสดใส ด้านนอกถนนมีเหล่าคนขยันที่ตื่นมาจัดตั้งร้านกันแต่เช้ามากมาย
“เสี่ยวหลิงกับข้าจะกลับบ้าน แล้วพวกเจ้าค่อยไปสมัครกัน” เฟิงจือหลิงบอกว่าเขาไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว ครอบครัวของเขาคงจะเป็นห่วง เขาอยากที่จะกลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มั่นใจจึงรอต่ออีกคืน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดคือน้องสาว เฟิงจือหลินซึ่งปกติแล้วเป็นคนที่อารมณ์ร้อน แต่ช่วงนี้เธอไม่อารมณ์ร้อนขึ้นมาเลยสักครั้ง ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงนิสัยที่แท้จริงของมู่เทียนแล้ว เป็นใครจะไม่ชอบกันล่ะ
“ไปเถอะๆ!” ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยอารมณ์ดีอย่างมาก จึงโบกมืออย่างไม่ได้สนใจอะไรพร้อมพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
เฟิงจือหลิงรู้เศร้า เขาจับมือน้องสาวและลากออกไปนอกประตู พร้อมปิดประตูตามหลังดังปัง
เสียงปิดประตูดังสนั่นทำให้มู่หรงเสวี่ยมีสีหน้างงๆ เธอมองไปที่เพื่อนๆที่เหลือ “เป็นอะไรของเขาเนี่ย?! กินยาผิดมาหรือไง…”
หลินหนานและคนอื่นๆต่างก็มีสีหน้าสับสนเหมือนกัน!!!
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ทุกคนก็ตรงไปที่สำนักหลงหยู่ ซึ่งเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอมากมายต่างก็เร่งฝีเท้าไปในทิศทางเดียวกันซึ่งต่างก็มีเป้าหมายเดียวกับพวกเธอ นั่นคือเพื่อที่จะเข้าไปสมัครคัดเลือกเข้าสำนักหลงหยู่
มู่หรงและคนอื่นๆต่างก็รีบเร่งฝีเท้าเช่นกัน เมื่อมาถึงหน้าประตูสำนักหลงหยู่ พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกใจไปกับภาพที่อยู่เบื้องหน้า
จำนวนผู้ที่เข้าสมัครเยอะมากกว่าที่พวกเธอคิดไว้มาก ที่หน้าประตูเต็มไปด้วยฝูงชนมากมายและมีคนมากมายที่ต้องเดินทางกันมาไกลมากด้วย
ประตูของสำนักหลงหยู่กว้างขวางมาก มีรูปสลักมังกรและนกฟีนิกซ์สองตัวโฉบอยู่บนเสาหินของประตูทั้งสองด้าน พวกมันดูราวกับมีชีวิต ราวกับว่าพวกมันกำลังจะบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาของมังกรและนกฟินิกซ์ถูกประดับด้วยหินแห่งจิตวิญญาณที่เปล่งประกายแพรวพราว ที่ด้านขวาของประตูมีแผ่นโลหะที่ถูกสลักไว้ด้วยคำสี่คำ “สำนักหลงหยู่”!
ที่ประตูมีแถวของโต๊ะมากมายที่จัดไว้ในแนวนอน ข้างๆเป็นเหล่าศิษย์นับสิบของสำนักหลงหยู่ในชุดนักบวชสีขาวนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนและข้างๆพวกเขาก็มีหินคริสตัลก้อนใหญ่ที่ใช้สำหรับการทดสอบวางอยู่ มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าทุกคนที่เดินเข้ามาจะวางมือไว้บนคริสตัลและก็จะมีแสงสีแตกต่างกันแวบขึ้นมา
หลินหนานและคนอื่นๆพร้อมด้วยมู่หรงก็รีบเข้าไปต่อคิวเหมือนคนอื่นๆ ถึงแม้จะมีคนมากมายแต่เสียกลับไม่ดังเท่าไร
มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆและเห็นว่าในแต่ละจุดก็ยังมีเหล่าอาจารย์จากสำนักหลงหยู่ยืนอยู่อีกมากมาย ตอนแรกพวกเธอพยายามที่จะสร้างความประทับใจกับเหล่าอาจารย์ด้วยการมาตั้งแต่เช้าแต่ก็ไม่คิดว่าพอมาถึงจะเจอคนมาพร้อมกันเยอะแล้วขนาดนี้ พวกเธอมาอยู่ที่ด้านหลังของแถวเรียบร้อยแล้วและแสงแดดก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้พวกเธอทุกคนจะเป็นผู้ฝึกตนที่ร่างกายไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเริ่มที่จะใจร้อนกันขึ้นมาเล็กน้อยเพราะต้องยืนตากแดดกันอยู่นาน
มู่หรงรีบใช้พลังแห่งจิตวิญญาณสร้างบาร์เรียขึ้นมาทันที หลินหนานและคนอื่นๆต่างก็เข้ามาหลบอยู่ด้วยกัน ความรู้สึกเย็นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสบายขึ้นมาได้หน่อย
หลินหนานหันกลับมามองด้วยความประหลาดใจแล้วจึงพูดออกมาด้วยเสียงเบา “มู่เทียน อย่าเอาพลังมาเสียเปล่าสิ เดี๋ยวเจ้าต้องทดสอบอีกไม่ใช่เหรอ?”
