บทที่ 511 งานสมโภช

บัลลังก์พญาหงส์

ตอนที่ออกมาจากวังหลวง ถาวซินหลันเป็นคนออกมาส่งด้วยตนเอง 

 

 

ด้วยกลัวนางจะหนาว ถาวจวินหลันจึงปฏิเสธ แต่ถาวซินหลันกลับหัวเราะพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่านพี่เจ้าค่ะ” 

 

 

สองพี่น้องเดินเคียงกันอยู่ข้างหลัง แม่นมจูงซวนเอ๋อร์เดินอยู่ข้างหน้า ซวนเอ๋อร์เดินไปเล่นไป เหมาะกับการพูดคุยเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

“วันนั้นฮ่องเต้เสด็จมาเยี่ยมไทเฮา ท่าทางดูดุดันมากกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันพูดเสียงเบา จนได้ยินเพียงแค่พวกนางสองคน ถึงขั้นต้องตั้งใจฟังถึงจะได้ยิน ไม่ต้องพูดถึงนางกำนัลที่อยู่ห่างไกลด้านหลังนั้นเลย 

 

 

ถาวจวินหลันรับคำ ไม่คิดแปลกใจ “สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ดูจะมากเกินไป ฮ่องเต้ต้องตะขิดตะขวงใจเป็นแน่” อีกทั้งรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงแค่ไปคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้ แต่ยังต้องช่วยปิดบังอีก ฮ่องเต้ไม่กริ้วก็น่าแปลกแล้ว แค่ดูจากโทษขององค์รัชทายาท ก็รู้ได้ว่าฮ่องเต้รู้สึกเช่นใด 

 

 

“ฮ่องเต้แทบจะสืบดูผู้หญิงข้างกายทุกคน” ถาวซินหลันหัวเราะเยาะ ส่ายหัวไปมา “แต่เดิมก็สงสัยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่เชื่อใจใครมากขึ้นอีก ท่านกลับไปเตือนพี่เขยสักหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ” ในเมื่อวันนี้สงสัยองค์รัชทายาทได้ เขาย่อมสงสัยลูกชายคนอื่นได้เหมือนกัน 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าเคร่งขรึม รู้สึกว่าทางเดินต่อจากนี้จะต้องลำบากมากขึ้น จึงอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อคนถึงวัยใกล้ฝั่งก็จะขี้สงสัยเช่นนี้ใช่หรือไม่? และอารมณ์ไม่มั่นคงใช่หรือไม่? แล้วหลี่เย่เล่า? หากในอนาคตหลี่เย่เป็นฮ่องเต้ก็จะกลายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่? 

 

 

นางส่ายหน้าไปมา คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้วันนั้นมาถึง นางก็จะต้องเตือนเขา ปลอบประโลมเขาอย่างแน่นอน 

 

 

พอได้สติกลับมา ถาวจวินหลันก็นึกถึงอี๋เฟย จึงถามถาวซินหลันลับๆ ล่อๆ ว่า “สืบอะไรได้บ้างหรือไม่?” 

 

 

ถาวซินหลันส่ายหัว “น่าจะยังสืบไม่พบเจ้าค่ะ แต่พระสนมยศต่ำก็เริ่มได้รับความโปรดปรานแล้ว ช่วงนี้ฮ่องเต้มาวังหลังถี่กว่าแต่ก่อนมากเจ้าค่ะ” 

 

 

ได้ยินว่าเรื่องอี๋เฟยยังสืบไม่พบ ถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าฮองเฮาจะต้องช่วยอย่างแน่นอน ส่วนฮ่องเต้จะโปรดปรานใคร นางกลับไม่เก็บมาคิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ดังนั้นนางย่อมไม่ใส่ใจ 

 

 

“หลายวันมานี้ฮองเฮาไม่พอใจพระชายาองค์รัชทายาทมากนัก และยังไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย” ริมฝีปากของถาวซินหลันยกยิ้ม มีท่าทีดีใจในความทุกข์ของคนอื่น “ฮองเฮากลับชื่นชอบน้องสาวของนางมากกว่า อีกไม่นานคงมีสนุกแน่เจ้าค่ะ คราวนี้หยวนฉงหวาเป็นคนได้รับผลประโยชน์ แต่หลังจากเรื่องนั้นเป็นต้นมา องค์รัชทายาทก็ไม่กล้าถูกตัวสตรีอีก ได้ยินว่าฝันร้ายมาตลอด จนไม่กล้านอนเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

