บทที่ 267 หลานซุนในตำนาน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 267

หลานซุนในตำนาน

“อ่า” พร้อมด้วยเสียงร้องที่โหยหวน ทันใดนั้นร่างของ หวู่เทียนก็ล่วงลงมาที่พื้น ร่างของเขากลายเป็นดำเกรียม แม้ว่าเขาจะยังไม่ตายแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

ภาพที่เหตุน่าตกใจมาก ทุกคนมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ลอยลงมาช้าๆ พลังระดับสีม่วงของเธอยังไม่จางหายไป

เกิดเสียงดังไปทั่วและทุกคนก็เริ่มที่จะเอะอะ

“โอ้ พระเจ้า”

“นั่นมันระดับสีม่วงเลยนะ!”

“นี่มันสุดยอดมาก!”

“…”

มู่หรงเสวี่ยเดินมาจากระยะไกล เปล่งประกายราวกับเทพแห่งสวรรค์ ทุกคนต่างก็มองไปที่เธอด้วยความเคารพ ในดินแดนเฟิงหยุนระดับสีม่วงคือระดับสูงสุดแล้ว

จู่ๆชายที่สวมหน้ากากสีเงินก็ลงมาอยู่เบื้องหน้า มู่หรงเสวี่ย

“ดี เจ้าเหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์ของข้า!” เสียงของชายหนุ่มปนไปด้วยรอยยิ้ม!

มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชา “ช้าไม่ได้บอกว่าอยากจะเป็นลูกศิษย์ของท่าน!”

“อย่ายโสไปหน่อยเลย ข้าเกรงว่าข้าจะเป็นคนเดียวในสำนักหลงหยู่ที่สามารถจะสอนเจ้าได้! เจ้าแน่ใจเหรอว่าอยากจะปฏิเสธ?” ชายหนุ่มไม่ได้โกรธแต่พูดออกมาอย่างสบายๆ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง ชายหนุ่มสวมหน้ากากสีเงินคลุมไว้กว่าครึ่งหน้า เธอเห็นเพียงสายตาที่คมและริมฝีปากบางพร้อมลมหายใจเย็นๆเท่านั้น แล้วเธอก็มองไปที่ระดับการฝึกตนของเขา

ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เธอมองไม่เห็นระดับการฝึกตนของเขา น่าแปลก นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่ระดับสีม่วงด้วย

“ไม่ต้องมองหรอก ด้วยระดับการฝึกตนที่ไร้เดียงสาของเจ้าไม่สามารถที่จะเห็นระดับการฝึกตนของข้าได้หรอก!” ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ เจ้าหนูนี่น่าขำจริงๆ!

มู่หรงเสวี่ยทำปากเบ้ ชั่วขณะถึงกับพูดอะไรไม่ออก “ท่านหมายถึงข้าเหรอ?! ไร้เดียงสางั้นเหรอ?!!” นี่เธออยู่ในระดับสีม่วงเลยนะ รู้หรือเปล่า?!!!

“สำหรับข้าเจ้ายังไร้เดียงสา อย่าปฏิเสธเลย…” ชายหนุ่มแตะไปที่ร่างกายของเธอเบาๆ

ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้าง “ท่านทำอะไรกับข้าเนี่ย?” เธอใช้พลังจิตไม่ได้เลย

ชายหนุ่มแตะอีกครั้งแล้วมู่หรงก็กลับมาเป็นปกติทันที “อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย ข้าก็แค่พิสูจน์ว่าเจ้ายังอ่อนหัดจริงๆ”

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกราวกับว่ามีน้ำหนักเป็น 10,000 ตันมาทับอยู่ที่เธอแต่ในเวลาเดียวกัน เธอก็ยังรู้สึกตัว ชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าเธอมากจริงๆ!

