บทที่ 270
เจ้าอยู่กับพวกเราไม่ได้
เช้าวันต่อมาเมื่อเฟิงจือหลิงและน้องสาวกลับมาที่สำนักหลงหยู่ พวกเขาก็ได้ยินเรื่องที่ทุกคนพูดคุยกัน
แม้แต่เฟิงจือหลิงเองก็รู้สึกตกใจกับเรื่องที่ว่าหลานซุนรับลูกศิษย์ ครั้งหนึ่งเขาเคยสมัครไปแล้ว โชคไม่ดีที่หลานซุนบอกเพียงแค่ว่า “ไม่รับลูกศิษย์!” เขาจึงต้องล้มเลิกความคิดไป
อย่างไรก็ตามมู่เทียนถูกหลานซุนรับเป็นศิษย์งั้นเหรอ?! ไม่ใช่มู่เทียนที่ร้องขอแต่เป็นท่านหลานซุนเองด้วย งั้นก็หมายความว่าคุณสมบัติของเขาต่ำกว่าของมู่เทียนอีกงั้นเหรอ
“พี่ใหญ่ เป็นอะไรหรือเปล่า?” เฟิงจือหลินเห็นสีหน้าของพี่ชายที่ดูจะบูดเบี้ยว เฟิงจือหลิงส่ายหัว มีคนอยู่มากมายแต่เขาเพียงแค่ไม่อยากที่จะเป็นคนที่แย่ยิ่งกว่ามู่เทียน เขาอยากที่จะปกป้องเขาแทนที่จะคอยหลบอยู่ข้างหลังเขา วันนั้นคำพูดของชายคนนั้นยังดังก้องอยู่ในหูของเขา ทำให้เขาอยากที่จะแข็งแกร่งมากขึ้น
มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นและก็รีบบินไปที่อาคารไม้ไผ่ของหลานซุนทันที
เหลือไว้เพียงเฟิงจือหลินที่ยืนงงอยู่คนเดียว
“ท่านหลานซุน!” เฟิงจือหลิงคุกเข่าอยู่ด้านนอกก่อไผ่พร้อมตะโกนเรียก ในป่าไผ่จะมีเขตแดนอยู่ ถ้าเข้าไปในป่าไผ่โดยไม่ได้อนุญาตจากหลานซุนก็จะต้องเจอจุดจบคือความตาย เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคนพยายามที่จะบุกเข้าไปและถึงแม้จะอยู่ในระดับสีม่วงก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาไปแตะโดนเขตแดนในป่าไผ่ผลที่ได้คือไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
“ท่านหลานซุน!”
เฟิงจือหลิงเรียกต่อไปเรื่อยๆ ถ้าหลานซุนไม่ออกมา เขาก็จะเรียกต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ
“เจ้ามาทำไมอีก!” หลานซุนยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือป่าไผ่และมองลงมาที่เฟิงจือหลิง เขามีความประทับใจกับเด็กหนุ่มคนนี้ มีเพียงคนไม่กี่คนที่จะมีหัวใจแห่งการต่อสู้ที่บริสุทธิ์เหมือนกันเด็กหนุ่มคนนี้ นอกจากนี้ด้วยอายุที่ยังน้อยของเขาก็ยิ่งทำให้เขาประทับใจมากขึ้นไปอีก
“ท่านหลานซุน ช่วยรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถอะ!” เฟิงจือหลิงคุกเข่าลงข้างหนึ่งและมองไปที่หลานซุนด้วยสายตาหนักแน่น
“ข้าจำได้ว่าข้าบอกปฏิเสธเจ้าไปแล้วนะ!” หลานซุนเปิดปากพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะไม่รับลูกศิษย์ แต่เมื่อวานท่านเพิ่งรับลูกศิษย์ไปไม่ใช่เหรอ?”
