บทที่ 268
เจ้าไม่มีปัญญาจ่ายค่าชุดให้ข้าหรอก
เมื่อมองตรงไปที่มู่เทียน พวกเขาก็คิดว่าจะได้ยินคำพูดภาคภูมิใจมาจากเธอ แต่มู่หรงเสวี่ยกลับลุกขึ้นและตบไปที่โต๊ะอย่างรุนแรง “บ้าเอ๊ย เขานี่ไม่ได้เรื่องเลย ไม่มีของขวัญมารับขวัญลูกศิษย์เอกคนนี้เลย แบบนี้มันถูกต้องงั้นเหรอ?”
นี่เธอได้เจออาจารย์ที่ขี้เหนียวงั้นเหรอเนี่ย แบบนี้เธอก็มีเรื่องให้จัดการได้แล้ว
“ปัง”
“ตุบ”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่กลุ่มคนที่รุมเข้ามาเขกหัวเธอกันยกใหญ่ “มาตีข้าทำไมเนี่ย?”
“ปรมาจารย์หลานซุนไม่ใช่คนธรรมดานะ ไม่ได้ฟังเลยหรือไงเนี่ย?” หลินหนานถามด้วยเสียงเบา
“ได้ยินแล้วแต่เขาก็เป็นอาจารย์ข้าไม่ใช่เหรอ?! เขาก็น่าที่จะมีของขวัญอะไรให้ข้าบ้าง…” เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนิ!
แม้แต่หวู่เสี่ยวเหมยที่มักจะอ่อนโยนเสมอก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดโน้มน้าวเขาด้วยเลย “มู่…มู่เทียน เจ้าน่าจะเคารพหลานซุนกว่านี้หน่อยนะ ถ้าเจ้าได้อาจารย์แบบนั้น ก็รังแต่จะมีคนทั่วทั้งทวีปเฟิงหยุนรู้สึกอิจฉาเจ้า ขนาดข้าเองยังอิจฉาเจ้าเลย เขาเป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าเลย”
“สำหรับข้า เขาก็เป็นแค่ร่ม…”
ในหัวเขาเกิดคำถามมากมาย จู้หมิงจึงถามออกมา “ร่มอะไรเหรอ?” ช่างเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
“เป็นร่ม ที่มีหน้าที่แค่คอยบังแดดบังลมและฝนให้ข้าในบางโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่อะไรที่…หื้อหื้อ…”
หลินหนานรีบปิดปากมู่เทียนทันที พร้อมด้วยสีหน้าเย็นชาอย่างตักเตือนที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก “ต่อไปอย่าพูดอะไรแบบนี้อีก ไม่งั้นเจ้าจะต้องถูกคนอื่นๆโจมตีแน่ๆ โดยเฉพาะตอนอยู่ข้างนอก…” ในดินแดนเฟิงหยุนมีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่อยากจะติดตามหลานซุน ขนาดเขาเองที่ไม่เคยคิดที่จะติดตามเหล่าคนที่แข็งแกร่งมาก่อนเลย อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่ได้รู้จักมู่เทียน เขาก็กลายเป็นคนแรกในหัวใจของเขา ถึงแม้บางคำจะพูดออกไปไม่ได้แต่ในใจเขามู่เทียนก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
“บ้าเอ๊ย ดูเหมือนว่าร่มคันนี้จะไม่ดีเหมือนที่คิดแล้ว งั้นก็ยังเป็นปัญหาอยู่…นี่ไม่ดีเลย ไม่ดีเลยจริงๆ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเลย…” มู่หรงเสวี่ยยังบ่นต่อไปอย่างไม่พอใจ
หลินหนานและคนอื่นๆทำได้เพียงกุมขมับ เรื่องแบบนี้ทำให้พวกเขาเวียนหัวจริงๆ
“เจ้าไม่คิดว่าหลานซุนจะทรงอำนาจจนช่วยนายตามหาพ่อแม่ได้งั้นเหรอ?! เจ้าควรที่จะดีกับท่านหลานซุนไว้นะ”
หลินหนานยังพูดไม่จบก็เกิดลมหอบใหญ่และมู่เทียนก็หายไปแล้ว
จ้าวฉีและคนอื่นๆที่เห็นเหตุการณ์ก็หน้าเปลี่ยนสีทันที พวกเขารู้ได้ทันทีว่ามู่เทียนไปที่ไหน พวกเขาต่างก็มองหน้ากันและพูดออกมาว่า “เราต้องไปหยุดเขา!” แล้วก็รีบตามออกไป
ในระหว่างช่วงเวลานี้ ไม่มีใครรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มู่เทียนเลย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเขามีเจตนาไม่ดีอะไร
ในสำนักหลงหยู่ จู่ๆเหล่าศิษย์ก็รับรู้ได้ถึงลมหอบใหญ่ ราวกับมีอะไรบางอย่างที่พุ่งผ่านไป ไม่นาน ลมหอบใหญ่ก็กลับมาอีกครั้ง “หลานซุนอยู่ที่ไหน?”