พูดมาถึงสุดท้าย ถาวซินหลันก็ปิดท่าทางเย้ยหยันไม่ได้ ก็แค่เฉือนเนื้อมิใช่หรืออย่างไร? ไฉนเลยจะน่าหวาดกลัวขนาดนั้น? องค์รัชทายาทขี้ขลาดยิ่งกว่าหนูเสียอีก 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นถาวซินหลันมีท่าทีเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วตำหนิ “อยู่ในวังหลวงยังไม่รู้จักระวังคำพูดและการกระทำ ไม่ต้องพูดว่าคนอื่นจะเห็น แม้แต่ไทเฮาก็ให้เห็นไม่ได้ ข้าว่าเฉินฟู่คงโปรดปรานเจ้ามาก ตามใจจนนิสัยเดิมกลับมาหมดแล้ว” 

 

 

ถาวซินหลันอึ้งไป เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่ ผ่านไปนานถึงถอนหายใจ “เป็นข้าที่ลืมตัวไปเจ้าค่ะ” เหมือนกับที่ถาวจวินหลันพูด ตระกูลเฉินเอ็นดูนางมาก จึงไม่ค่อยกดดันนาง ทำให้นางสบายจนเคยตัว และลืมระมัดระวังตัวเมื่อเข้ามาในวังหลวง 

 

 

“ไทเฮาเอ็นดูเจ้าถือเป็นเรื่องดี แต่เจ้าก็จะทำตัวตามใจชอบไม่ได้” ถาวจวินหลันจับมือของถาวซินหลันไว้เบาๆ พลางพูดเสียงอ่อนโยน เมื่อถูกตำหนิแล้ว ถาวซินหลันก็ถือว่าทำได้ดีมาก แต่นางหวังว่าถาวซินหลันจะทำได้ดีกว่าเดิม 

 

 

ถาวซินหลันพยักหน้ารับคำอย่างเคร่งครัด ถามนางอีกว่า “ช่วงนี้ฟู่ชิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” 

 

 

“แทบจะพักที่ศาลาว่าการอยู่แล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มมองถาวซินหลันอย่างเข้าใจ จนถาวซินหลันหน้าแดงระเรื่อ แล้วถึงได้หัวเราะกล่าว “เขาห่างจากเจ้าก็กลับไปเป็นหนอนหนังสือเหมือนเดิม ช่างน่าสบายใจยิ่งนัก” 

 

 

เทียบกับพวกที่เจ้าชู้ไม่เลือกหน้า นี่ไม่ดีกว่าร้อยเท่าพันเท่าหรือ? 

 

 

ใบหน้าของถาวซินหลันยิ่งเห่อแดง และรอยยิ้มดูสดใสมากกว่าเดิม 

 

 

คุยไปคุยมาก็เห็นว่าใกล้จะออกจากส่วนในของวังแล้ว ถาวจวินหลันจึงยั้งเท้าพลางหัวเราะและพูดว่า “เอาเถิด กลับไปเสียเถิด อากาศเย็นเจ้าเองก็ควรจะดูแลตนเองด้วย” 

 

 

ถาวซินหลันพยักหน้า คิดไปคิดมาก็เข้าไปกระซิบข้างหูถาวจวินหลันเสียงเบา “จวงผินคนนี้ดูแล้วอ่อนแอ แต่เกรงว่า8‘มีแผนการอะไร แค่ดูจากการที่นางปรนนิบัติฮ่องเต้ไม่กี่วันมานี้ ฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับนางมากเป็นพิเศษ จนฮองเฮาเริ่มระแวงแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หากเป็นสตรีธรรมดาพบเรื่องเช่นนี้ คงจะต้องรู้สึกอับอายโกรธแค้น และไม่ยอมไปปรนนิบัติฮ่องเต้อีก แต่กู้ซีกลับไม่ใช่เช่นนั้น แต่ยังโดดเด่นเช่นนี้อีก ย่อมไม่ง่ายดายแน่นอน 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของถาวซินหลัน ก็เข้าใจทันที จึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นเช่นนั้นจริง แม้นนางจะไม่ได้คิดว่ากู้ซีควรจะทำให้รู้แล้วรู้รอด หรือสิ้นหวังนั่งน้ำตาไหลอาบหน้าอยู่ทุกวัน แต่กู้ซีเปลี่ยนไปเร็วมาก จนไม่เหมือนกับความคิดของคนทั่วไป 

 

 

แต่กู้ซีรับใช้หน้าฮ่องเต้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดีกับจวนตวนชินอ๋อง อีกทั้งถาวจวินหลันยังรู้สึกว่าต่อให้กู้ซีเป็นคนเจ้าแผนการมากกว่านี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางอีกแล้ว อย่างไรกู้ซีก็ส่งผลกระทบให้นางไม่ได้ อย่างแรกเพราะไม่จำเป็น อย่างที่สองเพราะไม่มีโอกาส อีกอย่างก็ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน แม้แต่ระดับอาวุโสก็ยังห่างกันกว่าหนึ่งรุ่น 