“การเป็นลูกศิษย์ของท่าน แล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร?” เธอมองไปที่ปฏิกิริยาของคนที่อยู่รอบๆและก็เห็นว่าพวกเขาดูเหมือนจะให้ความเคารพผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นพิเศษ ความเคารพในสายตาของพวกเขาดูจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสายตาที่พวกเขาเพิ่งจะมองเธอ สายตาที่พวกเขามองเธอเป็นความอิจฉาล้วนๆของการที่เธออยู่ในระดับสีม่วงแต่สายตาที่มอบให้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นความเคารพบูชาอย่างยิ่งยวด

ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นคนดังจริงๆ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มก็จะไม่ได้คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะถามคำถามนี้ เขาไม่ได้อยากที่จะเป็นลูกศิษย์ของเขาด้วย เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนแรกและคนเดียวที่เขาเคยเอ่ยปากให้มาเป็นศิษย์

อย่างน้อยในดินแดนเฟิงหยุนนี้ก็จะมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่กล้ามารังแกเจ้า! แค่นี้พอหรือยัง?!” รอยยิ้มของชายหนุ่มจางหายไป!

นี่เป็นสิ่งล่อใจอย่างมาก สำหรับมู่หรงเสวี่ย สิ่งที่เธอขาดอยู่ตอนนี้คือที่พักพิง อย่างน้อยก็ก่อนที่เธอจะแข็งแกร่งขึ้น

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะไปรอเจ้าที่สำนักหลงหยู่!” หลังจากที่พูดจบ ชายหนุ่มก็หายไปทันที

เสียงเอะอะของรอบๆกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็มองมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาแห่งความอิจฉาปนเปไปหมด

“บ้าจริง! ท่านชื่ออะไร?” มู่หรงเสวี่ยร้องออกมา!

รอบๆเกิดความวุ่นวายไปหมด!

เขาพูดแบบนั้นกับผู้ใหญ่ที่น่าเคารพแบบนั้นได้ยังไงกัน?!!!

องค์หญิงเจ็ดเดินเข้ามา ผู้คนทั้งสองฝั่งถนนต่างก็รีบแหวกทางออกทันที

สายตาของมู่หรงเย็นชาเล็กน้อย เธอเพิ่งจะจัดการอัศวินของคนอื่นไป นี่มันเป็นความผิดของเธอหรือเปล่าเนี่ย?!!

“นายท่าน อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าต้องขอโทษสำหรับเรื่องอัศวินของข้าด้วย!” ราวกับเสียงนก น้ำเสียงของเธอชัดเจนและคมเข้ม

“ช่างมันเถอะ! เขาก็ได้รับการลงโทษที่สาสมไปแล้ว องค์หญิงเจ็ดไม่ต้องคิดมากหรอก” มู่หรงเสวี่ยพูด

“เจ้าชื่ออะไร ข้าขอเป็นเพื่อนกับเจ้าได้หรือไม่?”

เธอยื่นมือออกมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า มู่หรงเองก็ยิ้มตอบจางๆ “มู่เทียน!”

“ข้าฉินจือฉิน มู่เทียน ข้าขอเรียกเจ้าแบบนี้ได้ไหม?! เจ้าก็เรียกข้าว่าเสี่ยวฉินก็ได้…”

“เสี่ยวฉินงั้นเหรอ?” นี่ไม่สนิทกันไปหน่อยงั้นเหรอ พวกเธอเพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรกเองนะ

“มู่เทียน! เจ้ากำลังจะเข้าไปที่สำนักหลงหยู่เหมือนกันหรือเปล่า?”

หลินหนานและคนอื่นๆเองก็เดินเข้ามาด้วยเหมือนกัน “มู่เทียน เป็นไงบ้าง?”

“นี่คือองค์หญิงเจ็ด พวกนี้คือเพื่อนสนิทของข้าเอง หลินหนาน, จ้าวฉี, จู้หมิงและหวู่เสี่ยวเหมย!” มู่หรงเสวี่ยแนะนำพวกเขาทีละคน

องค์หญิงฉินจือฉินไม่ได้ทักทายอ่อนโยนเหมือนตอน มู่เทียน เธอเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น

หลินหนานและคนอื่นๆเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเหมือนกัน เพียงแค่ตอบรับเบาๆ “องค์หญิงเจ็ด!” แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

มู่หรงเสวี่ยพูดกับองค์หญิงเจ็ด “งั้นข้าขอตัวก่อนนะ ว่างแล้วค่อยคุยกันใหม่นะ?”