เหล่าศิษย์มากมายก็มองมาที่มู่เทียนด้วยความงุนงง เพราะยังคิดตามไม่ทัน และเมื่อคิดตามได้ทันว่าทำไมอยู่ดีๆสายลมถึงพูดออกมาได้?!
“ไม่งั้นเหรอ?!นี่ต้องตามถามพวกงี่เง่ากี่คนกันเนี่ย?” แล้วสายลมก็หายไปอีกครั้ง
เหลือไว้เพียงเหล่าคนที่โต้ตอบกลับมา “เจ้าสิงี่เง่า”
มู่หรงที่อยู่ห่างออกไปได้ยินเสียงเอะอะและเสียงพึมพำเบาๆ “พูดแบบนั้นได้ยังไง ถ้าพวกเจ้าไม่งี่เง่าและทำไมถึงช้าได้ขนาดนี้ล่ะ?”
หลังจากที่ตามหาไปหลายแห่ง มู่หรงเสวี่ยที่ยังตามหาหลานซุนไม่เจอ สุดท้ายก็ตะโกนออกมาเสียงดัง
“ไอ้บ้าหลานซุน ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน? ออกมาเจอข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงร้องดังจนแผ่นดินสะเทือนจนนกต่างๆก็ตกใจจนต้องบินหนีไปฝูงใหญ่
เหล่าองครักษ์จากทั่วทั้งสำนักก็รีบวิ่งมาในทิศทางของ มู่หรงเสวี่ย และพวกเขาอยากที่จะฉีกร่างไอ้คนทุเรศนี้ให้เป็นชิ้นๆ กล้าดียังไงถึงไม่เคารพหลานซุนเลย
“นายน้อย เจ้าเสียมารยาทมากเลยนะ!”
มู่หรงเมื่อเห็นหลานซุนเดินออกมาก็รีบวิ่งตรงเข้าไปทันที มือทั้งสองข้างจับอยู่ที่หน้าอกเขา พร้อมด้วยเสียงโวยวายที่พูดออกมาด้วยความโกรธอย่างมาก “ช่วยข้าตามหาพ่อแม่ที!”
เขาไม่รู้เรื่องเลยว่าลูกศิษย์ของตัวเองกำลังพูดเรื่องอะไร?! การที่เขาโผล่มาแบบนี้ พวกคนที่ไม่รู้เรื่องต่างก็คิดว่าเขามาเพื่อที่จะแก้แค้น
“ปล่อยมือจากเสื้อข้าก่อน…” หลานซุนพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ ท่านต้องช่วยข้าตามหาพ่อแม่ก่อน…” มู่หรงเสวี่ยจับเขาไว้แน่นเพราะกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีไป
เหล่าองครักษ์ของสำนักหลงหยู่ที่วิ่งมาจากไกลๆ จ้องมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า มู่เทียนดูเหมือนเงามืดที่อธิบายไม่ได้ มือของเขาจับแน่นอยู่ที่เสื้อของหลานซุน สายลมพัดผ่านผมยาวสลวยของคนทั้งคู่และเกี่ยวพันพวกเขาไว้ด้วยกัน กลีบดอกไม้บนต้นไม้ปลิวร่วงหล่น ทำให้เกิดฉากที่สวยราวกับความฝันตรงเบื้องหน้าพวกเขา
เหล่าองครักษ์ที่อยู่ในชุดดำถึงกับหยุดโดยไม่รู้ตัวและคางของพวกเขาก็แทบจะร่วงลงมากองกับพื้น
หลังจากเวลาผ่านไปนาน เหล่าองครักษ์ก็ร่วมใจกันถอยกลับไปจากทิศทางเดิม พวกเขาตัดสินใจที่จะยอมตายเพื่อปกป้องความลับของหลานซุน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงไม่มีผู้หญิงอยู่ข้างกายเลย มันกลายเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง
เมื่อคิดถึงอำนาจที่ทรงพลังของหลานซุน พวกเขาก็ไม่แปลกใจที่ผู้ชายบางคนก็พร้อมที่จะติดตามเขา ขอแค่ให้พวกเขาได้เข้าไปอยู่ในสายตาของหลานซุน พวกเขาก็พร้อมยินดีที่จะทำทุกอย่าง…
“ช่วยปล่อยเสื้อข้าก่อนได้ไหม?! มันยับหมดแล้ว…” หลานซุนมองไปที่ลูกศิษย์ด้วยสายตายุ่งเหยิง
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขาด้วยสายตาดูถูก “มันก็แค่เศษผ้าไม่ใช่หรือไง?! พูดมาเลย! ท่านต้องการเงินเท่าไร?!! ข้าจะจ่ายให้อย่างงามเลย!”