มีหลายคนที่นี่ที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้แต่ในตอนนี้ไม่มีใครอยากที่จะเปลืองพลังแห่งจิตวิญญาณเพราะการทดสอบเกี่ยวพันกับเรื่องที่ว่าจะสามารถเข้าสำนักหลงหยู่ได้หรือเปล่า ถึงแม้มันจะไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมาก เป็นเพียงพลังเล็กน้อยเท่านั้นแต่พวกเขาก็ยังไม่อยากที่จะเปลืองพลังอยู่ดี เพราะยังไงซะถ้าพวกเขาทำพลาดในปีนี้ก็ต้องรอไปจนถึงปีหน้าเลยทีเดียว
มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ไม่เป็นไรหรอก นี่แค่เรื่องเล็กเองสำหรับข้า!” มันเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับเธอจริงๆ นี่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ยังไงซะเธอก็อยู่ในระดับสีม่วง
หลินหนานและคนอื่นๆเข้าใจว่าเธอโอ้อวดจึงไม่ได้เตือนอะไรอีก
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เปิดเผยระดับการฝึกตนของตัวเองเพราะเรื่องในป่าแห่งความตายยังไม่ผ่านไปเลย ด้วยวัยอย่างเธอมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ อีกอย่างหลังจากตอนนั้นก็เดาว่าเธอคงจะสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นอีกมาก เธอเพิ่งจะอยู่ในระดับสีม่วงขั้นต้นด้วย อย่างไรก็ตามจากที่เฟิงจือหลิงบอก ถึงแม้จะมีคนในระดับสีม่วงอยู่ไม่มาก แต่ในทวีปเฟิงหยุ่นมีคนนับร้อยแต่ก็ยังไม่มีใครผ่านขึ้นมาถึงระดับสีม่วงได้เลย
ดังนั้นเธอจึงกดระดับการฝึกตนของตัวเองไว้เพียงแค่ระดับสูงสุดของสีฟ้าเท่านั้น เหมือนกับของหวู่เสี่ยวเหมย
มู่หรงเสวี่ยใช้พลังจิตเพื่อต้านทานความร้อนของแสงแดดที่กระทบมาโดนคนอื่นๆโดยตรง อาจารย์มักจะรับรู้เรื่องกิจกรรมของพลังแห่งจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็วและแน่นอนว่าเขาเองก็รับรู้ได้ เขาจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยแล้วก็เคลื่อนสายตาไป เขามองหน้าเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่จากระยะไกลๆ ชายที่สวมหน้ากากสีเงินกำลังนั่งอยู่บนต้นไม้พร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
นี่ก็เกือบที่จะบ่ายสองแล้ว หลายคนก็เริ่มที่หิวแล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะบ่นอะไรออกมา!