 

 

 พอเห็นถาวซินหลันเดินกลับไป ถาวจวินหลันก็จูงมือซวนเอ๋อร์เดินออกจากวังหลวง 

 

 

ตลอดทางกลับจวน ถาวจวินหลันเพียงแค่นั่งหลับตาอยู่บนรถม้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ วิเคราะห์อย่างละเอียดว่ามีตรงไหนทำได้ไม่ดี ในขณะที่ซวนเอ๋อร์นั่งเล่นไม้กระดานกลอยู่ข้างๆ 

 

 

ซวนเอ๋อร์พลันเอ่ยปากถามนางว่า “เสด็จทวดจะตายหรือขอรับ?” 

 

 

ถาวจวินหลันเบิกตากว้างด้วยตกใจ แล้วมองซวนเอ๋อร์นิ่ง ขมวดคิ้วถามเขาว่า “เจ้าไปฟังใครพูดมา?” 

 

 

ซวนเอ๋อร์พูดว่า “จางหมัวหมัว” 

 

 

ถาวจวินหลันตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง แล้วถึงถามซวนเอ๋อร์ว่า “จางหมัวหมัวพูดว่าอย่างไร?” 

 

 

“บอกว่าเสด็จทวดจะตาย ให้ข้าไปทำให้เสด็จทวดมีความสุขขอรับ” ดวงตาทั้งสองข้างของซวนเอ๋อร์เปี่ยมด้วยความสงสัย “ตายคืออะไรหรือ?” 

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดเสียงเบาว่า “ตายก็คือจากซวนเอ๋อร์ไปในที่ที่ซวนเอ๋อร์ไม่สามารถเจอได้อีก ห้ามเจ้าไปพูดแบบนี้กับใครอีก” 

 

 

ซวนเอ๋อร์เห็นนางดูเคร่งขรึมจึงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ 

 

 

ถาวจวินหลันอดนั่งครุ่นคิดไม่ได้ จางหมัวหมัวกล้าพูดเช่นนี้กับซวนเอ๋อร์ เพราะว่าร่างกายของไทเฮามีปัญหาหรืออย่างไรกัน? แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือน อีกทั้งหมอก็พูดแล้วว่าผ่านปีนี้ไปก็ไม่มีปัญหา 

 

 

แต่จางหมัวหมัวปรนนิบัติดูแลไทเฮามานานหลายปี เป็นคนที่มั่นคงมากเพียงใด? กลับพูดเช่นนี้ออกมา ต้องเป็นข่าวลือที่มีมูลแน่นอน หรือบางทีอาจเป็นคำพูดที่จางหมัวหมัวตั้งใจเปิดเผยอย่างนั้นหรือ? คิดดูแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ มิเช่นนั้นจางหมัวหมัวจะพูดเช่นนี้กับซวนเอ๋อร์ได้อย่างไร? 

 

 

แต่คิดดูแล้วก็ยังรู้สึกแปลก ต่อให้จางหมัวหมัวพูดกับซวนเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องถาม บางทีแค่หันหัวไปก็ลืมแล้ว ดังนั้นสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันจึงต้องปัดตกไป ถาวจวินหลันนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง ตราบจนมาถึงเรือนเฉินเซียง และเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ 

 

 

ด้วยกลัวหลี่เย่จะเป็นกังวล ถาวจวินหลันจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเขา 

 

 

วันรุ่งขึ้น พอถาวจวินหลันได้ยินว่าหลี่เย่กลับมาแล้ว ก็เล่าให้ฟังว่าฮองเฮาจะไปวัดเพื่อสวดขอพร รวมทั้งเรื่องให้อี๋เฟยไปดูแลปรนนิบัติไทเฮายามป่วย 

 

 

ผ่านไปอีกสองวัน องค์รัชทายาทก็ได้รับคำสั่งให้ออกจากวังหลวงไปสังเกตการณ์ 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้ก็ถอนหายใจยาว เรื่องเป็นไปตามทางที่นางคาดการณ์ไว้ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือรอคอยวันที่กู้ซีจะได้รับความโปรดปราน และหลี่เย่มีฐานหลักแน่ชัดอีกครั้ง 

 

 

ด้วยองค์รัชทายาทต้องเดินทางออกจากวังหลวง ฮองเฮาจึงออกจากวังหลวงไปสวดมนต์ขอพร ช่วงนี้จึงผ่อนคลายลงไปมาก อย่างน้อยก็ไม่เกิดเรื่องอะไรอีก 