“เศษผ้าที่เจ้ากำลังพูดถึงนี่เป็นเครื่องมือทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดเลยนะ!” หลานซุนเตือนเขา
“นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์งั้นเหรอ?! นี่ท่านหลอกข้าหรือเปล่า? มันก็แค่เศษผ้า ถ้าท่านอยากที่จะดูทันสมัย ก็บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่เลยสักนิด แต่ถ้าท่านบอกว่าอย่างนั้น งั้นมันเป็นอาวุธประเภทไหนกันล่ะ?!!” มือเริ่มที่จะปล่อยหลวมขึ้น เครื่องมือทางจิตวิญญาณงั้นเหรอ?! แถมยังเป็นระดับสูงสุดด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย สิ่งประดิษฐ์จำเป็นต้องทันสมัยตั้งแต่เมื่อไรกัน?! นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหนานถึงกับพูดไม่ออก
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง ช่วยข้าตามหาพ่อแม่ที…”
เขามั่นใจมากว่านี่เป็นการยั่วยวน ไม่ใช่ท่าทีไม่พอใจเลยสักนิดใช่ไหม?!
“ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าตามหาพ่อแม่เจ้าด้วย?” หลานซุนเลิกคิ้วสูงและถามออกมา
มู่หรงเสวี่ยเบิกตากว้างแล้วก็จ้องตรง “ท่านเป็นอาจารย์ข้าไม่ใช่เหรอ?!!! แล้วถ้าท่านไม่ช่วย ข้าจะต้องทำยังไง?”
หลานซุน: นี่มันหน้าที่ของอาจารย์หรือไงล่ะ?!
หลินหนานและคนอื่นๆวิ่งตามมาพร้อมหอบหายใจ และทันทีที่ได้ยินคำพูดที่กล้าหาญของมู่หรงเสวี่ย พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาปิดปากเธอทันที พร้อมทั้งจับไปที่อุ้งมือที่กำเสื้อของหลานซุนอยู่แล้วหลินหนานก็ลากเขาออกมาทันที ส่วนจ้าวฉีและคนอื่นๆที่เหลือต่างก็โค้งหัวทำความเคารพและพูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมาต่อหลานซุนผู้โด่งดังที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
“ด้วยความเคารพนะขอรับท่านผู้ทรงอำนาจหลาน ข้าต้องขอโทษด้วย มู่เทียนเพิ่งจะได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง…” จ้าวฉีพูดออกมาอย่างไม่สบายใจ
ตรงหน้าพวกเขา เพราะหน้ากากสีเงินปิดบังสีหน้าของชายหนุ่มไว้ พวกเขาจึงมองไม่เห็นว่าเขาพอใจหรือว่ากำลังโกรธ
“ใช่ ใช่ขอรับ! วันนี้มู่เทียนลืมที่จะกินยา ช่วยยกโทษให้เขาด้วยที่ทำอะไรไม่ได้คิดไปเมื่อสักครู่นี้…” จู้หมิงรีบพูดต่อทันที
“หลาน…หลานซุน…ท่านปรมาจารย์….” หวู่เสี่ยวเหมยที่ไม่เคยพบกับท่านผู้ทรงอำนาจมาก่อน เธอตื่นเต้นมากจนเกือบที่จะกัดลิ้นตัวเอง เธอพูดอะไรไม่ออกเพราะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอโกรธตัวเองที่ช่วยอธิบายให้มู่เทียนไม่ได้
พวกเขาทั้งสามต่างก็ก้มหัวพร้อมด้วยเหงื่อที่ผุดพราย ปรมาจารย์หลานซุนไม่ได้พูดอะไร เขาโกรธหรือเปล่า? พวกเขาเองก็ไม่รู้และไม่กล้าที่จะเงยหน้าก่อนโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย พวกเขากลัวว่าจะยิ่งทำให้ปรมาจารย์หลานซุนในตำนานยิ่งไม่พอใจ
หลังจากที่หลินหนานลากเธอมา มู่หรงเสวี่ยก็ดิ้นขัดขืนอย่างหมดท่า อันที่จริงเธอสามารถที่จะจัดการหลินหนานได้ด้วยพลังการฝึกตนของเธอ แต่เธอก็ไม่อยากที่จะทำร้ายเขา เดาว่าหลินหนานและคนอื่นๆรู้ว่ามู่เทียนไม่ทำร้ายพวกเขา ดังนั้นถึงได้กล้าที่จะทำอะไรแบบนี้
“อืม…อืม…ปล่อยก่อน!”
