บทที่ 271
คนขี้เหนียว
หลินหนานคิดอยู่สักพัก “ดูเหมือนว่าวันนี้ที่นี่จะมีแค่พวกเรา รองประธานของสำนักหลงหยู่ขอให้เราไปโดยเร็วที่สุดและให้พวกเราไปรวมกันที่ชานเมืองเช้าตรู่พรุ่งนี้…” หลังจากที่ หลินหนานพูดจบ เขาก็รู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ!
“แล้วสุดท้ายพวกเจ้าประเมินอะไรกันเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“พูดถึงเรื่องนี้ มันก็แปลกจริงๆ ไม่มีการประเมินเลย เขาแค่ให้พวกเราทดสอบพลังสมรรถภาพร่างกายแล้วรองประธานก็มาแตะที่กระดูกของพวกเราแล้วก็พูดออกมาว่า “มันดีใช่ไหมที่ได้ตรวจคุณสมบัติของพวกเจ้า?” รองประธานพูดกับหวู่เสี่ยวเหมย ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่ามันน่าขนลุกอยู่นิดหน่อยก็ตาม
หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่ถามเรื่องครอบครัวของพวกเธอ เมื่อเขาได้ยินว่าพวกเธอเป็นเด็กกำพร้า เธอก็สังเกตเห็นแวบประกายความพอใจเป็นพิเศษในสายตาของรองประธาน เธอเป็นคนที่อ่อนไหวมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เธอมักจะกังวลเสมอว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี ดังนั้นเธอจึงมักจะสนใจอาการสีหน้าของคนอื่น อย่างไรก็ตามหลายชั่วโมงที่เธอได้ใช้เวลาอยู่กับรองประธานทำให้เธอรู้สึกหนาวยะเยือกแต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่คิดว่ารองประธานคงจะเป็นคนแบบนี้เอง
“ไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอที่มีคำสั่งเป็นพิเศษว่าไม่ให้ข้าไปด้วย?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ดูเหมือนจะเป็นเพราะท่านหลานซุนนะ! รองประธานบอกว่าในฐานะศิษย์ของท่านหลานซุน เจ้าเลยต้องไปฝึกกับเขา!” จ้าวฉีทวนคำพูดของรองประธาน
สายตาของมู่หรงเสวี่ยแวบประกายเย็นยะเยือกและเธอจึงหันไปพูดกับหลินหนาน “พวกเจ้าควรที่จะกลับไปพักที่โรงแรมนะ ก่อนที่ข้าจะกลับ ข้าอยากจะแวะไปหาท่านอาจารย์หลานซุนหน่อย” หลังจากที่อธิบายกับพวกเขาอย่างระวังแล้ว เธอก็รีบวิ่งไปที่ป่าไผ่
น่าแปลกที่ป่าไผ่ที่เฟิงจือหลิงดูเหมือนจะก้าวผ่านไปไม่ได้แต่กลับมู่หรงเสวี่ย เธอกลับเดินผ่านไปได้อย่างง่ายดายราวกับว่าไม่มีอะไรมาขวางเธออยู่ข้างหน้าเลย
มู่หรงเสวี่ยเปิดประตูและเห็นหลานซุนกำลังนั่งพักจิบชาอยู่บนเก้าอี้ไผ่ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงข้างๆเขาโดยไม่ได้พูดอะไร ช่างมีมารยาทจริงๆ
“ท่านอาจารย์ ใครคือรองประธานเหรอ?” เพราะเธอวิ่งมาด้วยความเร็ว จึงรู้สึกกระหายน้ำอยู่นิดหน่อย แล้วเธอก็เอื้อมมือไปหยิบแก้วชาในมือของหลานซุนและยกขึ้นดื่มทันที
มือของหลานซุนหยุดนิ่งแล้วจึงพูดเตือนเขาขึ้นมา “นั่นถ้วยของข้า…”
“ขี้เหนียว แค่ดื่มชานิดเดียวเอง! ยังจะมาพูดอยู่อีก! ท่านยังไม่ตอบคำถามของข้าเลยนะ…” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่หลานซุนด้วยสายตาดูถูก ราวกับว่ากำลังมองหุ่นยนต์อยู่
ขี้เหนียวงั้นเหรอ?!! หลานซุนไม่เข้าใจโครงสร้างของสมองเธอจริงๆ “รองประธานทำไมงั้นเหรอ?” หลานซุนค้นหาข้อมูลในจิตใจของตัวเอง จำได้รางๆว่าเขาเป็นชายแก่อายุประมาณ 50 ที่มีท่าทางน่าเกลียดและระดับการฝึกตนต่ำ! การระบุตัวตนเสร็จสมบูรณ์!