องค์หญิงเจ็ดยังคงยิ้มจางๆและพยักหน้า

ไม่นานพวกเขาทุกคนก็เดินออกมาจากองค์หญิงเจ็ด ถ้ามองดีๆ ก็จะเห็นได้ว่ามือขององค์หญิงเจ็ดกำอยู่ที่กำกระโปรงแน่น จนกระโปรงยับเป็นวงใหญ่ แต่เรื่องที่แย่คือบนใบหน้าของเธอยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่

“ไป” องค์หญิงเจ็ดพูดกับเหล่าอัศวินที่อยู่ข้างกาย

“องค์หญิงครับ ข้าของถามเรื่องกัปตันหวู่เทียนได้ไหม?” หนึ่งในอัศวินที่มีความสัมพันธ์ที่ดีหวู่เทียน ถามออกมาด้วยเสียงเบา

องค์หญิงเจ็ดมองไปที่เขาอย่างเย็นชา ไม่ห่างออกไป หวู่เทียนที่ดำเกรียมไปทั้งตัวแต่ก็ยังเห็นได้ว่ามือของเขากำลังโบกอยู่ราวกับว่าเขากำลังขอความช่วยเหลือ

“กำจัดไปซะ มัวยืนอะไรอยู่ล่ะ?!!” มีเพียงผู้ชายแบบ มู่เทียนเท่านั้นที่คู่ควรจะอยู่ข้างเธอ ในฐานะองค์หญิงเจ็ด เธอจึงมีผู้ไล่ตามมากมาย เธอได้เจอผู้ชายทุกประเภทมากมาย ทุกคนต่างก็สนใจเพียงรูปร่างและความแข็งแกร่งของเธอ มีเพียงสายตาที่ชัดเจนมุ่งมั่นของมู่เทียนเท่านั้นที่ทำให้เธอสนใจได้

“ขอรับ” อัศวินคนอื่นๆไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไร

ถึงแม้องค์หญิงเจ็ดจะดูอ่อนโยนและทรงเสน่ห์มากแต่เหล่าองค์ลักษณ์ต่างก็รู้ดีว่าองค์หญิงเจ็ดมีอารมณ์ที่รุนแรงมาก

อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็ถูกฝึกโดยอัศวินของราชวงศ์หลวงมาตั้งแต่เด็กๆและก็ไร้อิสระทางการเลือกอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าพวกเขาจะถูกส่งให้ดูแลลูกหลานของราชวงศ์พระองค์ไหน พวกเขาก็ทำได้เพียงจงรักภักดีกับโชคชะตานี้ไปตลอดชีวิต ไม่งั้นจุดจบของพวกเขาก็คือความตาย

เมื่อองค์หญิงไปแล้ว เหล่าคนดูที่เหลือก็เริ่มจะทยอยแยกย้ายกันไปด้วย ดวงตาของหวู่เทียนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาเกลียดสวรรค์และองค์หญิงเจ็ด เขามอบทุกอย่างให้นาง แต่นางกลับทอดทิ้งเขาได้อย่างง่ายดายราวกับหมาก็ไม่ปาน

หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ชายชุดดำก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหวู่เทียน

เสียงแหบแปลกๆดังขึ้นมา “ตราบใดที่เจ้ามอบวิญญาณให้ข้า ข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่ง!”

“ข้ายินดี!”

หลังจากกลับมาที่ประตูของสำนัก มู่หรงเสวี่ยก็เดินตรงเข้าไปลงชื่อและแผนกต้อนรับส่วนหน้าก็รีบเร่งทันที

แม้แต่การทดสอบก็ยังฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย มู่เทียนเพลิดเพินกับการดูแลอย่างดีทั้งในเรื่องการลงทะเบียนและแม้แต่การทดสอบในอีกไม่กี่วันเขาก็ได้รับการยกเว้น ดังนั้นเขาจึงได้รับเข้าสำนักโดยตรง

การทำแบบนี้ของสำนักหลงหยู่แสดงให้เห็นถึงความลำเอียงอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่มีใครที่โต้แย้งอะไร ก็ใครจะกล้าแสดงความคิดเห็นเรื่องจ้าวแห่งระดับสีม่วงกันล่ะ แต่หลินหนานไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไร ถึงแม้ศิษย์ในระดับสีฟ้าของสำนักจะมีไม่มากแต่ศิษย์ในระดับสีม่วงเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย นอกจากนี้มู่เทียนก็ถูกผู้ทรงอำนาจรับเป็นศิษย์โดยตรงด้วยแล้วแบบนี้ใครล่ะที่จะกล้าขัด