เพียงอีกไม่กี่คนก็จะถึงคิวของมู่หรงเสวี่ยแล้ว
ในตอนนี้มีรถม้าสุดหรูขับเข้ามาจากไกลๆ รถม้าได้รับการตกแต่งไว้อย่างหรูหรา บนรถถูกตกแต่งไว้ด้วยคริสตัลและทองซึ่งเปล่งประกายสดใส
ด้านนอกของรถม้าก็มีองค์ลักษณ์คอยคุ้มอยู่ด้วยห้าคน ระดับการฝึกตนของพวกเขาต่างก็อยู่ในระดับสีฟ้ากันทุกคน
เมื่อรถหยุดลง เหล่าองค์ลักษณ์ก็ยกม่านขึ้นและก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้น ภายในคือหญิงสาวสวยพร้อมใบหน้าที่ละเอียดอ่อน เธอน่าจะอายุประมาณ 16 แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ดอกตูมกระจุกเป็นวงกลมบนกระโปรง เธอราวกับเป็นนางเอกในนิยายที่หลุดออกมาจนทำให้หัวใจของทุกคนหยุดเต้น
เด็กสาวก้าวลงมาจากรถภายใต้การดูแลของเหล่าองค์ลักษณ์และทุกท่วงท่าของเธอก็ดูมีเสน่ห์อย่างมาก
“องค์หญิงเจ็ดนิ!”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ข้างๆนางก็คือเหล่าอัศวิน แถมแต่ละคนก็ได้รับการฝึกมากอย่างดีด้วย ทุกคนอยู่ในระดับสีฟ้ากันหมดเลย!”
“ว่ากันว่าองค์หญิงเจ็ดเป็นคนโปรดเลยและระดับการฝึกตนของนางก็แข็งแกร่งมากๆด้วย ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียวแต่ระดับการฝึกตนของนางก็ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดของระดับต้นด้วยนะ…”
“พระเจ้า เมื่อกี้องค์หญิงมองมาทางข้าด้วย…”
“ออกไปจากที่นี่เถอะแล้วอย่าทำตัวเองขายหน้าด้วย…”
“…”
เหล่าจอมยุทธ์ที่กำลังต่อแถวกันอย่างเงียบเชียวก่อนหน้านี้ เพราะการมาถึงขององค์หญิงเจ็ด พวกเขาจึงเริ่มที่จะซุบซิบกันแล้ว พวกเด็กหนุ่มต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างมาก ในระหว่างที่เหล่าเด็กสาวต่างก็รู้สึกอิจฉาไปตามๆกัน เมื่อมีคนที่โดดเด่นขนาดนี้ คนอื่นๆไม่เพียงแค่ชื่นชมแต่อิจฉาด้วย
ถึงคิวของมู่หรงเสวี่ยพอดีและทันทีที่เธอกำลังจะลงทะเบียน หวู่เทียน หัวหน้าอัศวินขององค์หญิงเจ็ดก็เดินมาตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยและผลักเธอกระเด็นออกไป
มู่หรงเสวี่ยที่เดิมทีกำลังจะลงทะเบียนแต่อยู่ดีๆก็ถูกผลักกระเด็น ที่ไหล่ของเธอยังมีรอยไหม้เจ็บๆอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พลังแห่งจิตวิญญาณ ถ้าหลินหนานไม่รับเธอไว้ ก็เกรงว่าเธอคงจะล้มลงไปกองกับพื้นแน่ๆ
เธอลุกขึ้นมายืนตัวตรงพร้อมด้วยสายตาเย็นชาและถามออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าจะทำอะไรเนี่ย?!!”
อัศวินหวู่เทียนมองมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาดูถูกและไม่สนใจเธอ ในสายตาของเขา ไม่มีใครสำคัญไปกว่าองค์หญิงของเขาแล้ว
มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆและเห็นว่าไม่ว่าจะเหล่าศิษย์หรืออาจารย์ที่กำลังมองอยู่ไกลๆต่างก็ดูเหมือนจะเฉยเมยและไม่คิดที่จะเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้ด้วย
เธอยิ้มแสยะ พร้อมยกเท้าและรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณในทันทีแล้วเตะไปที่ก้นของอัศวินหวู่เทียน ตอนที่หวู่เทียนกำลังจะเชิญให้องค์หญิงมาลงทะเบียนที่ด้านหน้าหน้า มู่หรงเสวี่ยก็เตะออกไปแล้ว!
รอบๆเกิดเสียงหัวเราะดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า”
หวู่เทียนลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโมโหและแวบประกายอาฆาตขึ้นมา!