 

 

แต่องค์รัชทายาทเพิ่งออกจากเมืองหลวงได้ไม่นาน หิมะก็ตกลงมา และในขณะเดียวกันทหารผู้นำอายุน้อยของตระกูลหวังก็เดินทางมาถึงวังหลวง ในเมื่อกลับมาพร้อมชัยชนะ ก็ต้องนำของบรรณาการและเชลยศึกจำนวนมากกลับมา เอิกเกริกยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขามยำเกรงยิ่งนัก 

 

 

ที่จริงถ้าจะพูดถึงผลดีต่อราชสำนัก ชัยชนะคราวนี้เทียบกับคราวของซินพานไม่ได้ คราวที่แล้วที่ซินพานนำกลับมานั้นเป็นสัญญาบรรณาการนานหลายปี เป็นความอ่อนน้อมอย่างสมบูรณ์และความสงบบริเวณชายแดนอย่างยั่งยืนนาน 

 

 

แต่เมื่อพูดถึงสายตาคนอื่น ถาวจวินหลันที่ตามไปดูด้วยก็อดน้อยใจแทนซินพานไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกลอบแทง เกรงว่าซินพานคงได้หน้ามากกว่าครั้งนี้ 

 

 

แต่ก็ต้องพูดว่าชัยชนะครั้งนี้ช่วยชะล้างความกดดันลงไปไม่น้อย อย่างน้อยใบหน้าของฮ่องเต้ก็เปื้อนยิ้ม แต่จะจริงใจหรือเสแสร้ง มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ดีที่สุด แต่คิดว่าคนอื่นก็คงไม่ได้ใส่ใจนัก 

 

 

กลางคืนในวังหลวงจัดงานเลี้ยงต้อนรับปัดเป่าภัย ถาวจวินหลันได้รับเชิญเข้าไปร่วมงานในวังหลวงเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังนั่งร่วมโต๊ะกับหลี่เย่ ก็ยิ่งทำให้นางตื่นเต้นและคาดหวัง 

 

 

ไม่เพียงแค่นาง แม้แต่บรรดาบ่าวรับใช้ในเรือนเฉินเซียงก็เตรียมพร้อมรับมือ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน 

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องสวมชุดเต็มยศ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดว่าสวมเสื้ออะไร ใส่รองเท้าอะไร ประหยัดเวลาและกำลังไปไม่น้อย แต่การเลือกปิ่นประดับและการแต่งหน้ากลับต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

ชุดเต็มยศ บวกกับปิ่นปักประณีตและการแต่งหน้าละเอียดเหมือนภาพวาด กลับทำให้ดูสง่างามและสูงส่งมากขึ้นหลายส่วน พอรวมกับความสง่าที่มีมาแต่เดิมของนาง บรรดาบ่าวรับใช้ก็พอใจมาก 

 

 

พอนางจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เย่ก็รออยู่ข้างนอกนานมากแล้ว 

 

 

นอกจากวันที่แต่งงานและงานเลี้ยงซวนเอ๋อร์ครบรอบเดือนแล้ว พูดตามตรงแล้ว นางก็ไม่เคยแต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็มเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเริ่มรู้สึกไม่คุ้นชินทันที 

 

 

โดยเฉพาะตอนเห็นหลี่เย่ยืนอมยิ้ม นางก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ดึงแขนเสื้อไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ พลางจับปิ่นปักที่อยู่บนศีรษะของตน 

 

 

หลี่เย่อมยิ้มจับมือของนางเอาไว้ พูดว่า “สวยมาก” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่พูดแบบนี้ก็สบายใจ ความเคร่งเครียดหายไปทั่วทั้งร่างทันที และไม่รู้สึกเก้อเขินอีก 

 

 

หลี่เย่มองหวังหรูที่อยู่ข้างๆ วูบหนึ่ง หวังหรูก็รีบก้าวขึ้นมาอย่างรู้งาน พลางส่ง**บทองคำให้ 

 

 

หลี่เย่เปิด**บออก ข้างในนั้นมีดอกหมู่ตานสีม่วงอยู่ดอกหนึ่ง ดอกหมู่ตานนั้นมีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็ก แต่สีสันสวยงามเป็นที่ยิ่ง ถาวจวินหลันจ้องไม่วางตา 

 

 

นางตกใจเล็กน้อย “ฤดูนี้ไปเอาดอกหมู่ตานมาจากไหนเพคะ?” แม้ว่าภายในห้องอุ่น แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ดอกหมู่ตานจะบานออกดอก