หลินหนานโกรธมากจนอยากที่จะตีเขาอย่างหนัก เขากล้าที่จะขัดคำสั่งแบบนี้ได้ยังไง “เจ้าอยากจะตายหรือไง กล้าดียังไงไปพูดกับหลานซุนแบบนั้น?!”
“อืม…อืม…ปล่อยสิ!!! ถ้าไม่ปล่อยแล้วข้าจะพูดได้ยังไงล่ะ!”
“อยากจะตายหรือไง?! ไม่สนใจสิ่งที่เราพูดบ้างเลยหรือไง!”
“อืม…ปล่อยก่อนสิ!”
“ข้านั่งพูดกับเจ้าอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ยินบ้างเลยเหรอ?! เจ้าไม่รู้บ้างเหรอว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง?!”
มู่หรงพูดอะไรไม่ออก
“มู่เทียน เจ้านี่โง่จริงๆ…” หลินหนานยังบ่นต่อไป
มู่หรงเสวี่ยกลอกตาขาวแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรอีกแล้ว
กลับมาที่ฝั่งของหลานซุน จ้าวฉียังคงอยู่ในท่าเดิมโดยไม่ขยับเลยสักนิด
เสียงเย็นชาของหลานซุนดังขึ้นมา “ระหว่างพวกเจ้าและมู่เทียนมีความสัมพันธ์กันยังไง?”
“พวกเราเป็นเพื่อนและผู้ติดตามของเขาขอรับ!”
“บอกให้มู่เทียนเข้ามา…”
จ้าวฉีและคนอื่นๆตกใจและรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที “ปรมาจารย์หลานซุน มู่เทียน เขา…”
“ไป อย่าให้ข้าต้องพูดอีกรอบ!” สายตาของหลานซุนเย็นชา
ทันทีที่พูดจบ ร่างของจู้หมิงก็สั่นเทอม พวกเขาแทบจะควบคุมร่างกายที่สั่นเล็กน้อยไว้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงตอบออกไปแค่ “ขอรับ!” ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างมู่เทียน
“เป็นไงบ้าง?” หลินหนานถามคนทั้งสามที่เพิ่งเดินกลับมา
สีหน้าของจ้าวฉีและคนที่เหลือไม่ค่อยจะดีเท่าไร และตอบเพียงแค่ว่า “ปรมาจารย์หลานซุนบอกให้พามู่เทียนเข้าไปพบ”
หลานซุนไม่พอใจงั้นเหรอ?! หัวใจเขาวุ่นวายไปหมด มองไปที่มู่เทียนที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะรอดหรือเปล่า เขาอยากที่จะจับเธอพาดกับโต๊ะแล้วหวดก้นแรงๆจริงๆ ถ้าพวกเขาทำได้ พวกเขาก็อยากที่จะรับความโกรธของปรมาจารย์หลานซุนแทนเขา
หลินหนานปล่อยมู่เทียน แล้วมู่หรงเสวี่ยก็กระโดดลุกขึ้นทันทีและรีบวิ่งไปในทิศทางของหลานซุนที่เธอเพิ่งจะก่อเรื่องอยู่เมื่อกี้อีกครั้ง
หลานซุนมองไปที่เสื้อผ้าและเสื้อคลุมที่แสนจะธรรมดาของเธอ เขาขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว “ไปกันเถอะ ข้ามีเรื่องที่จะพูดด้วย…” ทำไมอยู่ดีๆอารมณ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าแบบนี้เขาจะดูน่ารักมากกว่าท่าทางของเทพผู้โด่งดังซะอีก
“สัญญากับข้าก่อน!” หยุดก่อน
“ก็ได้ ข้าสัญญา พอใจไหม” ถ้าเขาไม่สัญญา เธอก็คงจะฉีกเสื้อผ้าเขาเละแน่ๆ
มู่หรงเสวี่ยที่จับเสื้อเขาไว้ค่อยๆปล่อยมือ เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย “จริงเหรอ?”