“เขาเป็นผู้ชายแบบไหนกันเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอีกครั้ง
“ก็แค่ชายแก่!” หลานซุนยกมือขึ้นและหยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ามู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะดื่มเข้าไป เขาหยุดไปชั่วขณะ หลังจากสักพักเขาก็วางถ้วยชาลงและไม่ยอมดื่ม!
มู่หรงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “ใครจะไม่รู้ว่าเขาเป็นชายแก่! ข้าหมายถึง เขาเป็นคนยังไงต่างหาก?”
“ดูข้าเหมือนคนที่สนใจเรื่องชายแก่นั่นหรือไง?” หลานซุนเหล่ไปที่เธอ
“งั้นท่านก็ไม่รู้งั้นเหรอ?” จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็ขึ้นเสียงสูง
“ข้าไม่สนใจเรื่องต่างๆของสำนักหลงหยู่หรอก ข้าเพียงแค่อยู่ที่นี่เพราะว่ามันเงียบและสงบดี…”
เธอมาเพื่อที่จะถามเขาแต่เขากลับทำตัวงี่เง่า ท่านอาจารย์นี่ไร้ประโยชน์จริงๆ มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและเตรียมที่จะวิ่งออกไปข้างนอก
หลานซุนอุ้มเธอขึ้นได้อย่างง่ายๆ “เจ้าจะไปไหน?”
“ปล่อยข้านะ ข้าจะกลับบ้านนะสิ! ท่านเป็นอาจารย์ที่ไร้ประโยชน์จริงๆ ปล่อยนะ! ปล่อยสิ!
หลานซุนมองไปที่เจ้ากระต่ายน้อยที่กำลังดิ้นอยู่เบื้องหน้าเขาพร้อมขมวดคิ้ว “เจ้ากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง?”
“อะไรนะ?! ปล่อยข้าก่อนสิ…” ทำไมเขาถึงชอบอุ้มเธอขึ้นนักนะ? เขาสูงมากเลยจริงๆ!
“เงียบ!”
วางฉันลง! วางฉันลง! วางลง…ข้าจะกลับ…”
หลานซุนทนไม่ได้ที่จะโยนเธอลงแต่เขากลับลากเธอไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณและไม่ปล่อยให้เธอตกลงไปที่พื้น
มู่หรงเสวี่ยรีบกระโดดขึ้นทันที “ไอ้ทุเรศ ไอ้ลูกหมา!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็มองไปที่รอยข่วนที่หน้าของหลานซุนและสีหน้าเคร่งขึ้นมาทันที เธอก้มหัวลง บิดกรงเล็บเล็กๆของเธอไปมาและแอบชำเลืองมองไปที่หลานซุน เขามองมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชา เธอจึงรีบก้มหัวทันที ผลก็คือเธอได้เห็นเสื้อผ้าที่ร่างกายของหลานซุนที่เธอเพิ่งจะฉีกไปทั่ว เธอหัวเราะและพูดออกมาอย่างเขินๆ “ท่านอาจารย์ที่รัก”
เมื่อกี้ยังเรียกเขาว่าไอ้ทุเรศ ไอ้ลูกหมาอยู่เลย! สีหน้าของหลานซุนหนักอึ้งขึ้นมากกว่าเดิม
“โอ๊ย ข้าก็แค่ล้อเล่นกับท่านเอง…” นิ้วเล็กๆเกาะเกี่ยวพันกันเป็นเกลียวราวกับเป็นเด็กสิบขวบ
“นี่เจ้าล้อข้าเล่นงั้นเหรอ?” น้ำเสียงเย็นชา!