“เจ้าสงสัยในตัวข้างั้นเหรอ?” ดวงตาของหลานซุนแวบประกายเย็นชา ร่างกายทั่วทั้งตัวส่งรังสีออกมาพุ่งตรงไปที่ เฟิงจือหลิงที่อยู่ที่พื้น
จู่ๆเฟิงจือหลิงก็รู้สึกราวกับว่ามีภูเขามากดทับเขาไว้แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่แรงกล้าของเขาทำให้เขากดฟันกรอด ยืดเอวตรงและพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ก้มหัวลงไป เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของเฟิงจือหลิงก็เหมือนราวกับถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ทันใดนั้นหลานซุนก็ดึงพลังกลับไปและพูดออกมาว่า “ได้ หัวรั้นจริงๆ! ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าจะให้โอกาสเจ้า ถ้าเจ้าสามารถขึ้นมาถึงระดับสีม่วงได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์! แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!” หลังจากที่พูดออกไปจบ หลานซุนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
เฟิงจือหลิงขึ้นมาในระดับสูงสุดของระดับสีฟ้าเมื่อสองปีที่แล้วแต่ภายในสองปีนี้เขาก็ยังไม่สามารถที่จะก้าวผ่านขึ้นไปในระดับสีม่วงได้เลย
ตอนนี้หลานซุนมาขอให้เขาก้าวข้ามภายในระยะเวลาแค่อาทิตย์เดียว แต่เขาก็จะไม่ยอมแพ้ ถ้ามู่เทียนทำได้ เขาก็ต้องทำได้ด้วยเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงมู่เทียน หัวใจเขาก็เต้นรัวขึ้นมาทันที เขาเข้าใจว่ามันคืออะไรแต่ก็ไม่หยุดไม่ได้และไม่อยากที่จะหยุดด้วย
“เป็นอะไรหรือเปล่า?! มีอะไรหรือเปล่า?” มู่เทียนกำลังเดินเข้ามาแต่เมื่ออยู่ดีๆก็เห็นเฟิงจือหลิงที่ตัวเปียกโชกปรากฏตัวขึ้นมา เธอก็สะดุงกระโดดโหยงเลยทันทีและรีบถามออกมา
แน่นอนว่าหลินหนานและคนอื่นๆก็มาที่นี่ด้วย พวกเขาบอกว่าการประเมินจะเริ่มขึ้นในอีกอาทิตย์ข้างหน้าแต่อยู่ดีๆก็ได้ยินประกาศก่อนล่วงหน้า อย่างไรก็ตามพวกเขาก็พบว่าไม่มีใครออกมาทำการประเมินเลย ดูเหมือนว่าหลินหนานเป็นคนเดียวที่ได้รับการประเมิน
ในระหว่างช่วงเวลาของการประเมินของหลินหนานและคนอื่นๆ มู่หรงเสวี่ยก็ไปเดินชมการตกแต่งภายในของสำนัก หลงหยู่แล้วก็ไปเจอเข้ากับเฟิงจือหลิน เมื่อได้ยินว่าพี่ชายของเธอมีอะไรผิดปกติ พวกเธอจึงออกไปตามหาเฟิงจือหลิงด้วยกัน
ในระหว่างทางมู่หรงเสวี่ยก็ได้ยินเฟิงจือหลินพูดว่า เฟิงจือหลิงไปหาหลานซุนที่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เห็นเขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่และร่างกายเปียกชุ่มไปหมด
“อาจารย์ของข้ารังแกเจ้าหรือเปล่า?! ข้าจะไปคิดบัญชีกับเขาเอง…” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปในป่าไผ่เพื่อแก้แค้นให้เพื่อของตัวเอง
“เปล่า!” เฟิงจือหลิงยกหลังเสื้อของมู่เทียนและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเชื่อเลย! “งั้นทำไมเจ้าถึงสภาพเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เฟิงจือหลินไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะเธอรู้ว่าศักดิ์ศรีของพี่ชายเธอหนักแน่นขนาดไหน
“อย่าสนใจเลย มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้า!” เวลาที่เขาย้ำแย่ขนาดนี้ เขาเพียงแค่ไม่อยากให้เธอต้องมาเห็นเท่านั้นเอง