หลินหนานและคนอื่นๆที่ยืนอยู่เบื้องหลังร่างกายสั่นเทิ้มไปนับครั้งไม่ถ้วน พยายามยั้งตัวเองที่จะไม่ดึงสมบัติล้ำค่าของตระกูลออกมา และเมื่อมองไปที่ท่าทางของหลานซุนก็ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกรธอะไรเลย
หลานซุนพยักหน้า “จริงสิ จริงแท้ดั่งไข่มุก!”
มือที่เดิมทีกำลังจะปล่อยของมู่หรงเสวี่ยกำแน่นขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ไข่มุกเป็นของปลอม! นี่ท่านจะล้อข้าเล่นงั้นเหรอ?! ข้ามักจะลอกคนอื่นด้วยประโยคแบบนี้…”
อย่าพูดกับคนอื่นแบบนี้!
หลินหนานและคนอื่นๆ: ก่อนหน้านี้มู่เทียนก็ชอบพูดแบบนี้เพื่อที่จะหลอกพวกเขา…แล้วพวกเขาก็หลงเชื่ออีกต่างหาก… หัวใจรู้สึกวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูก
“ปล่อย ไม่งั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสอนให้เจ้าได้รู้ว่าการเคารพอาจารย์มันต้องทำยังไง!” เมื่อเขาพูดออกมา หลานซุนก็เพิ่มความกดดันเข้าไปด้วย
มือของมู่หรงเสวี่ยสะดุด เธอรีบปล่อยมือทันที แล้วเขาก็หัวเราะออกมาราวกับคนแก่ “โอ๊ย พวกท่านนี่ตลกจริงๆ…”
“ถ้าเป็นปกติ ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าและแขวนไว้กับต้นไม้…” นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาเหมือนกัน
มู่หรงเสวี่ยสะดุ้งและหุบยิ้ม จากนั้นเธอก็บิดมือตัวเองเล็กน้อย
“ช่วยยกโทษให้กับความหยาบคายของข้าด้วยนะท่านอาจารย์”
“วุ่นวายจริงๆเลย?” หลานซุนขมวดคิ้ว
มู่หรงเสวี่ยเบ้ปากและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา “ก็เป็นเพราะท่านไม่ใช่เหรอที่ทำให้ข้าต้องเป็นแบบนี้!”
เส้นเอ็นของหลานซุนถึงกับกระตุก
หลินหนานและคนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังต่างก็กลัวขึ้นมา พวกเขากลัวว่าวินาทีต่อมา มู่เทียนจะถูกหลานซุนจัดการซะก่อน
ในความรู้สึกของหลินหนาน พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี จริงอยู่ที่พวกเขารู้สึกโกรธทุกวัน พวกเขาทั้งรักทั้งเกลียดมู่เทียนแต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตามเช็ดล้างเรื่องวุ่นวายที่เขาก่อไว้
“มากับข้า! ส่วนคนที่เหลือไปรอที่สำนัก…” หลานซุนพูด
มู่หรงเสวี่ยกระโดดด้วยเท้าตัวเองแต่คนที่เหลือยังยืนอยู่ในจุดเดิมพร้อมมือที่กำแน่น พวกเขาไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งปรมาจารย์หลานซุน พวกเขาไม่ได้กลัวความตายแต่กลัวว่าจะยิ่งเพิ่มปัญหาให้มู่เทียน เมื่อกี้พวกเขาต่างก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าดูเหมือนปรมาจารย์หลานซุนจะอดทนกับมู่เทียนอย่างมาก อีกอย่างมู่เทียนก็เป็นลูกศิษย์ของหลานซุนด้วยและเขาก็คงไม่ทำร้ายเธอ
หลานซุนพามู่เทียนเข้ามาในอาคารไม้ไผ่เล็กๆ เบื้องหน้าอาคารไม้ไผ่คือป่าไผ่ขนาดใหญ่และถนนก้อนหินที่ปูตรงไปที่ประตูของอาคารไม้ไผ่
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปและอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ภายในของอาคารไม้ไผ่สะอาดมากๆและเฟอร์นิเจอร์ก็เรียบง่าย จะเห็นได้ว่าเจ้าของเป็นคนที่มีรสนิยมอย่างมาก
“อาจารย์…” มู่หรงเสวี่ยเรียก