มู่หรงเสวี่ยตัวสั่นยิ่งเหมือนลูกหมาเข้าไปใหญ่เลย เธอรีบหยิบกาน้ำชาขึ้นมาเพื่อรินและยื่นส่งให้เขาทันที “ท่านอาจารย์ที่รัก อย่าโกรธข้าเลยนะ! ข้าขอโทษโดยการรินชาให้ท่านนะ…”
หลานซุนมองไปที่ลูกศิษย์ที่กำลังยิ้มอยู่เบื้องหน้าเขาและชาที่เธอไม่ได้เทอย่างจริงใจ ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงได้รู้สึกปวดท้องขึ้นมาล่ะ? ความรู้สึกสั่นในท้องแบบที่เขาไม่ได้รู้สึกมากนานแล้วทำให้เขาขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างรังเกียจ “ชานี่ที่เจ้าเพิ่งดื่มไปเมื่อกี้นิ…”
มู่หรงเสวี่ยสะดุ้งจนเกือบที่จะเทน้ำชาราดหน้าท่านอาจารย์ของตัวเอง อย่างไรก็ตามจู่ๆหัวใจของเธอก็ตกใจเพราะผลงานชิ้นเอกของตัวเอง เธอผิดไปแล้ว “ข้าจะหาถ้วยใหม่ให้…” หลังจากที่หาอยู่ทั่วห้อง เธอก็ต้องตกใจที่หาถ้วยอีกใบไม่เจอเลย อาจารย์ของเธอนี่จนจริงๆเลย ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่เต็มใจที่จะให้ของขวัญกับเธอ นี่เป็นความผิดของเธอเองที่คิดว่ากิ๊บติดผมเก่าๆเป็นของหายาก
หลังจากที่เธอกลับมาวันนั้นเพราะหลานซุนบอกว่ามันพิเศษมากๆ เธอดูมันอย่างละเอียด ผลก็คือไม่ว่าเธอจะหลั่งเลือดหรือร่ายมนตร์มากแค่ไหน เธอก็ทำอะไรกิ๊บอันนั้นไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของท่านอาจารย์ เธอก็ยังอุตส่าห์โยนมันเข้าไปเก็บในมุมหนึ่งของมิติลับ
ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจอาจารย์ของตัวเองผิด เดาว่าอาจารย์เธอคงจะไม่มีของดีๆจริงๆ
ไม่งั้นทำไมแม้แต่ถ้วยเขาก็ยังไม่มีอีก จนจริงๆ…
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยลืมไปซะสนิทเลยว่าอาจารย์ที่เธอบอกว่าจนเป็นคนที่ฝีมือดีที่สุดในโลก แล้วทำไมเขาถึงจนได้ขนาดนี้ล่ะ
“ท่านอาจารย์ ถ้าท่านไม่ดื่มชางั้นข้านวดขาให้ท่านเอาไหม?” มู่หรงพาอาจารย์ไปนั่งที่เก้าอี้โดยไม่สนใจสีหน้าที่ เคร่งครึ่มของหลานซุนเลย
ที่มือเพิ่มพลังแห่งจิตวิญญาณและนวดไปหลายครั้ง ระหว่างที่กำลังนวดเธอก็พูดออกมาอย่างหลงตัวเอง “ดูสิท่านอาจารย์ สบายไหม?! จะไปหาลูกศิษย์ดีๆแบบนี้จากที่ไหน…”
เพราะการนวดทำให้สีหน้าของหลานซุนดีขึ้นมามากจากความรู้สึกชาและเมื่อยที่ขา “ทำไมอยู่ดีๆเจ้าถึงมาถามเรื่องของรองประธาน?” เขาไม่ลืมเรื่องที่เธอมาถามเขาตั้งแต่แรก ถ้าตามเหตุผลแล้วคงไม่มีใครโง่พอที่จะยุ่งกับมู่เทียนทั้งๆที่เขาประกาศไปแล้วว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของเขาหรอก
“ท่านไม่รู้หรอ ไม่มีอะไรหรอก…” เธอคิดว่ารองประธานมีบางอย่างผิดปกติมากๆ พรุ่งนี้เธอจะต้องแอบตามไปเงียบๆหน่อยแล้ว ถ้าพูดออกไปก็จะแปลกๆ เธอไม่เชื่อใจหลินหนาน
“พูดออกมา” หลานซุนพูดอย่างเย็นชา
บ้าจริง อาจารย์ของเธอนี่เยือกเย็นจริงๆ หรือว่าเป็นหุ่นยนต์กันแน่นะ ถึงได้พูดออกมาแต่ละคำช่างเย็นชาเหรอเกิน เมื่อกี้เธอทำอะไรผิดไปหรือไงนะ เธอนี่ไม่เข้าใจเข้าเลยจริงๆ เธอกระซิบเรื่องที่หลินหนานบอกเธอให้เขาฟัง
“แล้วไง? แล้วเจ้าจะทำอะไร?” นิ้วของหลานซุนขยับเล็กน้อยแล้วทำท่าเมินเฉยในระหว่างที่พูดออกมา