“เจ้าอารมณ์ไม่ดีงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจน้ำเสียงเหลืออดของเขา ถ้าเธออารมณ์ไม่ดี น้ำเสียงของเธอก็คงจะแย่ยิ่งกว่านี้อีก ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาอะไรดื่มกันสักแก้ว สองแก้วแล้วความกังวลก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้งเลย…” เธอจับแขนเขาและพาเดินออกไปข้างนอก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?!! เฟิงจือหลิงดึงแขนตัวเองกลับมา “ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเจ้าหรอกนะ ข้าจะไปแล้ว…” เขาอยากที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เจ้าจะไปไหนอ่ะ?!!! ข้าบอกเลยนะ เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าน้องสาวเจ้าจะร้องไห้แล้วเนี่ย…” มู่หรงเสวี่ยดึงเฟิงจือหลินมาอยู่ตรงหน้าเขาและดึงแขนเขาอย่างแรง
เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะถูกดึง ดวงตาของเขาแดงระเรื่อ บ้าจริง มือของมู่เทียนนี่หนักจริงๆเลย สีหน้าของเฟิงจือหลิงไร้ซึ่งคำพูด เขาไม่เห็นสัญญาณเล็กน้อยแบบนี้ได้ยังไง?! แต่มู่เทียนก็เป็นคนที่มีเรื่องให้ตกใจไม่แปลกใจไม่หยุดเลยเหมือนกัน สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่อยากที่จะฝึกวิชาเท่านั้นเอง…”
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่ดวงตาของเขาเขม็ง ไม่มีร่องรอยของการโกหกงั้นก็เดาว่าคงเป็นเรื่องจริง “ข้าก็จะไปด้วยเหมือนกัน เอาเป็นว่าเราไปด้วยกันดีไหม?” เธอแนะนำ
เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า เพราะตั้งแต่ที่คราวที่แล้วที่เธอได้เจอกับชายชุดดำ เธอก็รู้สึกว่าเฟิงจือหลิงมีบางอย่างผิดปกติไป ลมหายใจเขาไม่เสถียรราวกับว่าได้กลิ่นอันตราย
งั้นเธอคงต้องดูแลเขาหน่อย ยังไงซะในป่าแห่งความตายสองพี่น้องนี่ก็ช่วยพวกเขาไว้ทั้งๆที่ในตอนนั้นก็ยังไม่สนิทกัน ในความคิดของเธอพวกเขาเป็นพี่น้องที่ยอมตายแทนกันได้เลย
“ไม่ต้อง ข้าอยากที่จะอยู่คนเดียว! ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวอีกอาทิตย์ข้าก็กลับมา!”
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น เพื่อที่ เฟิงจือหลินและมู่เทียนจะได้พูดห้ามอะไรเขาไม่ได้!
สุดท้ายมู่เทียนก็ตบเขาเบาๆที่ไหล่และพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะรอให้เจ้ากลับมา!”
มู่เทียนพยักหน้าและรีบปล่อยเพื่อนไปทันที
เฟิงจือหลินไม่แปลกใจกับการตัดสินใจของพี่ชายเลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ชายของเธอตัดสินใจแบบนี้ เขาจะหลบไปอยู่คนเดียวสักพักและเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ก็จะมีแต่เรื่องน่าประหลาดใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ชายของข้าจะต้องไม่เป็นไร!” เธอตบไปที่ไหล่ของมู่เทียน
“ข้ารู้ว่าเขาจะต้องไม่เป็นไร! ข้าแค่เป็นห่วง” มู่หรงเสวี่ยพูด
เฟิงจือหลินถามออกมา “ห่วงอะไรเหรอ?”
“ข้าก็เพิ่งจะพูดไปเองไม่ใช่เหรอ?! ข้าเป็นห่วงว่าทำไมตัวเองถึงได้หล่อขนาดนี้ อีกอย่างข้าหลงใหลตัวเองมากจริงๆ”
หัวของเฟิงจือหลินมึนไปหมดจนต้องเตะออกไป “ตายเถอะ!”
