บทที่ 269
อาจารย์ไม่หล่อหรือไง
“ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่ไหนมางั้นเหรอ?” คำถามแรกของหลานซุนคือการถามว่ามู่หรงเสวี่ยมาจากไหน ถ้าเธอกลับมาเกิดใหม่ เขาก็คงไม่มีทางรู้หรอก
“ข้าอยู่ที่บ้านตลอดเวลาเลย…” ดวงตากลมโตกะพริบถี่ๆ
จริงเหรอ จริงๆงั้นเหรอ
“ข้าพูดความจริง จริงๆนะ!”
สุดท้ายหลานซุนก็เริ่มที่จะเข้าใจภาวะอารมณ์ของเธอแล้ว เขารู้สึกโกรธคนที่ไม่สนใจชีวิตของตัวเอง เขายิ้มอย่างโกรธๆ “เจ้าอยากที่จะตามหาพ่อแม่งั้นเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยนั่งตัวตรงขึ้นมาทันที “ข้ามาจากโลก ผู้คนที่นั้นสามารถที่จะบินไปบนท้องฟ้าได้โดยไม่ต้องมีการฝึกและพวกเขาก็สามารถที่จะท่องไปได้เป็นพันๆไมล์ทุกวัน…”
“หยุดก่อนนะ! โลกอยู่ที่ไหนเหรอ?” หลานซุนขัดขึ้นมาในระหว่างที่เธอกำลังพูด
“โลกอยู่ในมิตินี้หรือเปล่า?”
“มิตินี้อยู่ที่ไหนเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแต่ก็ไม่รู้ว่าท้องฟ้าที่นี่กับท้องฟ้าที่โลกจะเป็นมิติเดียวกันหรือเปล่า เธอชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “มันก็แค่อยู่ข้างนอกท้องฟ้า…”
หลานซุนลุกขึ้นและพูดขึ้นมาทันที “ไร้สาระ เจ้าจะบอกว่าเจ้าลงมาจากโลกที่แบ่งแย่งงั้นเหรอ?” สำหรับเธอมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้ามาจากโลกที่แบ่งแยก
มู่หรงหยักไหล่ตัวเอง “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน?! ยังไงซะข้าก็ไม่ได้มาจากห้วงเวลาและมิตินี้…”
“นี่เจ้ามาจากมิติอื่นงั้นเหรอ?” สีหน้าของหลานซุนเปลี่ยนไปภายใต้หน้ากากตัวเอง
“ข้าเคยอยู่ในมิติอื่นๆมากมาย ไม่ใช่แค่มิติเดียว อย่าพูดเรื่องนี้เลย ท่านจะช่วยข้าตามหาพ่อแม่เมื่อไรล่ะ? ข้าเป็นห่วงพวกท่าน…”
“เดี๋ยวข้าจะแจ้งข่าวเรื่องของเจ้าออกไป ไม่ต้องห่วงนะ! แต่เจ้าบอกว่าเจ้ามาจากมิติอื่นใช่ไหม?! งั้นทำไมเจ้าถึงยังมาตามหาพ่อแม่ของเจ้าที่นี่อยู่อีกล่ะ?”
“มันก็ยากที่จะพูดนะ พูดง่ายๆคือพ่อแม่ข้าก็เหมือนกับข้าที่บังเอิญตกลงมาที่นี่ นี่คือพ่อแม่ของข้า ดูสิท่านอาจารย์…” มู่หรงเสวี่ยหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา โชคดีที่โทรศัพท์ใช่พลังงานแสงอาทิตย์ ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณแต่อย่างน้อยเธอก็ยังได้ดูรูป
“อย่าถามเลย นี่เป็นผลิตภัณฑ์จากมิติของเรา ท่านรู้ไปก็เปล่าประโยชน์ มันเอามาใช้ที่นี่ไม่ได้…” เมื่อเห็นความสงสัยของหลานซุน เธอจึงอธิบายออกมา
หลานซุนพยักหน้า เขาหยิบลูกบอลคริสตัลออกมาในทันที แล้วเขาก็พลิกฝ่ามือและวาดหน้าพ่อแม่มู่หรงเสวี่ยลงไปในลูกบอลคริสตัล เมื่อมู่หรงเสวี่ยเห็นอาจารย์ของเธอกำลังร่ายเวทมนตร์ลงไปที่มัน แล้วลูกบอลคริสตัลก็เปล่งประกายแส่งกระจายไปทั่วทุกทิศทางทันที
หลังจากเวลาผ่านไปนาน หลานซุนก็เก็บลูกบอลคริสตัลไปแล้วจึงพูดออกมา “โอเค เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็คงจะมีข่าวอะไรบ้าง…”
มู่หรงเสวี่ยตะลึง นี่มันเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงมากเลยจริงๆและสะดวกกว่าเครือข่ายการสื่อสารซะอีก นี่มันเป็นไปได้เหรอที่จะแจ้ง “ข่าว” ออกไป?!