“พรุ่งนี้ข้าจะตามพวกนั้นไปด้วย” มู่หรงไม่ได้ปิดบังแต่พูดออกมาตรงๆ
หลานซุนหยุดพลังแห่งจิตวิญญาณของเธอที่กำลังนวดอยู่ที่ขา อย่าคิดว่าเขาไม่รู้เพราะมือของเธอไม่ได้ขยับนวดเลยสักนิด เธอเพียงแค่ทำท่าทางและใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อสร้างรูปแบบของคลื่น เขาไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เขาเพียงแค่พูดออกมา “เจ้าดีกับพวกเขาจริงๆ…”
ก่อนหน้านี้มู่เทียนเป็นคนที่เย็นชา เธอไม่เคยสนใจเรื่องความเป็นความตายของคนอื่น ยกเว้นก็แต่กับคนพวกนั้น เธอถึงขนาดยอมเสียสละความสุขและความปลอดภัยทั้งหมดของตัวเอง
“แน่นอนสิ เราเป็นเพื่อนกันจนเหมือนกับครอบครัวเดียวกันไปแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยนึกถึงหลินหนานและคนอื่นๆ และใบหน้าของพวกเขาพร้อมรอยยิ้มก็ยากที่จะลืมได้
ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในสายตาของหลานซุน นิ้วของเขาจับที่คางของเธอ ใบหน้าของพวกเขาเข้าใกล้กันอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยกะพริบดวงตากลมโต เธอหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อเขาพยายามที่จะแกะมือของหลานซุน เธอก็พบว่าหลานซุนปล่อยเธอออก
“เจ้ากลับไปเถอะ!” น้ำเสียงที่เย็นชาของหลานซุนดังขึ้นมา
กว่าที่เธอจะได้สติ เธอก็ถูกเหวี่ยงออกมานอกประตูแล้วและประตูไม้ไผ่ก็ถูกปิดใส่หน้าเธอ ดวงตาเธอเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอถูกไล่ออกมาแบบนี้เลย “ปีศาจหลายหน้าจริงๆ!”
มู่หรงเสวี่ยทำหน้าบูดเบี้ยวที่หน้าประตูและเดินออกไปด้วยความโมโห อาจารย์ควรที่จะสอนเธอไม่ใช่เหรอ?! แล้วแบบนี้เขาจะช่วยให้เธอพัฒนาระดับการฝึกตนได้ยังไงล่ะ? นอกจากชื่อเสียงของเขาแล้ว เธอก็เห็นเลยว่าอาจารย์จะมีประโยชน์อะไร?!!
เธอติดอยู่ในระดับขั้นต้นของระดับสีม่วงมานานแล้ว ไม่ว่าเธอจะฝึกซ้อมมากแค่ไหน เธอก็ยังไม่ก้าวหน้าเลยสักนิด
เมื่อถามเสี่ยวไป๋ มันก็ทำเพียงแค่มองเธอด้วยสายตาดูถูก มันพูดว่าตราบใดที่เธอฝึก เธอก็ต้องก้าวผ่านปัญหานี้ไปได้ ถึงแม้เธอจะกลายเป็นพระเจ้า แต่ก็ยังต้องมีปัญหาอยู่ดี เรื่องแบบนี้มีได้ แต่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆไม่ต้องกังวลหรือจะออกไปหาประสบการณ์ก็ได้
แน่นอนว่าเธอจะต้องออกไปหาประสบการณ์แต่อย่างแรกเลย เธอจะต้องรู้ข่าวคราวของพ่อแม่เธอก่อน เธอกังวลเรื่องนี้อย่างมาก นอกจากนั้นวันนี้ก็อยากที่จะถามหลานซุนเรื่องพ่อแม่ของเธอด้วย เธออยากที่จะรู้ว่ามีข่าวอะไรเรื่องพ่อแม่ของเธอบ้าง บางทีเธออาจจะกังวลมากเกินไป แม้ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่จะพัฒนาไปมากเพียงใดก็ตามแต่การจะตามหาใครสักคนก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ดี
หลานซุนที่อยู่ในศาลาไม้ไผ่ มองไปที่นิ้วของตัวเองและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขาถอดหน้ากากสีเงินออกและใบหน้าที่หล่อเหลาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้า ไฝสีแดงราวกับหยดน้ำตาที่หางคิ้วของเขาดูมีเสน่ห์อย่างมากจริงๆ
เขากระซิบ “มู่เหลาหยู่!”