แล้วเธอก็หันหลังและเดินจากไป อารมณ์ของเธอยังไม่เปลี่ยนแปลง
มู่หรงเสวี่ยที่นั่งลงกับพื้น ยิ้มเล็กน้อยพร้อมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยรอยขำ
ปล่อยเรื่องร้ายต่างๆที่โลกทิ้งไป คนใจร้าย, หัวใจที่เกลียดชัง เธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างป่าเถื่อน
สิ่งที่เธอไม่รู้คือรอยยิ้มของเธอในตอนนี้ตรึงลงไปในหัวใจของคนสองคนอยู่นานจนสงบใจไม่ได้
จนกระทั่งช่วงบ่าย หลินหนานและคนอื่นๆก็ออกมาจากลานหินการประเมินที่อยู่ด้านใน มู่หรงเดินเข้ามาหาและถามออกมาว่า “เป็นไงบ้าง?” เธอเชื่อว่าพวกเขาจะต้องทำได้หมดแน่ๆและเธอก็ไม่ได้ห่วงอะไรมาก
“อ่า! มู่เทียน พวกเราผ่านกันทุกคนเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!! ขอบคุณมากนะมู่เทียน”
มู่หรงเองก็เผยรอยยิ้มมีความสุขเช่นกัน “ฮ่าฮ่าฮ่า มันก็เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?! ทั้งหมดเพราะความพยายามของพวกเจ้าเอง ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก”
“ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีเจ้า พวกเราก็คงไม่สามารถที่จะมาถึงจุดนี้ได้” หวู่เสี่ยวเหมยเองก็เขย่ามือมู่หรงเสวี่ยอย่างตื่นเต้น
“ไปกันเถอะ ไปฉลองกัน!” มู่หรงเสวี่ยพูด
หลินหนานดึงมู่เทียนมา “เดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะพูด…” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของคนอื่นๆก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอ? มีอะไงงั้นเหรอ?! อย่างน้อยเร็วๆนี้เราก็ไม่มีปัญหาอะไรหนักๆแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เราควรจะมีความสุขไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้ายังทำหน้าบึ้งแบบนั้นอีก”
“เมื่อกี้อาจารย์บอกเรา จะให้พวกเราไปที่อื่นเพื่อร่วมในภารกิจลับ คงจะไม่ได้กลับมาอีกสักพัก…” หลินหนานพูดเสียงเบา
“มันก็แค่ภารกิจ ทำไมเราถึงไม่ไปด้วยกันล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่อะไร
“ครั้งนี้ พวกเราคงจะดูแลกันเองไม่ได้”
มู่หรงเสวี่ยหยุดและหันกลับมาถาม “ทำไมล่ะ? ข้าไปสร้างปัญหาอะไรให้พวกเจ้าหรือเปล่า?”
“เปล่า มันเป็นกฎของสำนักซึ่งดูเหมือนจะเป็นภารกิจลับพิเศษ ดังนั้นพวกเราจึงถูกขอให้มาทำการประเมินล่วงหน้า เรายังไม่รู้ว่าภารกิจจริงๆแล้วคืออะไรแต่อาจารย์รู้ว่าพวกเราสนิทกับเจ้ามาก ดังนั้นท่านจึงบอกพวกเราเป็นพิเศษว่าอย่าให้เจ้าไปที่นั่น!” จ้าวฉีอธิบาย
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว นี่มันฟังดูแปลกๆนะ ภารกิจแบบไหนที่ต้องให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาที่สำนักเป็นคนจัดการ ฟังดูไม่มีเหตุผลเลย “พวกเจ้าจะเริ่มเมื่อไร?! แล้วจะไปกันที่ไหน? ใครเป็นคนนำทีม? นอกจากพวกเจ้าแล้วมีคนอื่นอีกไหม?” เธอถามคำถามมากมายออกมายาวไปหมด