เธอรีบเข้าไปใกล้ใบหน้าของหลานซุนทันทีแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน “ท่านอาจารย์ที่รัก นั่นมัน…”
เธอเองก็อยากได้?! บอกเลยว่านี่มันเป็นอุปกรณ์ที่สะดวกมากๆ
หลานซุนเหล่มาที่เธอ “มันเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่พิเศษมากๆน่ะ!”
“มันก็เหมือนการทำงานของโทรศัพท์มือถือนั่นแหละ!!!! คือ…อาจารย์ ท่านยังไม่ได้ให้ของรับขวัญข้าเลยใช่ไหม?!!” สายตาของเธอมองลงไปที่ร่างกายของหลานซุน เขาเก็บเจ้าลูกบอลคริสตัลลูกใหญ่ขนาดนั้นไว้ที่ไหนนะ? เธอไม่เห็นแหวนเก็บของหรือกระเป๋าเก็บของที่ไหนเลย
“อยู่นี่ไง!” หลานซุนหยิบกิ๊บติดผมที่หรูหราออกมาจากแขนตัวเอง
มู่หรงเสวี่ยรับมันมาและมองดูอย่างละเอียด มันเป็นกิ๊บที่สวยมากแต่เธอก็รีบพูดออกมาทันที “ข้าไม่ได้อยากได้ไอ้นี่ ข้าอยากได้ลูกบอลคริสตัลเมื่อกี้…”
หลานซุนมองไปที่สายตางี่เง่าของมู่หรงเสวี่ย “เจ้าไม่อยากได้เครื่องมือเซียนงั้นเหรอ?! แต่กลับอยากได้ลูกบอลคริสตัลราคาถูกแทน” ไม่เพียงแค่อารมณ์ของเขาเท่านั้นที่เปลี่ยนไปแต่สีหน้าและท่าทางก็ดูขี้เล่นขึ้นมากเลย
“นี่เป็นเครื่องมือเซียนงั้นเหรอ?!!” มู่หรงมองไปที่กิ๊บติดผมที่อยู่ในมือด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“ไม่ต้องเลย เอาคืนมาให้ข้า!” หลานซุนยื่นมือออกไปและอยากที่จะเอามันคืนมา
มู่หรงเสวี่ยรีบเก็บมันเข้าไปในมิติลับทันที “ให้แล้วจะเอาคืนได้ยังไงกัน!”
“อาจารย์ ทำไมท่านต้องสวมหน้ากากปิดหน้าไว้ด้วยล่ะ?! หน้าตาน่าเกลียดเหรอ? ไม่กล้าที่จะให้ใครเห็นงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
น่าเกลียดงั้นเหรอ? หลานซุนรู้สึกเสียใจจริงๆที่รับศิษย์คนนี้มา เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำพลาดไป “ยังไงนะเหรอ? เจ้าสงสัยงั้นเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า
“อยากเห็นไหมล่ะ?”