เหตุผลที่ว่าทำไมสำนักหลงหยู่ถึงกลายเป็นหนึ่งใน สี่สำนักก็เพราะผู้ทรงอำนาจคนนี้ เหล่าคนทั้งห้า ใครๆต่างก็รู้ว่าระดับการฝึกตนของท่านผู้ทรงอำนาจขึ้นไปแตะถึงขอบแล้วแต่ทุกคนต่างก็เดากันว่าท่านผู้ทรงอำนาจน่าจะเลยผ่านระดับสีม่วงไปแล้ว

เพราะครั้งหนึ่งเคยมีจ้าวระดับสีม่วงที่ไม่กลัวตายและกล้าที่จะมาท้าทายท่านผู้ทรงอำนาจและเพียงแค่ท่วงท่าเดียวเท่านั้นก็ไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

การท้าทายครั้งนี้ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวกระจายไปทั่วดินแดนเฟิงหยุน จึงมีคนมากมายต่างก็เดินทางมีที่สำนักหลงหยู่ ประตูของสำนักต่างก็เต็มไปด้วยเหล่าคนที่มาเพื่อพบเหล่าอาจารย์ จนสุดท้ายท่านผู้ทรงอำนาจต้องประกาศออกมาว่าใครที่กล้ามารบกวนเขาจะต้องถูกทำลายซึ่งทำให้สำนักหลงหยู่ได้กลับมาสงบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามสำนักหลงหยู่เป็นทางเดียวที่จะได้เข้าใกล้ท่านผู้ทรงอำนาจ ดังนั้นในทุกๆปีจึงมีเหล่าศิษย์มากมายแห่แหนกันมาไม่ขาดสาย ดังนั้นจึงมีการจำกัดจำนวนการรับเข้าเกิดขึ้น

ตอนนี้ท่านผู้ทรงอำนาจกลายเป็นตำนานของดินแดนไปแล้ว และชื่อของเขาก็คือ “หลานซุน!”

มู่หรงเสวี่ยไม่รู้เรื่องนี้เพราะแม้แต่หลินหนานและคนอื่นๆก็ไม่รู้ว่าผู้ทรงอำนาจคนนี้คือหลานซุน แต่ก็แอบเดาอยู่ลึกๆ อย่างไรก็ตามในระหว่างช่วงการลงทะเบียน เขาก็ได้ยินคนที่อยู่รอบๆพูดถึงเรื่องนี้ตลอด แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไร

จนกระทั่งเมื่อพวกเขาลงชื่อกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ลากมู่เทียนกลับไปที่โรงเตี๊ยม พวกเขาต่างก็ชินกับเรื่องนี้แล้วจึงวิ่งกลับไปโดยไม่หยุดพัก

มู่หรงเสวี่ยมองด้วยสายตาน่ากลัว “ทำไม…”

“ข้าบอกแล้วไงว่าถึงข้าจะยังเด็ก…แต่พวกเจ้าก็อย่ามาแหยมกับข้า…” เธอพูด มือกุมอยู่ที่หน้าอก นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?!!!

คนที่เหลือไม่มีอารมณ์จะมาเล่นกับเธอ พวกเขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าวันนี้คนที่รับเจ้าเป็นศิษย์คือใคร?”

“ไม่ใช่อาจารย์ของสำนักหลงหยู่งั้นเหรอ?” หลังจากที่พูดจบ เธอก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้และรีบลุกขึ้นทันที “เขาโกหกงั้นเหรอ?!! งั้นข้าจะกลับไปจัดการเขาเลยดีไหม?!!” เมื่อเธอกำลังก้าวเท้าเพื่อรีบพุ่งออกไป

หลินหนานก็รีบคว้าคอเสื้อด้านหลังเธอไว้ทันที “อย่าทำเสียงดัง เจ้ายังไม่มีความสามารถพอหรอก แล้วจะไปจัดการอะไรได้?”

แล้วหลินหนานและคนอื่นๆก็อธิบายให้เธอฟังอยู่นานว่าอาจารย์ของเธอคนนี้เก่งกาจมากแค่ไหน