มันเหมือนกับชื่อที่จักรพรรดิเรียกออกมาในวันนั้น
หลังจากกลับมาที่พัก มู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดอะไร เธอก็แค่เตรียมยาสำหรับทุกคน แม้แต่อาวุธที่ชั้นสองของหอคอยเก้าชั้นก็ยังถูกเอาออกมาเตรียมไว้ด้วยให้เหมาะสมกับอาวุธแห่งวิญญาณ
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนใจ หัวใจยังรู้สึกหนักแน่น เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นที่สุดเธอก็ค่อยออกมาจะดีที่สุด
วันต่อมา หลินหนานและคนอื่นๆก็กล่าวลามู่เทียนอย่างไม่เต็มใจเท่าไรและเตรียมที่จะออกเดินทางไปชานเมืองพร้อมด้วยมือที่โบกสะบัดของมู่เทียน
ไม่นานหลังจากที่พวกเขาออกไป มู่หรงเสวี่ยก็ตามพวกเขาไป เหตุผลที่เธอไม่บอกพวกเขาก็เพราะเธอรู้จักพวกเขาดีและก็คงจะไม่ยอมให้เธอตามไปแน่ๆ เธอจึงเลือกที่จะตามไปอย่างลับๆแทน ยังไงซะก็ไม่มีใครหาเธอเจออยู่แล้วเพราะระดับการฝึกตนระดับสีม่วงของเธอ
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงทางแยกของชานเมือง มู่หรงเลือกต้นไม้สูงๆแถวนั้นเพื่อที่จะซ่อนตัว และยังปรับลดระดับการหายใจของทั้งร่างกายด้วย
จากตำแหน่งของเธอสามารถที่จะเห็นอาการท่าทางของหลินหนานและคนอื่นๆได้อย่างชัดเจนและได้ยินว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอะไร รองประธานยังไม่มาแต่ตรงนี้มันก็ห่างออกมาไกลมาก ทำไมถึงเลือกมานัดกันไกลขนาดนี้ล่ะ? ที่นี่ไม่มีใครเลย ไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นไม้มากมาย แม้แต่นกสักตัวก็ยังไม่มี นี่มันดูจะแปลกๆอยู่นิดหน่อย
ตั้งแต่ที่มาถึงมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มที่จะรู้สึกแล้วว่าที่นี่มันเงียบแปลกๆ
หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็เห็นรองประธานเดินออกมาจากอีกที่หนึ่ง เขามาคนเดียว ไม่มีนักเรียนคนอื่นๆเลย อีกอย่างเห็นได้ชัดๆว่ารองประธานดูต่างไปจากที่สำนัก เขาสวมชุดดำทั้งตัวและสีหน้าของเขาก็ดูบิดเบี้ยวยังไงไม่รู้
“ไปกันเถอะ!” รองประธานหันมาพูดกับหลินหนานและคนอื่นๆ แล้วจึงออกเดินนำทีมไปด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นมาเล็กน้อยราวกับคนที่กำลังเร่งรีบทั่วไป
หลินหนานและคนอื่นๆไม่ได้พูดอะไรและเดินตามไป
มู่หรงเสวี่ยตามไปห่างๆและไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้มากเกินไป เหตุผลหลักก็เพราะรองประธานอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วง เธอกลัวว่าจะถูกตรวจเจอเข้าดังนั้นจึงพยายามที่จะเว้นระยะห่างนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเธอตามไปมากเท่าไร มู่หรงเสวี่ยก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นเท่านั้น นี่มันถนนเลียบหน้าผาของป่าแห่งความตายชัดๆเลย ปกติแล้วจะไม่มีใครมาที่นี่เลย เหตุผลที่เธอรู้ก็เพราะตอนที่เธอออกมาจากป่าแห่งความตายครั้งที่แล้ว เธอได้ยินเสี่ยวไป๋พูดอะไรบางอย่างแต่เธอฟังไม่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่
ยิ่งเธอเข้ามาใกล้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นๆมากขึ้นเท่านั้น เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวยะเยือก
มันแปลกจริงๆที่ตั้งแต่ที่เธอเดินมาตั้งนานแต่ก็ยังไม่เจอสัตว์เลยสักตัว รองประธานให้หลินหนานและคนอื่นๆเข้ามาถึงที่นี่ เขาอยากจะทำอะไรกันแน่?!!!