พยักหน้าอีกครั้ง
“แต่มีเพียงแค่เพื่อนของข้าเท่านั้นที่ได้เห็นใบหน้าของข้า เจ้าแน่ใจเหรอว่าอยากที่จะเห็นน่ะ? ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้ชาย แต่ความรักก็เป็นส่วนหนึ่งของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในเมื่อเจ้าอยากที่จะเห็นข้าขนาดนั้น งั้นข้าก็จะทำตามคำขอของเจ้า” เมื่อพูดจบ หลานซุนก็เตรียมที่จะถอดหน้ากากออก
มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งเข้าไปกดหน้ากากที่หน้าของหลานซุนไว้ทันที “ข้าไม่อยากที่จะเห็นอีกแล้ว ช่วยปิดมันไว้และอย่าทำหลุดต่อหน้าข้าด้วย…” มันคงจะแย่มากที่หลังจากได้เห็นหน้าเขาแล้วเธอก็ต้องเป็นเพื่อนกับเขา
“ไม่อยากเห็นจริงๆเหรอ?” หลานซุนเองก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากร่างกายของเธอเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “อย่าเปิดนะ ไม่งั้นข้าฆ่าท่านแน่…”
“โชคดีจริงๆเลย ข้ายังคิดอยู่เลยว่าถ้าว่าถ้าเจ้าน่าเกลียดขนาดนั้น แล้วต่อไปจะทำยังไงดี…” หลานซุนตบไปที่อกอย่างมีความสุข
มู่หรงเสวี่ยพูด “อาจารย์ นี่ท่านแก่หรือว่าสายตาฝ้าฟางหรือเปล่า? ลูกศิษย์ของท่านออกมาทรงเสน่ห์และหล่อเหลา ข้าสวยขนาดนี้จนไม่มีใครเอาไปเทียบกับความน่าเกลียดได้เลย…”
“ไม่เลย ข้าแค่คิดว่าเจ้าน่าเกลียดมาก…” หลานซุนพูดอย่างจริงจัง
“ไปเลย! ไม่เล่นกับท่านแล้ว!” ท่านอาจารย์นี่โง่จริงๆ อีกอย่างความมั่นใจของมู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะรู้สึกเจ็บปวด
หลานซุนยังอยู่ที่เดิม หลังจากเวลาผ่านไปนาน ริมฝีปากบางก็เปล่งเสียงหัวเราะพอใจราวกับดอกไม้แรกแย้มออกมา ป่าไผ่แกว่งไปมาทันทีราวกับว่ารู้สึกได้ถึงความสุขของท่านอาจารย์และกำลังเต็นรำไปกับสายลม
หลินหนานและคนอื่นๆเห็นสีหน้าของมู่เทียนที่วิ่งออกมา สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปในทันที สิ่งแรกที่พวกเขาคิดก็คือมู่เทียนถูกรังแก
มู่หรงเสวี่ยวิ่งด้วยความเร็วอย่างมากและคนอื่นๆต่างก็รีบวิ่งตามเขามา จนเมื่อวิ่งมาถึงถนน มู่หรงเสวี่ยก็หยุดลง
เมื่อหลินหนานและคนอื่นๆตามมาทัน สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือมู่หรงที่กำลังจ้องสาวๆที่ถนนด้วยสายตาสายฟ้าราว 100,000 โวลต์
“มู่เทียน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” หลินหนานมองไปที่ มู่เทียนและถามเสียงหอบ
มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร!”
“แล้วทำไมเมื่อกี้เจ้าถึงวิ่งออกมาล่ะ?!! ปรมาจารย์หลานซุน กับเจ้า…” จ้าวฉีถามอย่างระวัง
แน่นอน เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของมู่หรงก็เปลี่ยนไป เธอมองไปที่ทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง
คนอื่นๆเองต่างก็มองมู่เทียนด้วยความกังวลเช่นกัน ถ้าเขาผิดจริงๆ พวกเขาก็คงช่วยเธอทวงความยุติธรรมแน่ๆแม้ว่าจะต้องตายก็ตาม
“พวกเจ้าคิดว่าข้าหล่อหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ฮ่ะ!”
“มีอะไรงั้นเหรอ?” นี่ไม่หล่อจนถึงขนาดที่อาจารย์ต้องพูดออกมาเลยงั้นเหรอ?” พวกเขาเห็นได้เลยว่ามู่หรงเสวี่ยสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
หลินหนานและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นและถามออกมา “มู่เทียน ทำไมอยู่ดีๆเจ้าถึงถามอะไรแบบนี้ออกมา?”