“บ้าเอ๊ย! อยากจะตายหรือไง”
“อืม!” มู่หรงมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูก สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเยือกเย็น เธอจะไม่ยอมให้คนอื่นมารังแกเด็ดขาด! “ถ้าเจ้าอยากที่จะมีเรื่อง ข้าก็จะจัดให้เอง แต่อย่าไปร้องไห้ขี้มูกโป่งฟ้ององค์หญิงของเจ้าซะล่ะ!”
หวู่เทียนมองไปในทิศทางขององค์หญิงและเห็นว่าสายตาขององค์หญิงเย็นชาอย่างมาก หัวใจของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีและเริ่มที่จะโกรธ “เจ้าหนู ถ้ากล้าก็มาสู้กันเลย!”
เขาลอยขึ้นไปในอากาศและชี้หอกมาทางมู่หรงเสวี่ยเพื่อที่จะท้าทายเขาอย่างเย็นชา!
รอบๆต่างก็ขยายวงเพื่อเว้นพื้นที่ทั้งสองฝั่ง
“ในรั้วของสำนักไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้…” หนึ่งในอาจารย์ลุกขึ้นยืนและร้องห้าม
หวู่เทียนไม่กล้าที่จะลบหลู่สำนักหลงหยู่และเป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าห้ามมีการต่อสู้ในรั้วของสำนัก “เจ้ากล้าที่จะตามข้าออกไปนอกเมืองเพื่อที่จะสู้กันไหมล่ะ ไอ้คนไร้ค่า!”
“ทำไมจะไม่ล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยรับคำท้า!
พวกเขาวิ่งไปที่นอกเมือง เหล่าหนุ่มสาวที่กำลังต่อแถวอยู่ รวมทั้งเหล่าอาจารย์และองค์หญิงเจ็ดต่างก็รีบขึ้นรถม้าและตรงไปที่นอกเมืองเช่นกัน
ชายที่สวมหน้ากากสีเงินเมื่อกี้หายตัวไปแล้ว
“ถ้าเจ้าเสียใจ ก็คุกเข่าลงและเรียกข้าว่าท่านอาจารย์สามครั้ง ถ้าสำนึกผิดข้าก็จะปล่อยเจ้าไป!” หวู่เทียนพูดออกมาห้วนๆ
มู่หรงรีบลอยขึ้นไปในอากาศทันที “ประโยคนี้เก็บไว้พูดกับตัวเองเถอะ”
“ถ้าเจ้าไปสำนึก งั้นก็ต้องถูกลงโทษ! คอยดูเถอะ”
“ทรราชลอยมาเดี๋ยวนี้!” เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสือพุ่งออกมาและพลังที่เหนือธรรมชาติก็เข้าโจมตีไปที่มู่หรงเสวี่ย!
“น่าเสียดายจริงๆที่น้องชายคนนั้นคงจะสู้ไม่ได้เลยสักท่า…”
“ถ้ากล้าที่จะมีเรื่องการอัศวินระดับสูงของระดับสีฟ้า ก็มีแต่จะรนหาที่ตายเท่านั้นแหละ…”
“ข้าทนดูไม่ได้เลย…”
“…”
ผู้คนรอบๆต่างก็รู้สึกเสียใจแทนมู่หรงเสวี่ย มีเพียงหลินหนานเท่านั้นที่มีคิดอยู่ใจว่าระดับสีฟ้าเทียบอะไรไม่ได้กับมู่เทียนหรอก
มู่หรงเสวี่ยรีบปลดการอำพรางออกทันทีและลมหายใจที่แข็งแกร่งของระดับสีม่วงก็เผยออกมา
ด้วยสายตาที่ตกตะลึงของหวู่เทียน เธอก็ใช้การเคลื่อนไหวแรก “อัญเชิญฟินิกซ์!”
พลังวิญญาณแห่งความหวาดกลัวของหวู่เทียนพุ่งไปที่เสียงคำรามของเสือเขา ซึ่งกลืนกินพลังแห่งจิตวิญญาณที่น่ากลัวของเสือไปหมด ความเร็วของเธอไม่ได้ลดน้อยลงเลยแต่กลับเพิ่มขึ้นไปอีก เพียงพริบตาร่างของหวู่เทียนก็หนีไม่พ้น