มู่หรงเบ้ปากและพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ ท่าน…ท่านบอกว่าข้าน่าเกลียด…หื้อ…”
สีหน้าของหลินหนานสะดุ้ง มองไปที่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองพวกเขาคุยกัน หลินหนานรีบพาตัวมู่เทียนกลับไปที่โรงเตี๊ยมทันที
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน มู่เทียนก็หยุดร้องไห้ด้วยความไม่พอใจ
“เพราะงั้นเจ้าถึงวิ่งร้องไห้ออกมาจากหลานซุนงั้นเหรอ?” หลินหนานถามด้วยสีหน้าเคร่งครึม
มู่หรงเสวี่ยเช็ดน้ำมูกตัวเองแล้วพยักหน้า “เจ้าคิดว่า ท่านอาจารย์พูดเกินไปหรือเปล่า?”
พวกเขาต่างก็กังวลกลัวว่ามู่เทียนจะโง่เกินไปจนถูกรังแกซะอีก
พวกเขารีบลุกขึ้นทันที แม้แต่หวู่เสี่ยวเหมยเองที่มักจะอ่อนโยนเสมอก็ยังเลิกที่จะปลอบใจมู่เทียนแล้ว หลังจากที่เปิดประตูแล้วพวกเขาก็อยากที่จะเดินออกไป
“เฮ้ พวกเจ้าจะไปไหนกันเหรอ? ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ”
“นี่ ฟังข้านะ…”
“ปัง!”
เสียงประตูปิดกระแทกดัง
มือที่กำลังเช็ดน้ำมูกอยู่ของมู่หรงหยุดนิ่ง นี่เธอทำอะไรผิดงั้นเหรอ?!!!
น่ารำคาญจริงๆ เธอโยนผ้าเช็ดหน้าในมือและล้มตัวลงไปนอนพักที่เตียง อย่างที่คิดไว้เลย เธอมันก็แค่กะเทย จะเอามาพูดล้อเล่นก็ไม่ได้
เมื่อกลับไปที่ห้อง ทุกคนก็พยายามอย่างดีที่สุด พวกเขาดื่มน้ำกันเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามที่จะเก็บกดความวุ่นวายใจไว้ พวกเขาอดไม่ได้ที่รู้สึกอยากจะอัดใครสักคน
ที่อีกฝั่ง สองพี่น้องที่กลับไปที่ตระกูลเฟิงก็ถูกเหล่าผู้ใหญ่ของตระกูลถามคำถามมากมาย รวมทั้งพ่อแม่ของพวกเขาด้วยที่กำลังถามว่าเกิดอะไรขึ้นในป่าแห่งความตายและพวกเขาหนีออกมาได้ยังไง
อันที่จริงก่อนที่จะกลับมา เฟิงจือหลิงและน้องสาวก็คิดคำตอบไว้บ้างแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่พูดถึงเรื่องของมู่เทียน ทุกคนต่างก็รู้ว่ามิติลับของมู่เทียนต่อต้านกับท้องฟ้า ถ้าพวกเขาพูดเรื่องนี้ออกไป ผลที่จะตามมาคงยากที่จะนึกจริงๆ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่อยากให้คนคนนั้นเป็นอันตรายอะไรเลยสักนิด ถึงแม้น้องสาวของเขา เฟิงจือหลินจะไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ แต่เฟิงจือหลิงก็รู้จักเธออย่างดีและน้องสาวของเขาก็คงจะชอบ มู่เทียนอย่างมากด้วย
เฟิงจือหลิงเพียงแค่บอกครอบครัวเรื่องผู้ชายที่ต่อต้านท้องฟ้าที่มาจากป่าแห่งความตายและในหลุมดำก็ไม่มีสมบัติอะไรทั้งนั้นเพียงเท่านั้น แล้วเขาก็บอกเพียงแค่ว่าพวกเขาปลอมตัวออกมาและแยกย้ายกับคนอื่นๆ ส่วนเรื่องตำนานระดับสีม่วง เขาก็พูดเพียงแค่ว่าท่านผู้เฒ่าถูกชายที่ต่อต้านสวรรค์โจมตี แต่พวกท่านก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรพวกเขามากเกินไป